ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 10 ซื้อฟักทองหมื่นลูก
บทที่ 10 ซื้อฟักทองหมื่นลูก
ความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างหมู่บ้านกับเมือง คือการมีอยู่ของสำนักงานเขตที่บริหารโดยขุนนาง
สำนักงานเขตมีหน้าที่ในการเก็บภาษี ดูแลสาธารณูปโภค และควบคุมจำนวนประชากร
การปล่อยให้คนเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองโดยปราศจากการควบคุมจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยได้
เนื่องจากในเมืองมีขุนนางอาศัยอยู่ด้วย นั่นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง
หากจำนวนประชากรเพิ่มมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนที่ดินและทรัพยากร
สำนักงานเขตจึงต้องมีการควบคุมการเข้า-ออกของคนในเมือง ผลก็คือประชากรส่วนใหญ่ในเมืองจะเป็นพ่อค้าไม่ก็ช่างฝีมือ
นั่นก็เพราะว่าการจะอาศัยอยู่ในเมืองได้จะต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานเขตอย่างเคร่งครัด
และวิธีที่นิยมใช้ในการผ่านเข้ามาคืออาศัยการรับรองจากสมาคมพ่อค้าและช่างฝีมือ
คนชนบทที่อยากย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองจึงมักจะผันตัวไปเป็นพ่อค้าไม่ก็ช่างฝีมือฝึกหัด
แม้ว่าคริชจะถูกอุปถัมภ์โดยตระกูลคริสแตนด์อันยิ่งใหญ่——ผู้มียศมาร์เกรฟ*และเป็นนายพลที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพรมแดนทางทิศเหนือ แต่เธอก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ เธอจึงต้องมาที่สำนักงานเขตกับเบรี่และเซเลเน่เพื่อจัดการเอกสารให้เรียบร้อย
ความจริงแล้วโบแกนสามารถเขียนจดหมายเหตุและฝากให้ใครซักคนเอามาส่งก็ได้
แต่มันจะดีกว่าถ้าคริชได้มาเจอกับเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง
เพราะยังไงเธอก็ต้องอาศัยอยู่ในเมืองนี้ไปอีกนาน
และนั่นเป็นสาเหตุหลักที่เธอมาที่สำนักงานเขตในวันนี้
แม้ว่าคริชยังอยู่ในระหว่างการฝึกเขียนหนังสือ แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็เขียนชื่อของตัวเองเป็นแล้ว
เธอเซ็นเอกสารนิดๆหน่อยๆหลังจากที่เบรี่อธิบายรายละเอียดในหน้ากระดาษให้เธอฟัง แล้วทุกอย่างก็เรียบร้อย
การจัดการเอกสารที่สำนักงานเขตไม่ได้ใช้เวลานานนัก แต่ว่าวันนี้พวกเธอยังมีเป้าหมายอื่นอีก
“เอาล่ะ ต่อไปก็เป็นร้านตีเหล็ก”
“หา… ไว้ไปวันหลังก็ได้นี่คะ?”
“มันต้องใช้เวลาทำนาน ถ้าถึงเวลาต้องใช้แล้วไม่มีขึ้นมาจะเป็นปัญหาใช่มั้ยล่ะ อย่างที่เธอเห็น ฝีมือดาบของยัยนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เธอควรจะมีดาบดีๆใช้เป็นของตัวเอง”
ในตอนแรก เป้าหมายในวันนี้มีแค่จัดการเรื่องเอกสารและซื้อวัตถุดิบสำหรับทำมื้อเย็นเท่านั้น
แต่เซเลเน่ถือโอกาสใช้วันหยุดของเธอเพื่อจะได้พาคริชมาหาช่างตีดาบ
เซเลเน่รับไม่ได้ที่คนมีความสามารถแบบคริชจะไม่มีดาบเป็นของตัวเอง
เธอเก่งขนาดที่นายพลอย่างโบแกนถึงกับยอมรับว่าที่เขาชนะมาได้เพราะโชคช่วย
แน่นอนว่าเซเลเน่อยากให้เธอมีดาบเหมาะๆใช้และเบรี่ก็คัดค้านเรื่องนี้ได้ไม่เต็มปาก
มันยิ่งเป็นเรื่องที่พูดยากเข้าไปใหญ่เมื่อเซเลเน่อุตส่าห์เจียดเวลาจากตารางงานแน่นเอี๊ยดของเธอเพื่อมากับคริช
——เบรี่กังวลอยู่ตลอดเรื่องที่เซเลเน่ทำงานหนักเกินไปและควรจะหาเวลาพักบ้าง ด้วยเหตุนี้ เบรี่จึงยอมถอย
คริชเป็นเด็กเรียบร้อยที่ชอบงานบ้านงานเรือน โดยเฉพาะการทำอาหาร
ไม่ว่าทักษะดาบของเธอจะวิเศษแค่ไหน เบรี่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะให้เด็กแบบเธอใช้ดาบ
แต่ด้วยความที่ตัวคริชเองดูจะยังไงก็ได้และก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร
สุดท้าย เบรี่ก็ต้องจำใจยอมรับและปล่อยให้เซเลเน่ทำตามที่เธอต้องการ
เซเลเน่ในชุดเดรสวันพีซสีแดงก้าวฉับๆนำหน้า
ในขณะที่คริชสวมชุดวันพีซสีขาวที่ได้รับมาจากเซเลเน่ เดินจูงมือเบรี่ตามมาข้างหลัง
พวกเธอเดินผ่านซอกซอยต่างๆอยู่ซักพักก่อนจะมาถึงเขตร้านตีเหล็กที่อาคารส่วนใหญ่สร้างจากอิฐ
แม้จะไม่ได้มีการแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน แต่ร้านตีเหล็กมักจะมีเสียงดัง
พวกเขาจึงต้องไปรวมตัวกันที่รอบนอกของเมืองไปโดยปริยาย
และแม้จะไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ในหมู่ช่างตีเหล็กมักจะมีเส้นสายและอาศัยอยู่ใกล้ๆกันอยู่แล้ว
เพราะการตีดาบหนึ่งเล่มจะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง เริ่มจากใบดาบ จากนั้นก็ทำปลอกดาบ เตรียมหนังสำหรับหุ้มปลอกดาบ และรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากนายช่างเฉพาะทางหลายแขนงนั่นเอง
“เราจะไปร้านตรงนั้นกัน ช่างตีเหล็กที่นั่นมีฝีมือดี เขาเป็นคนรู้จักของท่านพ่อมานานแล้ว ดาบของฉันก็ตีจากที่นั่นเหมือนกัน”
พวกเธอเดินมาถึงอาคารอิฐสองชั้นหลังหนึ่ง
ด้วยความที่ช่างตีเหล็กเป็นอาชีพที่ต้องอยู่กับไฟ อาคารส่วนใหญ่ที่นี่จึงสร้างจากอิฐทนไฟ
โดยชั้นแรกจะเป็นหน้าร้านและพื้นที่ทำงาน ในขณะที่ชั้นสองจะเป็นพื้นที่พักอาศัย
ซึ่งอาคารหลังนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน
เมื่อเซเลเน่เปิดประตูเข้าไป คริชก็เห็นดาบจำนวนนับไม่ถ้วน วางเรียงรายอย่างสะเปะสะปะ
บ้างก็แขวนไว้กับกำแพง บ้างก็วางพิงไว้เฉยๆ หรือเสียบรวมๆไว้ในถังไม้
มันดูเละเทะเกินกว่าที่จะเรียกว่า ‘ตั้งโชว์’
เบรี่ที่ชอบความสะอาดเรียบร้อยรู้สึกช็อกกับภาพที่เห็น
ที่เคาน์เตอร์มีชายหนุ่มที่กำลังหาวด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
แต่เขาก็รีบลุกขึ้นตัวตรงทันทีเมื่อเห็นพวกเธอ
“ยะ ยินดีต้อนรับครับ! วันนี้มีธุระอะไรเหรอครับ คุณหนูเซเลเน่?”
“นายช่างอยู่รึเปล่า? ฉันอยากวานเขาให้ตีดาบให้เด็กคนนี้หน่อยน่ะ”
“คุณหนูท่านนั้น…น่ะเหรอครับ?”
ชายหนุ่มร่างผอมสูงแต่ก็แฝงไปด้วยกล้ามเนื้อเอ่ยปากถามขณะที่สายตาจับจ้องไปที่คริช
มีข่าวลือแพร่สะพัดในเมืองว่าบ้านคริสแตนด์รับเด็กคนหนึ่งมาเป็นลูกสาว ว่ากันว่าเธอคนนั้นสวยพอๆกับเซเลเน่
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กสาวผมเงินที่มีผิวขาวใสราวหิมะ
ใบหน้าของเธอไร้อารมณ์เหมือนกับตุ๊กตา ความงามราวกับภูติตัวน้อยนั้นเหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย
เขาไม่อาจเก็บซ่อนความประหลาดใจที่มีต่อความงดงามเกินคำร่ำลือของเธอได้ แต่นั่นก็ทำให้เขาสงสัยว่าดาบกับเด็กสาวคนนี้นั้นเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
“ใช่ เธอชื่อคริช จากนี้ไปคงจะได้เป็นลูกค้าประจำล่ะนะ”
“อา… เดี๋ยวผมจะรีบไปตามมาให้นะครับ”
ชายหนุ่มเดินผ่านประตูเข้าไปทางหลังร้าน
จากนั้นก็มีเสียงตะโกนของเขาดังแว่วออกมา พ่อครับ!- คุณหนูคริสแตนด์มา!
แต่เสียงตีเหล็กก็ยังคงดังไม่หยุด
คงต้องรออีกซักพักสินะ เซเลเน่คิดขณะหันไปหาคริช
ถ้ามีเสียงตีเหล็กแปลว่าเขาคงกำลังทำงานอยู่
ซึ่งงานของช่างตีเหล็กต้องอาศัยอุณหภูมิของโลหะในช่วงเวลานั้นๆ เขาจึงไม่สามารถหยุดงานได้ในทันที
และมันคงต้องใช้เวลาอีกซักพักกว่าเขาจะเตรียมตัวเสร็จ
“คริช ระหว่างนี้ก็มองหาดาบที่อยากได้ไว้ด้วยล่ะ มีแบบที่ชอบรึเปล่า?”
“แบบที่ชอบ?”
“ดาบที่เธอใช้ตอนฝึกเมื่อวันก่อนมันใช้ยากใช่มั้ยล่ะ ลองสั่งอะไรที่เหมาะกับสไตล์ของตัวเองแล้วก็ใช้ง่ายๆดูสิ อย่างดาบของฉันก็ออกแบบให้น้ำหนักเบาลงกับเน้นประสิทธิภาพในการแทงน่ะ”
สำหรับคริชแล้ว ตราบใดที่มันใช้งานได้ เธอก็ไม่ได้มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ
แค่ใช่ฆ่าคนได้ก็พอแล้ว
ขอแค่มันทำจากเหล็ก รูปร่างก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ถ้ามองในแง่นั้น คริชไม่มีอาวุธที่ชอบเป็นพิเศษ
แต่หลังจากที่ได้เห็นชุดเครื่องครัวสุดพิเศษเมื่อวันก่อน ความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป
อาหารส่วนใหญ่สามารถทำได้โดยใช้เพียงแค่มีดทำครัวกับหม้อซักใบ
แต่ถ้าอยากจะทำอาหารชั้นหรูแบบเบรี่ ของแค่นั้นมันไม่เพียงพอ
เครื่องครัวที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นในทำอาหารชั้นเลิศ
ต้องใช้เครื่องมือที่มีความจำเพาะ จึงจะสามารถสร้างงานศิลปะขึ้นมาบนจานอาหารได้
คริชเคยสัมผัสประสบการณ์ตอนที่เห็นเบรี่ทำอาหารเป็นครั้งแรกมาแล้ว จึงสามารถเข้าใจความหมายที่เซเลเน่ต้องการจะสื่อ
ถ้านั่นเป็นกรณีของการทำอาหาร การเลือกดาบเองก็คงไม่ต่างกัน
เธอต้องการอาวุธดีๆเพื่อที่จะฆ่าได้มากขึ้น
บางสิ่งที่ประยุกต์ใช้ได้ในหลายสถานการณ์ คงทน และใช้งานง่าย
ยิ่งคมยิ่งดี หากมีน้ำหนักเบาด้วยก็จะช่วยลดภาระของร่างกายและไม่ทำให้เธอเหนื่อยง่ายเกินไป
คริชลองสุ่มหยิบดาบที่วางอยู่ใกล้ๆมาถือ
มันเป็นดาบยาวเล่มหนา ถึงจะดูทนทาน แต่มันทั้งหนักและเหมาะที่จะใช้เฉาะมากกว่าใช้ฟัน
หากต้องการอาวุธสำหรับโจมตีทะลุเกราะ นี่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่วิธีแบบนั้นมันไม่มีประสิทธิภาพ
ถ้าเล็งไปที่จุดอ่อน แค่รอยเฉือนเบาๆจากมีดก็สามารถปลิดชีวิตคนได้ ดาบเล่มนี้จึงไร้ประโยชน์
คริชหวนนึกถึงความทรงจำในคืนที่เกรซตายก่อนจะวางดาบลง
“ที่นี่มีดาบยาวเยอะแยะเลย”
“ก็นะ ส่วนใหญ่ดาบที่ขายที่นี่ก็เป็นดาบที่ใช้ทั่วไปนั่นแหละ
ยิ่งอาวุธยาวเท่าไหร่ ระยะโจมตีก็จะกว้างขึ้นเท่านั้น มันจะช่วยกลบความแตกต่างระหว่างทักษะของผู้ใช้ได้
ทหารรับจ้างส่วนใหญ่เลยชอบใช้ดาบยาวกัน แต่ตรงกันข้าม ดาบสั้นจะถูกใช้ในสนามรบมากกว่า”
“…ดาบสั้น?”
“เหตุผลเพราะว่ามันเหมาะที่จะใช้สู้ในสถานที่แออัดอย่างในระหว่างการตั้งกระบวนทัพ
ดาบยาวจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่ออยู่ในที่กว้างๆ แต่พวกทหารไม่มีพื้นที่สำหรับแกว่งดาบมากนักเลยนิยมใช้ดาบสั้นมากกว่า
แต่แน่นอนว่าอาวุธหลักของพวกเขาก็ยังเป็นหอกอยู่ดีล่ะนะ”
ความยาวของอาวุธจะช่วยเพิ่มระยะการโจมตี
แต่ยิ่งยาวเท่าไหร่ การใช้งานและการพกพาก็ยิ่งลำบากขึ้น
อยากได้อะไรที่ใช้ง่าย พกพาสะดวก แต่มีประโยชน์มากกว่ามีด
คริชนึกถึงดาบโค้งที่เธอเคยใช้ ดาบของโจรป่าที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้า
ดาบเล่มนั้นทั้งเบาและเหมาะมือ ปลายดาบโค้งหนาทำให้มันสามารถเฉือนผ่าได้ดี
คริชกวาดสายตาหาดาบโค้งๆ และก็เจอเข้ากับดาบทหารม้า**
ดาบทหารม้าเป็นดาบมือเดียวทรงโค้งยาว ที่ใช้ต่อสู้จากบนหลังม้า
แม้มันจะมีความโค้งและคม แต่ใบดาบนั้นยาวและบางเกินไป
มันดูไม่ค่อยทนทานเท่าไหร่นัก
อืมมม— หลังจากที่ลังเลอยู่ซักพัก คริชตัดสินใจวางมันลงและมองหาชิ้นถัดไป
แม้จะมีอาวุธยาวอยู่หลายประเภท เช่น หอกและง้าว แต่นั่นไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับคริช เพราะปัญหาเรื่องการพกพา
อาวุธประเภทแทงเหมาะที่จะใช้สังหารคนแค่คนเดียว เพราะจะทำให้เกิดช่องโหว่หลังการโจมตีได้
ส่วนดาบยาวก็จะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักและความคม
คริชพยายามมองไปรอบๆเพื่อหาอาวุธที่ตรงกับความชอบของเธอ แต่ทุกอย่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ยังไม่มีอาวุธชิ้นไหนที่รู้สึกเตะตา
แม้เซเลเน่จะแนะนำอาวุธหลากหลายชนิดให้เธอลองใช้ แต่ก็ไม่มีชิ้นไหนเหมาะมือ
ทางด้านเบรี่ เธอดูจะสนใจมีดเป็นพิเศษ เธอคงกำลังมองหาอะไรซักอย่างที่สามารถเอาไปใช้ในการทำอาหารได้
พูดตามตรง คริชเองก็สนใจเรื่องนั้นเหมือนกัน เธออยากไปเลือกมีดกับเบรี่มากกว่าเลือกดาบซะอีก
แต่เธอรู้ว่าเซเลเน่อยากซื้อดาบให้เธอและเธอก็ไม่สามารถมองข้ามเซเลเน่ได้
ระหว่างที่คริชกำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับชายแก่คนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่มารบกวน”
“อ้า… ไม่เป็นไรหรอก ยินดีต้อนรับ แล้ว เธออยากให้ฉันตีดาบให้กับ…”
“เด็กคนนี้ค่ะ คริช ฉันอยากให้คุณตีดาบคุณภาพสูงระดับเดียวกับของท่านพ่อให้เธอ
เห็นแบบนี้ แต่ฝีมือเธอไม่ใช่เล่นๆเลยนะคะ”
“ฮึ่มม…”
ชายชราไว้หนวดหัวล้านเลี่ยนจ้องมองคริชด้วยแววตาเฉียบคม
เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และไหล่ขวาของเขายกขึ้นเล็กน้อย
มีรอยแผลไฟไหม้หลายจุดตามแก้มและแขน ขาซ้ายของเขาก็กะเผลกเล็กน้อย
บาดเจ็บ—-ไม่สิ น่าจะพิการ
คริชวิเคราะห์ไปตามความเคยชิน เมื่อดูจากท่าทางแล้วเขาน่าจะยังต่อสู้ได้ดี
อาจจะเป็นทหารเก่าที่ต้องลาออกเพราะอาการบาดเจ็บ
“เธอเป็นหลานสาวของท่านกาเรนค่ะ… คุณโคซคงรู้จักท่านกาเรนอยู่ใช่มั้ยคะ?”
“น่าตกใจจริงๆ แน่นอน ฉันติดหนี้บุญคุณเขาไว้เยอะทีเดียว”
สายตาของเขาผ่อนคลายลงและส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนให้กับคริช
“กัปตันกาเรนสบายดีรึเปล่า?”
“ค่ะ แต่ตอนนี้เขากลับไปที่หมู่บ้านแล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง… ถ้าเขามาอีก ช่วยบอกเขาให้แวะที่ร้านของฉันทีได้รึเปล่า?”
“ได้ค่ะ”
ชายชรา— โคซ ครุ่นคิดอยู่ซักพักขณะที่จ้องมองคริช แล้วจึงพยักหน้า
“ฉันได้ยินเรื่องของเธอมาจากกัปตันกาเรนเยอะแยะทีเดียว เป็นหนูน้อยที่งดงามจริงๆด้วย แล้วกำลังตามหาดาบแบบไหนอยู่ล่ะ มาเริ่มจากแบบที่ชอบก่อนดีกว่า”
“อืม… อยากได้ดาบที่เล็กๆโค้งๆ เอ่อ”
คริชหยิบดาบทหารม้าที่เธอดูไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา
“คล้ายๆแบบนี้ แต่สั้นกว่าแล้วก็มีคมด้านเดียว ตรงปลายจะหนาและโค้งกว่านี้ ความหนาของใบดาบโดยรวมก็หนากว่า คริชเคยใช้อะไรแบบนั้นมาก่อน มันเป็นของโจรป่าแต่ก็ใช้งานได้ดี”
“ใช้งานได้ดีเรอะ…”
“ค่ะ ถึงคริชจะเหวี่ยงเบาๆ แต่มันก็ยังตัดได้ดี
เพราะน้ำหนักกับความโค้งของมัน ขนาดคริชฟันไปตั้งสิบคน ประสิทธิภาพก็แทบไม่ลดลงเลย…
ตอนที่คริชพลาดไปฟันโดนกระดูก ก็มีรอยบิ่นแค่นิดเดียว คริชอยากจะใช้ดาบที่ทนแบบนั้น”
ชายแก่ขมวดคิ้วและหันไปหาเซเลเน่
ในขณะที่เบรี่มองคริชด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“เธอมาอยู่กับเราเพราะสถานการณ์พิเศษนิดหน่อยน่ะ
ทักษะของเธออยู่ในระดับที่ศิลปินศิลปะป้องกันตัวทั่วๆไปเทียบไม่ติด
แต่เพราะแบบนั้น มันเลยเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะอยู่ในหมู่บ้าน”
“…เข้าใจล่ะ สถานการณ์ของแม่หนูดูจะซับซ้อนใช่เล่นนะเนี่ย”
คริชเอียงคอด้วยความสับสน แต่ชายชราก็เปลี่ยนเรื่อง
“…ถ้าเป็นดาบที่โจรป่าใช้ล่ะก็ มันน่าจะอยู่ในกลุ่มดาบบาร์บาเรี่ยน(ดาบคนเถื่อน) พวกมันไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ ฉันเลยไม่ได้เอามาโชว์ แต่ก็นะ… เคอีซ ไปหยิบมาที”
“อ๊ะ ครับ”
ชายหนุ่มหายเข้าไปในหลังร้าน ก่อนจะกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมดาบโค้งเล่มหนึ่ง
คริชตรวจสอบรูปร่างของมันและพยักหน้า คล้ายๆแบบนี้ค่ะ เธอตอบ
“ดาบเล่มนี้มาจากพวกคนเถื่อนที่อาศัยอยู่บนภูเขา มันถ่วงน้ำหนักไว้ที่ปลายดาบเหมือนกับนางินาตะ
ประสิทธิภาพในการฟันก็ยอดเยี่ยม ฉันว่ามันเป็นดาบที่ดีทีเดียว แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่”
คริชรับดาบมาจากชายหนุ่มและรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่พอดีมือ
ส่วนฐานของใบดาบจะโค้งไปทางด้านหน้า ก่อนจะโค้งกลับมาทางด้านหลังและถ่วงน้ำหนักไว้ที่ปลายดาบเหมือนกับขวานหรือดาบนางินาตะ
ส่วนด้ามจับก็มีความโค้งเล็กน้อยเพื่อให้จับถนัดและไม่ลื่นหลุดมือ
ที่ส่วนท้ายของด้ามจับมีรูที่สามารถร้อยเชือกผ่านเข้าไปได้ อาจมีส่วนในการปรับบาลานซ์ของดาบ
คริชชักดาบออกมาจากฝักและควงไปมาเบาๆ เพื่อเช็คน้ำหนัก
เสียงคมดาบที่แหวกผ่านอากาศดังขึ้น—— ตามมาด้วยเสียงดาบที่กลับเข้าฝักอย่างนุ่มนวล
ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ส่วนชายชราก็มองด้วยดวงตาเบิกโพลง
ดาบนี่น่าจะห้อยไว้ที่เอวได้ด้วย เมื่อตัดสินใจแบบนั้น คริชก็หันไปหาเซเลเน่
“เซเลเน่ อันนี้ดี”
“เอ่อ… ไอ้นั่นน่ะนะ?”
“ค่ะ มันเป็นแบบที่คริชชอบ”
เซเลเน่มองดาบในมือคริชด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ปลอกดาบกับด้ามจับนั้นทั้งเก่าและโทรม ดูยังไงก็เป็นของมือสอง
เซเลเน่รับดาบมาจากคริชและส่งคืนให้ชายชรา
“เล่มนี้ขายรึเปล่า?”
“ไม่ล่ะ ฉันซื้อมาใช้เป็นแบบเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นดาบที่ดี แต่ฉันสามารถตีให้ใหม่ได้
ฉันจะทำดาบที่ดีกว่าดาบเล่มนี้ให้เอง”
“ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะคะ เรื่องเงินฉันจ่ายเต็มที่อยู่แล้ว… เบรี่”
“ค่ะ”
เบรี่หยิบเหรียญทองเล็กๆสามเหรียญออกมาจากกระเป๋าหนังและส่งมันให้เขา
ด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย พวกเขาก้มศีรษะลงด้วยความขอบคุณ
“เท่านั้นพอรึเปล่า”
“แน่นอน เกินพอเสียอีก ขอสัญญาว่าจะทำของที่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายอย่างแน่นอน ฉันเองก็จะพยายามเต็มที่เพื่อหลานสาวของกัปตันกาเรนด้วยเหมือนกัน”
“ฟุฟุ งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะคะ คริช เธออยากจะขออะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับดาบอีกรึเปล่า”
“เอ่อ…”
คริชตัวแข็งทื่อ เธอกำลังช็อคกับจำนวนเงินที่เบรี่พึ่งจ่ายไปอย่างสบายๆ
ถึงคริชจะโตมาในชนบท แต่เธอก็พอจะรู้มูลค่าคร่าวๆของเหรียญทอง
หนึ่งเหรียญสามารถซื้อฟักทองได้หลายพันลูก ไม่สิ ด้วยราคาสามเหรียญ
สามารถซื้อฟักทองได้มากกว่าหนึ่งหมื่นลูก—— คริชตกใจกับปริมาณฟักทองที่แลกกับดาบหนึ่งเล่มและหันไปหาเซเลเน่
“เอ่อ เซเลเน่? คริชไม่ได้…”
“ดาบฉันก็ราคาเท่ากันนั่นแหละ เธอฝีมือดีกว่าฉันตั้งเยอะจะให้ใช้ดาบราคาถูกกว่าได้ยังไง
รับไว้ซะ ตอนนี้เธอเป็นลูกสาวตระกูลคริสแตนด์แล้วนะ… แล้ว จะขออะไรเพิ่มมั้ย?”
“……คริชอยากให้มันโค้งกว่านี้นิดนึง แล้วก็เพิ่มน้ำหนักที่ปลายดาบ ค่ะ”
คริชทำได้เพียงพยักหน้าและตอบไปตามตรง
====================================
“……ฟักทองหมื่นลูก กับดาบเล่มเดียว”
ถึงจะออกจากร้านมาแล้ว แต่คริชก็ยังคงช็อคไม่หาย
ที่ผ่านมาเธอเคยแค่ใช้ค่าขนมซื้อวัตถุดิบเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
มันเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่เธอไม่คุ้นเคย
ถึงเหรียญเงินจะพอมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่เหรียญทองนี่แทบไม่ต้องพูดถึง
เธอจะเห็นมันเฉพาะตอนที่หมู่บ้านมีการซื้อเสบียงล็อตใหญ่เท่านั้น
เธอพอจะเดาได้ว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่ เมื่อเห็นอาหารและสินค้าจำนวนมากถูกซื้อได้ด้วยเหรียญทองเหรียญเดียว
และนั่นทำให้เธอตกใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าดาบเล่มเดียวมีราคาถึงสามเหรียญทอง
“ราคาปกติก็ประมาณนั้นนั่นแหละ เธอควรเอาเงินไปใช้ให้ถูกที่นะรู้มั้ย แล้วก็เผื่อว่าเธอยังไม่รู้ พวกมีดทำครัวที่เธอใช้ราคารวมๆแล้วแพงกว่านี้อีก เบรี่ทุ่มเงินเดือนไปกับการทำอาหารเกือบหมดเลยล่ะ”
“จริงเหรอคะ…”
คริชหันมองเบรี่ด้วยความตกใจ เบรี่ได้แต่ยิ้มแหยๆและเกาแก้มอย่างลำบากใจ
“ฉันสะสมมีดดีๆทีละเล่มสองเล่มมาหลายปีแล้วล่ะค่ะ เพราะงั้น… ราคารวมๆก็คงประมาณนั้น เอาไปซื้อฟักทองได้หลายพันลูกเลยค่ะ”
“เยอะขนาดนั้นเลย…”
“ฟุฟุ คุณคงคิดว่ามันสิ้นเปลืองใช้มั้ยคะ แต่การเอาเงินมาใช้แบบนี้ทำให้นายช่างมีต้นทุนในการลองผิดลองถูกมากขึ้น เพื่อจะสร้างสินค้าคุณภาพดีออกมา เงินน่ะถ้ามัวแต่เก็บไว้อย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะคะ”
เบรี่อธิบายพลางมองไปยังร้านค้ารอบๆ
“ยกตัวอย่างเช่นอาหารดีๆที่ใช้วัตถุดิบหลากหลายก็ต้องอาศัยต้นทุนในการทำ สำหรับสามัญชน บางครั้งแค่หาอาหารพอประทังชีวิตก็เป็นเรื่องยากแล้ว… แต่ในฐานะขุนนาง เราสามารถมอบเงินทุนส่วนนี้ให้พวกเขาได้ ให้พวกเขามีโอกาสได้ซื้อเครื่องมือดีๆเป็นของตัวเอง สุดท้ายผลประโยชน์ก็จะย้อนกลับคืนมา”
มันเป็นเรื่องของระบบเศรษฐกิจน่ะค่ะ เบรี่หัวเราะ
“เมื่อขุนนางใช้จ่ายเงิน มันจะเป็นการกระจายความมั่งคั่งให้กับประชาชน เงินสามเหรียญทองสำหรับดาบหนึ่งเล่มถือว่าเยอะ แต่ด้วยเงินนั้น คุณช่างตีเหล็กจะสามารถมุ่งมั่นไปกับการขัดเกลาและสร้างผลงานที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ แน่นอนว่าการใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ถ้าคุณเลือกใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
“…อย่างนี้นี่เอง”
“สาเหตุที่ในเมืองมีแต่ผลไม้และวัตถุดิบคุณภาพดี ก็เป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ดี
ทุกๆคนสามารถพัฒนาสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มที่ เพราะพวกเขามีโอกาสที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆและก้าวผ่านความล้มเหลวได้
ถ้ามองแบบนี้แล้ว เงินที่จ่ายไปก็ไม่ได้เสียเปล่าใช่มั้ยล่ะคะ?”
คริชพยักหน้าและหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อถูกเบรี่ลูบหัว
มันเป็นมุมมองที่กว้างไกลและลึกซึ้งกว่าที่คริชมี
จากคนสู่หมู่บ้าน จากหมู่บ้านสู่เมือง และจากเมืองสู่สังคม
ทุกอย่างที่ดูเสียเปล่า แต่ถ้ามองในระยะยาวแล้วมันไม่ได้เสียเปล่าเลย
เหมือนกับที่เด็กๆในหมู่บ้านต้องฝึกใช้ดาบสินะ คริชนึกขึ้นมาได้และรู้สึกประทับใจในมุมมองเบรี่
“แต่ฉันว่าเธอควรจะเอาเงินไปทำอย่างอื่นบ้างนะ หน้าตาก็ดีแท้ๆ ใส่แต่ชุดเมดกับผ้ากันเปื้อนเนี่ยนะ เสียของจะตาย”
“ฟุฟุ นั่นชุดโปรดฉันเลยนะคะ”
เบรี่ตอบพลางจูงมือคริชเข้าไปในร้านค้า
“เอาล่ะ เรามาซื้อวัตถุดิบสำหรับทำมื้อเย็นกันดีกว่า อยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ?”
“เอ่อ… คริช อยากรู้วิธีทำกราแตง ที่เรากินกันเมื่อวันก่อน”
คริชพูดตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย
จริงๆแล้วเธออยากกินมันอีก มากกว่าอยากรู้วิธีทำซะอีก
ได้สิคะ เบรี่พยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฟุฟุ ดีใจที่คุณชอบนะคะ มันทำไม่ยากเลย คราวนี้จะลองใช้เนื้อไก่ดูแล้วกัน แล้วคุณล่ะคะคุณหนู”
“… อืมม ฉันอยากกินพายเนื้อ”
“ดูเหมือนวันนี้เตาอบจะงานยุ่งน่าดูเลยนะคะ ทีนี้ก็เหลือแค่ซุป…”
“อ๊ะ งั้นคริชจะทำซุปฟักทองเองค่ะ”
คุณคงชอบฟักทองมากแน่ๆ เบรี่พูดด้วยรอยยิ้มขบขัน
พวกเธอเดินเข้าไปในร้านค้า
เบรี่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่ผู้คนในเมือง และเธอถูกต้อนรับด้วยรอยยิ้มไม่ว่าจะไปที่ไหน
ทั้งพ่อค้าแม่ค้าต่างเสนอวัตถุดิบที่ดีที่สุดในร้านให้เธอเสมอ
“ท่านอาร์แกน สนนี่รึเปล่า? วันนี้ได้ไก่ตัวอ้วนกลมมาด้วย คิดอยู่แล้วว่าท่านจะมา เลยเก็บไว้ให้โดยเฉพาะเลยนะเนี่ย…”
“ตายจริง ฉันจะปฏิเสธข้อเสนอจากพ่อค้าร้านประจำได้ยังไงล่ะคะ วันนี้ตั้งใจจะใช้เนื้อไก่พอดี… ขอรับไว้แล้วกันนะคะ”
พ่อค้ารับเงินจากเบรี่ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะหน้าตา แต่พวกเขาก็หลงใหลในบรรยากาศรอบตัวเธอด้วยเหมือนกัน คริชคิดอย่างเหม่อลอย
ในบางมุม เบรี่ก็ดูเหมือนเกรซ
เธอยิ้มแย้มและสุภาพอ่อนน้อมอยู่เสมอ
หลังจากออกมาจากร้านขายเนื้อ พวกเธอก็เดินไปที่แผงผลไม้
พ่อค้าที่นั่นส่งเสียงทักทาย เขารีบหั่นผลไม้ใส่จานและยื่นให้พวกเธอ
“คุณหนูคริช เชิญทานก่อนสิ ครั้งก่อนคุณดูชอบมันมาก ผมเลยเลือกลูกสวยๆไว้ให้ด้วย”
“เอ่อ… ได้ค่ะ”
ในจานมีผลราคุระที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
ราคุระเป็นผลไม้สีแดงรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ
เนื้อกรอบอร่อยคล้ายแอปเปิล แต่มันมีน้ำเยอะมากและพร้อมจะไหลหยดออกมาทุกครั้งที่กัด
ครั้งที่แล้วเขาบอกกับคริชว่าเปลือกของราคุระก็กินได้
เธอเลยกัดลงไปทั้งอย่างนั้นและน้ำผลไม้ก็กระเซ็นเลอะชุดเธอไปหมด
จนเขาต้องขอโทษเธอยกใหญ่
นั่นเป็นสาเหตุที่คราวนี้เขาหั่นให้เธอก่อน
เธอโยนผลไม้ชิ้นเล็กเข้าปากและเพลิดเพลินไปกับความหวานที่แผ่กระจายไปทั่วลิ้น
“…อร่อยมากค่ะ”
“ฮ่าฮ่า ค่อยยังชั่วหน่อย ขอโทษที่ครั้งที่แล้วไม่ได้เตือนก่อนนะ”
“ไม่หรอกค่ะ… คริชไม่ระวังเอง”
คริชหน้าแดงและตอบด้วยความเขินอาย ทำให้พ่อค้าหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“รับซักหน่อยมั้ยครับ ท่านอาร์แกน? เพื่อเป็นการขอโทษ เดี๋ยวผมจะลดให้เป็นพิเศษเลย…”
“เอาอาหารมาล่อท่านคริช… ไม่ยุติธรรมเลย ฝากห่อให้ด้วยนะคะ”
“ฮ่าฮ่า ขอบคุณที่อุดหนุนครับ แล้วก็เดี๋ยวผมแถมอันนี้ให้ด้วย——“
ทุกครั้งที่คริชไปซื้อของกับเบรี่ ผู้คนจะมองคริชด้วยสีหน้าอ่อนโยน
ตอนอยู่ที่หมู่บ้านคริชไม่เคยทำได้แบบนี้
และมันเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอ ที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้งที่พึ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน
อาจเพราะความเชื่อใจที่พวกเขามีให้เบรี่ ที่ทำให้พวกเขาเชื่อใจคริชด้วย
เหมือนตอนที่พูดถึงกาเรนที่ร้านตีเหล็ก
การได้รับความเชื่อใจถือเป็นสิ่งที่ดี และทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเบรี่
ความนับถือที่คริชมีให้เบรี่นั้นเพิ่มพูนขึ้นไปอีก
“อ๊ะ เดี๋ยวคริชช่วยถือเองค่ะ”
คริชหยิบตะกร้าที่เต็มไปด้วยผลไม้มาและคล้องแขนกับเบรี่
ขอบคุณมากค่ะ เบรี่ยิ้มตอบอย่างมีความสุข
เซเลเน่คิ้วขมวดจ้องพวกเธอ
คริชเอียงคอสงสัยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เธอปล่อยแขนของเบรี่แล้วไปคล้องแขนกับเซเลเน่แทน
“ท-ทำอะไรของเธอเนี่ย…”
“คริชอยากคล้องแขนกับเซเลเน่ด้วย แต่ว่าคริชกับเบรี่ถือตะกร้าคนละใบ เพราะงั้นเซเลเน่ต้องมาอยู่ตรงกลาง”
“ย-อย่ามาพูดบ้าๆ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ…!”
“ตายจริง เป็นไอเดียที่ดีทีเดียว มานี่เร็ว คุณหนู”
เบรี่เมินเสียงโวยวายของเธอแล้วจับแขนอีกข้างของเซเลเน่ไว้
เซเลเน่จ้องเบรี่เขม็งด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากทำแก้มป่อง
ในขณะที่ยิ้มให้เซเลเน่อย่างขบขัน เบรี่ก็มองคริชด้วยสายตาที่อ่อนโยน
คริชที่ไม่เข้าใจเรื่องความหมายของสายตานั้นได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัย
เมื่อพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าและราตรีเริ่มย่างใกล้
ทั้งสามคนก็เดินกลับบ้านด้วยกัน ภายใต้ท้องฟ้าอัสดง
====================================
TL Note:
*มาร์เกรฟ (Margrave) เป็นยศขุนนางของยุโรป
ซึ่งยศของขุนนางจะมีลำดับจากสูงไปต่ำดังนี้ (ชาย/หญิง)*
** Cavalry saber
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโดเนทให้ผู้แปลได้ที่
——————————
พร้อมเพย์: 0943075995
——————————
คำเตือน: การโดเนทไม่ได้ทำให้แปลเร็วขึ้นแต่อย่างใด