ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 1 เด็กสาววิกลจริต
-ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป-
(A maiden unwanted heroic epic)
บทที่ 1 เด็กสาววิกลจริต
ในป่าที่รกร้าง มีชายวัยกลางคนกับสาวน้อยคนหนึ่ง
ชายคนนั้นสวมเสื้อเชิร์ตและกางเกงขายาวที่สกปรกมากเสียจนนึกสงสัยว่ามันถูกซักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เศษรังแคร่วงกราวเมื่อเขาเอามือลูบผมและเคราที่กระเซอะกระเซิง
เขาดูไม่ต่างอะไรจากสัตว์ป่า และตอนนี้เขากำลังมองเด็กสาวด้วยรอยยิ้มที่หยาบโลนผิดมนุษย์
“เห~ คิดไม่ถึงเลยว่าแม่หนูน้อยจะเรียกลุงออกมา อยากจะคุยเรื่องอะไรงั้นเรอะ”
สาวน้อยนั้นแตกต่างจากชายสกปรกตรงหน้าโดยสิ้นเชิง ผมสีเงินเปล่งประกายสยายลงมาถึงช่วงเอว ขนตายาวร้อยเรียงรอบนัยน์ตาสีม่วง จมูกได้รูปงดงาม ริมฝีปากสีชมพูราวดอกซากุระ รูปหน้าของเธอที่ประกอบเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบกับผิวที่ขาวเนียนราวผิวกระเบื้อง
เธอสวมชุดกระโปรงจากผ้าลินินที่ไร้เครื่องประดับใดๆ มันเป็นชุดที่พบเห็นได้บ่อยในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะความเรียบง่าย แต่มันเป็นชุดที่สื่อถึงความยากจนเสียมากกว่า
ถึงอย่างนั้น เมื่ออยู่บนตัวเด็กสาวแล้ว มันไม่ได้ดูแย่เลยแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน มันยิ่งช่วยขับเน้นความงดงามอันไร้เดียงสาของเธอมากขึ้นไปอีก
เด็กสาวเหลือบมองด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยม—- คริช จ้องมองไปที่ชายเบื้องหน้าเธออย่างไร้อารมณ์
“….คือว่า คริชอยากให้คุณลุงเลิกแตะต้องตัวคริช”
คริชพูดสิ่งที่เธอต้องการออกมาแบบไม่อ้อมค้อมกับชายที่จ้องมองเธอด้วยสายตาหยาบโลน—- กาโร ทำหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของเธอและจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง ก่อนหน้านี้เด็กสาวเพียงแค่ชักสีหน้าไม่พอใจเท่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยปากพูดออกมาตรงๆ
“ไม่เอาน่า ก็แค่สกินชิพนิดหน่อยเอง ที่ลุงแตะก้นหนูไปก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายซักหน่อย คิดมากเกินไปแล้ว”
จริงๆแล้วกาโรไม่ได้เป็นคนที่มีรสนิยมชอบเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆแบบเธอ
เขาเป็นผู้ชายปกติที่ชอบหญิงสาววัยเจริญพันธ์ที่มีส่วนโค้งเว้ามากกว่า
แต่กับเด็กคนนี้ที่คนในหมู่บ้านรับมาเลี้ยง เธอมีบางอย่างที่ดึงดูดให้เขาทำเรื่องบ้าๆ
ดวงตาของเธอมีประกายของความเฉลียวฉลาด และรอยยิ้มของเธอเป็นเพียงการผ่อนสีหน้าเท่านั้น
นอกจากความสวยงามภายนอกแล้ว ความถ่อมตัวและกิริยามารยาทของเธอเป็นสิ่งที่หายากในหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นสิ่งหายากที่พบได้เฉพาะในเมืองหลวง บรรยากาศแปลกๆรอบตัวเธอนี้เองที่ทำให้เขาลุ่มหลง
ตอนแรกมันเป็นแค่ความอารมณ์ชั่ววูบ
กาโรเป็นทหารเก่า หน้าที่ของเขาคือฝึกสอนดาบให้กับเหล่าคนคุ้มกันของหมู่บ้านและพวกเด็กๆ เขาแค่คิดจะแหย่คริชเล่นๆ และเพลิดเพลินกับการสัมผัสตัวในระหว่างการฝึก แต่เมื่อตัวคริชเองก็ไม่ได้ปริปากบ่นหรือมีท่าทีไม่พอใจ
นั่นยิ่งกระตุ้นให้เขาได้ใจ
คริชนั้นแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ หลายคนมองว่าเธอเป็นเด็กประหลาด จึงไม่มีใครคิดจะหยุดกาโร เมื่อคริชไม่ได้ต่อต้าน กาโรเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เรื่องราวจึงเริ่มบานปลาย และนำมาสู่เหตุการณ์ในวันนี้
เด็กสาวไม่มีท่าทีว่าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อแม่บุญธรรมของเธอ
เห็นดังนั้น กาโรจึงคิดว่าตราบใดที่เขาไม่ล้ำเส้นเกินไป เธอก็จะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร
และนั่นหมายความว่าในป่ารกร้างไร้ผู้คนแห่งนี้ ต่อให้เล่นแรงไปซักหน่อยก็คงไม่มีปัญหา
“ใจเย็นสิ ลุงจะไม่ทำให้เจ็บหรอกน่า”
ชายวัยกลางคนพูดระหว่างย่างเท้าเข้าไปใกล้ แต่คริชเองก็ถอยหลังเว้นระยะห่างจากเขาเช่นกัน
เธอมองไปรอบๆแล้วเงี่ยหูฟัง ทั้งบรรยากาศโดยรอบ สภาพพื้นดิน ทิศทางลม และตำแหน่งของทั้งคู่
‘…พอดีเลย’ คริชคิดในใจ
“ช่วยหยุดทีได้มั้ยคะ”
“ไม่เอาน่า อย่าพูดแบบนั้นซี่ ลุงแค่อยากจะทำความรู้จักกับคุณหนูให้มากขึ้นแค่นั้นเอง”
“….ทำความรู้จัก?”
“ช่าย ทำความรู้จักไงล่ะ หนูคงรู้ใช่มั้ยว่ามันหมายความว่ายังไง?”
คริชก้าวถอยหลังและแกล้ง—- ทำเป็นหวาดกลัว
สองก้าว สามก้าว และสะดุดล้ม ทันทีที่เธอเสียการทรงตัว กาโรก็กระโจนเข้าไปหาเธอ
“ไม่เป็นไรหร—- อะ—-อั่ก!?”
และตอนนั้นเอง ดาบไม้สำหรับฝึกซ้อมก็แทงเข้าที่คอของเขา มันถูกเตรียมไว้ก่อนหน้าโดยวางพิงไว้กับต้นไม้ เป็นการโจมตีที่อาศัยแรงจากโมเมนตัมของอีกฝ่าย
ถือเป็นการโจมตีที่ดี แต่แผลยังตื้นเกินไป และยังไม่ใช่ตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการปลิดชีพ
เมื่อคริชบิดด้ามดาบ ปลายดาบแทงลึกเข้าไปในเนื้อและเบี่ยงร่างที่กำลังล้มลงของกาโรออกจากตัว
โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขานอนขดตัวด้วยความเจ็บปวด และใช้มือทั้งสองกุมคอตัวเองไว้แน่น คริชยืนขึ้น และใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดปักดาบไม้ลงไปที่กระดูกคอของเขา ในครั้งแรก การดิ้นของกาโรทำให้ปลายดาบเคลื่อนออกจากกระดูก ถากผิวด้านข้าง ก่อนจะปักลงดิน คริชดึงดาบขึ้นมาและลองอีกครั้ง ครั้งนี้เธอรู้สึกถึงสัมผัสทื่อๆจากกระดูกคอที่แตกออก คริชพยักหน้ากับตัวเองอย่างพึงพอใจ ในขณะที่พักหายใจ
“อื้ม แบบนี้น่าจะเรียบร้อย”
หลังจากยิ้มให้ใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาดของชายที่นอนอยู่ตรงหน้า คริชดึงคอเสื้อกาโรเพื่อลากร่างของเขาออกไป ไม่ไกลจากที่นี่ เธอขุดหลุมที่ลึกพอสำหรับฝังผู้ใหญ่ซักคนเตรียมไว้ก่อนแล้ว หลังจากตรวจเช็คครั้งสุดท้ายว่ามันลึกพอที่จะไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนขุดเขาขึ้นมา เธอก็โยนร่างที่บิดงอลงไปและถมดินกลบ ขึ้นไปกระโดดโหยงๆด้านบนเพื่ออัดดินให้แน่น
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอตรวจสอบตัวเองว่ามีคราบอะไรติดตัวหรือไม่ ก่อนจะจ้องไปที่ปลายดาบ
มันมีเลือดติดอยู่เล็กน้อย
เธอแทงเขาแค่ที่คอจึงมีเลือดออกไม่มาก แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีบางส่วนกระเด็นมาโดนตัวเธอ เธอถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่ชุดชั้นใน และกวาดตามองทุกซอกทุกมุมของร่างกาย จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เธอคิดมานานแล้วว่าจะกำจัดผู้ชายน่าหงุดหงิดคนนี้ยังไงดี การฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องยาก แต่เธอต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครรู้ตัวและเธอจะไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ถ้าใช้ดาบจริงเลือดจะสาดกระเซ็นมากเกินไป แต่ถ้าใช้ดาบไม้ก็จะแรงไม่พอ
คริชเป็นคนตัวเบา ถึงจะทุ่มน้ำหนักทั้งหมดก็ยากที่จะปลิดชีพในดาบเดียว
ต่อให้เธอทุบหัวเขาด้วยค้อนหรืออะไรแบบนั้น มันคงจะแย่ถ้าเขากรีดร้องออกมาระหว่างลงมือ
เธอไม่เคยฆ่าผู้ใหญ่มาก่อน จะประมาทเรื่องพลังกายของพวกเขาไม่ได้
สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจใช้ประโยชน์จากน้ำหนักตัวของอีกฝ่าย และแทงเข้าไปที่คอ เมื่อเธอหยุดไม่ให้เขาส่งเสียงได้ ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องลำบากไปขโมยเครื่องมือที่ไหน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดีเยี่ยม
วิเศษมาก คริชยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ เธอรักในการทำงานที่มีประสิทธิภาพแบบนี้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เธอเหลาปลายดาบที่เปื้อนเลือดออกด้วยมีด และใช้ดินกลบเกลื่อนรอยเหลาให้ดูสกปรก
ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดหรือความกลัวในการสังหารคนคนหนึ่ง สิ่งที่เธอรู้สึกมีเพียงความพึงพอใจที่ได้กำจัดชายน่ารำคาญที่คอยแตะต้องตัวเธอ และความสนุกที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ที่นี้เรื่องน่าหงุดหงิดอย่างหนึ่งก็จะหายไป และชีวิตของเธอก็จะสงบสุขยิ่งขึ้น
ถ้าห้องสกปรก ก็ทำความสะอาด
ถ้าเจอคนทำตัวน่ารำคาญ ก็ฆ่า
“อิฮิฮิ รีบกลับไปซื้อฟักทองดีกว่า”
สำหรับเธอ การปลิดชีวิตคนมันก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
เด็กสาวที่ชื่อคริชนั้น แปลกประหลาด อย่างไม่ต้องสงสัย
[ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป]
หมู่บ้านคาลคา เป็นหมู่บ้านชนบทที่อยู่ได้ด้วยการล่าสัตว์ การเกษตร และเหมืองเกลือ
หินเกลือคุณภาพดีเป็นแหล่งรายได้สำคัญของหมู่บ้านในการติดต่อค้าขาย
นอกจากนั้น หมู่บ้านแห่งนี้ยังอีกสิ่งที่นับว่าโชคดีกว่าที่อื่น
แม้ว่าการเกษตรจะมีผลผลิตน้อย แต่บนภูเขาก็มีอาหารอุดมสมบูรณ์พอที่จะชดเชยในส่วนที่ขาดหาย
ชาวบ้านผู้ชายครึ่งหนึ่งทำงานในเหมืองเกลือ ส่วนอีกครึ่งเป็นพรานป่า
ในขณะที่ผู้หญิงมักจะทำงานในไร่นา ดูแลเสื้อผ้าและงานบ้านต่างๆ
คริช ผู้ถูกทิ้งตั้งแต่ 3 ขวบ อาศัยอยู่กับพรานป่าที่เก็บเธอมาเลี้ยง
ในบ้านเย็นๆที่ไม่มีแม้แต่ห้องครัว ซุปมันฝรั่งและถั่วถูกเคี่ยวบนเตาไฟหลุมที่ตั้งอยู่กลางบ้าน
มันเป็นซุปง่ายๆ ปรุงรสด้วยเนื้อตากแห้งที่มีน้อยจนดูน่าเศร้า
โดยมีเด็กสาวผมเงิน คริช กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เธอใช้ทัพพีไม้ตักซุปขึ้นมา ค่อยๆเป่าให้เย็น ก่อนจะเริ่มชิมและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“….อืม รสชาติไม่เลวเลย”
เนื้อหมูป่าในซุปช่วยเสริมรสชาติได้เป็นอย่างดี ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้คริชรู้สึกซาบซึ้งที่ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยครอบครัวของพรานป่า
มันถือเป็นเรื่องหรูหราที่สามารถใส่เนื้อลงในอาหารได้ทุกวัน แม้ว่าจะปริมาณน้อยแค่ไหนก็ตาม
ถ้าปรุงซุปมันฝรั่งด้วยเกลืออย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย รสชาติยังมีไม่พอ
ถ้าทำซุปก็ต้องใส่เนื้อจริงๆนั่นแหละ คริชคิดขณะซดน้ำซุปบนทัพพี
เธอเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
หลังจากฆ่ากาโร เธอแวะเก็บสมุนไพรในป่ากลับมาด้วย พวกมันช่วยดับกลิ่นของเนื้อได้เป็นอย่างดี ถึงกลิ่นจะหายไป แต่รสชาติเข้มข้นของเนื้อยังคงอยู่ —— ด้วยผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ คริชยิ้มออกมาขณะกินซุปภายใต้ข้ออ้างว่าเป็นการชิมรสชาติ
เธอมักจะทำซุปเยอะเป็นพิเศษเพื่อการ ‘ชิมรสชาติ’ โดยเฉพาะ
คริชเป็นเด็กที่ยึดมั่นในหลักเหตุผลอยู่เสมอ ซึ่งการกระทำที่ถูกชักจูงโดยสัญชาติญาณอย่างความตะกละถือเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับเธอ
โชคร้ายที่คริชมีความอยากอาหารมากกว่าคนทั่วไป และเธอไม่สามารถแก้นิสัยเสียอย่างการ ‘ชิมรสชาติ’ ได้
ซึ่งดูเหมือนจะมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์และความทรงจำที่ต้องร่อนเร่ในป่าด้วยความหิวตอนเธอยังเด็ก
เพียงแค่โยนวัตถุดิบทุกอย่างและเกลือลงไปในน้ำต้มเดือด
แรงกระตุ้นในการทำอาหารนั้นมาจากฝีมือการทำอาหารระดับหายนะของแม่เลี้ยงของเธอ
มันแย่เสียจนคริชต้องอาสามาช่วยทั้งๆที่เธอยังเด็กมาก
แต่ตอนนี้เธอเริ่มติดใจเสน่ห์ของการทำอาหารด้วยตัวเองแล้ว
ในเมื่อเธอสามารถปรุงรสได้ตามใจชอบ และดื่มซุปได้ไม่อั้นด้วยข้ออ้างว่า ‘ชิมรสชาติ’
คริชนั้นหิวโหยอยู่เสมอ ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าการ ‘ชิมรสชาติ’ จึงเปรียบเสมือนของขวัญจากพระเจ้า จนมาถึงจุดจุดนี้ คริชรับหน้าที่ในการดูแลเรื่องการทำอาหารภายในบ้านทั้งหมด
แต่ก่อนพ่อแม่บุญธรรมของเธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องรสชาติอาหารมากนัก แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มติดใจฝีมือทำอาหารของคริชและคอยชมเธอไม่ขาดปาก
ด้วยเหตุนี้ คริชจึงมีชื่อเสียงในแง่ดีว่าเป็นลูกสาวผู้ขยันช่วยงานบ้าน
การทำอาหารนี่มีประโยชน์จริงๆ คริชคิดพลางพยักหน้ากับตัวเอง
ทั้งได้กินของที่ชอบ อิ่มท้องจากการชิมรสชาติ แล้วยังช่วยเพิ่มความนิยมอีก
สำหรับคริชการทำอาหารถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเธอเลยทีเดียว
“แต่ก็ยังขาดอะไรไปอยู่ดี…. อยากกินซุปฟักทองจังเลย”
คริชทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจ
มีพ่อค้าเร่แวะมาที่หมู่บ้านเมื่อวานนี้
พวกเขาจะพักที่หมู่บ้านหนึ่งคืน ก่อนจะออกเดินทางในเช้าวันถัดไป
ซึ่งปกติแล้วคริชจะไปซื้อฟักทอง แต่เพราะเธอมีธุระที่ต้องไปขุดหลุมฝังคนในขณะที่ชาวบ้านกำลังให้ความสนใจกับพ่อค้าเร่ เธอจึงไม่ได้ไป
เธอเลยตั้งใจว่าจะไปซื้อในตอนเช้าหลังที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่การล่อชายคนนั้นเข้าป่าดันใช้เวลานานกว่าที่คิด ทำให้เธอพลาดโอกาสที่จะไปซื้อฟักทอง
แม้ซุปจะอร่อยเหมือนทุกๆครั้ง แต่สำหรับ ‘ผู้เสพติดฟักทอง’ อย่างคริชแล้ว แค่นี้มันยังไม่พอ
—-ถ้าเติมเนื้อเพิ่มอีกหน่อย… ไม่สิ ไม่ได้ ที่เหลือเป็นส่วนของวันพรุ่งนี้
เธอ ‘ชิมรสชาติ’ ต่ออีกนิดหน่อย และในตอนที่เธอกำลังใช้ความคิดร่วมกับกินอาหารรองท้องอยู่นั้นเอง เสียงประตูบานเลื่อนก็ดังขึ้น
“อ๊ะ…”
มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าที่งดงามของเธอตกกระเล็กน้อย ผมยาวสีดำถูกมัดไว้ข้างหลังอย่างลวกๆ
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ท่านแม่”
คริชที่กำลังนั่งอยู่เอ่ยทักทายแม่ของเธอ เกรซ
“กลับมาแล้วจ้ะคริช กำลังเตรียมมื้อเย็นอยู่เหรอ?”
“ทำเสร็จแล้วค่ะ วันนี้อากาศร้อนเลยใส่เกลือเยอะหน่อย เป็นยังไงบ้างคะ?”
เธอตักซุปขึ้นมาด้วยทัพพีแล้วส่งให้เกรซ
แม่เลี้ยงของคริช ยิ้มอย่างขบขันให้กับคริชที่แสร้งว่ากำลัง ‘ทำอาหาร’ อย่างขันแข็ง และรับซุปบนทัพพีมาชิม
เธอรู้ดีว่าคริชที่หิวโหยแอบกินซุปภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อ ‘ชิมรสชาติ’ แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร
สำหรับเกรซ ทั้งความตะกละและความพยายามของคริชที่จะปิดบังเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ดูน่ารัก
คริชเป็นเด็กจริงจัง ซื่อตรง และขยันขันแข็ง เธอมักจะทำทุกอย่างได้ดีกว่ามาตรฐานของคนทั่วไป แต่บางครั้งคริชก็จะแสดงด้านที่เป็นเด็กของเธอออกมา และเกรซก็คอยเฝ้ามองด้วยสายตาที่อบอุ่นอยู่เสมอ
“อื้ม อร่อยมากเลยคริช”
“จริงเหรอ?”
“หุหุ แม่จะโกหกทำไมล่ะจ๊ะ”
เมื่อสาวงามประจำหมู่บ้าน เกรซ แต่งงานกับ กอร์คา พรานหนุ่มฝีมือดี ชาวบ้านทุกคนต่างร่วมยินดีและกล่าวอวยพร แต่โชคร้ายที่พวกเขาไม่มีดวงเรื่องลูกเอาเสียเลย แม้ในที่สุดเกรซก็ตั้งครรภ์ แต่สุดท้ายทารกก็เสียชีวิตในครรภ์อยู่ดี
ในตอนที่พวกเขากำลังจมอยู่กับความโศกเศร้า กอร์คาก็พบเด็กสาวที่ถูกทอดทิ้ง คริช
ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะเลี้ยงคริชในฐานะลูกสาวที่พระเจ้าประทานให้ จะรักเธอเหมือนกับเป็นลูกแท้ๆ และคริชก็เป็นเด็กที่เหนือความคาดหวังของพวกเขาในทุกๆด้าน
เกรซไม่เคยมีเรื่องจะตำหนิคริชผู้เป็นสาวงามประจำหมู่บ้านคนใหม่เลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเกรซสังเกตเห็นความผิดปกติในตัวลูกสาวของเธอที่ดูจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่เธอมอบให้คริชเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งไปกว่านั้น เกรซมองว่ามันเป็นหน้าที่ในฐานะผู้ปกครอง ที่จะต้องชี้นำและคอยสั่งสอนคริชอย่างใจเย็น —— และอย่างน้อยที่สุดก็ต้องขอบคุณเกรซ ที่ทำให้คริชสามารถใช้ชีวิตในสังคมปกติได้
ทางด้านคริชก็ไม่มีเรื่องที่ไม่พอใจเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอเช่นกัน
นอกจากเรื่องที่พวกเขาโอ๋เธอมากเกินไปหน่อย เกรซและกอร์คาถือเป็นพ่อแม่ในอุดมคติ
และคริชเองก็มีความรู้สึกที่ ‘ใกล้เคียง’ กับความรักแก่พวกเขา
“….คริช ลูกนี่ทำอาหารเก่งจริงๆนะ”
“เอะเฮะเฮะ….”
คริชยิ้มเมื่อเกรซลูบหัวเธอ
คริชมุดเข้าไปหาเกรซ ใช้แขนโอบตัวเธอไว้ แล้วเอาหน้าซุกไปที่หน้าอกของเกรซ
เรื่องที่เธอพึ่งฆ่าคนไปนั้นไม่อยู่ในหัวเธออีกแล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
——ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ก่อนหน้านี้เธอเคยกำจัดเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอไปสองคน
คริชไม่เคยลังเลแม้แต่น้อยในการฆ่าคนที่ทำตัวน่ารำคาญ เธอแค่ต้องอดทนเพราะการฆาตกรรมเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎของชุมชน
แต่คริชก็ไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องวิธีการ
พวกคนที่นิสัยไม่ดีแค่มีตัวตนอยู่ก็ชวนให้รู้สึกไม่ดีแล้ว การฆ่าไม่มีส่งผลอะไรต่อคริชซักนิด ดังนั้นถ้าเธอฆ่าพวกเขาไป เธอก็จะสบายใจที่จะไม่ได้เห็นหน้าพวกเขาอีก
กระบวนการคิดของเธอนั้นแสนจะเรียบง่ายและเห็นแก่ตัว
แม้จะมีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่เธอไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ
นั่นเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดของคริช
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอหลงไหลในการฆ่า
นอกจากวิธีคิดสุดแปลกประหลาด และศีลธรรมที่บิดเบี้ยวแล้ว ความรู้สึกของคริชก็ไม่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ
เธอมีความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความรักแก่พ่อแม่ของเธอที่คอยสั่งสอนกฎมากมายของหมู่บ้านและเลี้ยงดูเธอเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา
“ท่านแม่ มีอะไรที่อยากให้ช่วยอีกมั้ยคะ?”
—-ผลได้ และผลเสีย
คริชมองทุกอย่างอย่างเรียบง่าย และจำแนกออกเป็นผลได้และผลเสีย
คริชมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะตอบแทนคนที่ดูแลเธอเป็นอย่างดี และทำงานเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของพ่อแม่ที่รับและเลี้ยงดูเธอมา
สำหรับเธอแล้ว มันคือการตอบแทนผลได้ที่เธอได้รับมา เพื่อรักษาสมดุล
ความรู้สึกของคริชไม่ต่างจากความรักที่เด็กมีให้กับพ่อแม่ เมื่อเธอถูกรัก เธอจะตอบแทนด้วยบางอย่างที่คล้ายกับความซื่อตรงและรักที่บริสุทธิ์
เธอเชื่อว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะตอบรับความคาดหวังและมุ่งมั่นที่จะทำมันอย่างเต็มที่ นั่นทำให้เธอดูเป็นเด็กที่ประพฤติตัวดีและขยันหมั่นเพียรอยู่ตลอด —-เป็นลูกในอุดมคติ
“….เอ่อ ทำความสะอาดบ้าน…. กับตากผ้าก็เสร็จหมดแล้ว”
เกรซมองไปรอบๆบ้าน ขณะกำลังลำบากใจที่ไม่สามารถตอบคำถามคริชได้
ของทุกอย่างเป็นระเบียบ หน้าต่างเปิดระบายอากาศภายในบ้าน ห้องสะอาดหมดจด ไร้คราบฝุ่นใดๆ ชุดชั้นในและผ้าต่างๆก็ถูกตากไว้ข้างนอก
“เฮ้อ… จริงๆเลย ลูกทำทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายซะจนแม่รู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายโดนเลี้ยงแทนแล้วนะ ทำไมเป็นเด็กดีแบบนี้ฮึ?”
เกรซลูบหัวคริชอีกครั้งพลางยิ้มแหยๆออกมา
คริชกอดเกรซแน่นพลางหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“ยังมีเวลาก่อนพระอาทิตย์จะตก จะออกไปเล่นซักหน่อยก็ได้นะ”
“….ได้ค่ะ”
คริชยิ้มและพยักหน้าเงียบๆ เธอเอาแก้มถูแล้วเพลิดเพลินกับสัมผัสจากแม่ของเธอ
เธอผู้แปลกประหลาดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ก็ยังเป็นเด็กที่ไร้เดียงสา ไม่ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกเช่นกัน