ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 95 ผลวิญญาณทมิฬ
บทที่ 95 ผลวิญญาณทมิฬ
ลู่เฉินมองอีกฝ่ายทำเช่นนั้นแล้วจึงกล่าวออกมา “ข้าไม่ได้สนใจสิ่งของพวกนี้ของเจ้าสักนิด!”
“เช่นนั้น ผู้อาวุโส ท่านต้องการอันใด?”
“พันธมิตรแมลงสวรรค์ของเจ้า มีผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานจำนวนมากใช่หรือไม่?”
“ใช่! มีขั้นสร้างรากฐานแยกออกมา ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มคนหนึ่งของที่นั่น!” หลันเย่าตอบรับ
ลู่เฉินพยักหน้า “เช่นนั้น เจ้าไปเรียกคนพวกนั้นมา ข้าต้องการเอาชนะพวกเขา หรือว่าให้พวกเขายอมแพ้ต่อหน้าก็ได้!”
หลันเย่ารู้สึกสับสนไปชั่วขณะ “ผู้อาวุโส ท่านอย่าล้อเล่นเช่นนี้ได้หรือไม่?”
เมื่อมองไปยังหลันเย่าที่ยังมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ ลู่เฉินกลับถามย้อนขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกำลังล้อเล่นงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของลู่เฉิน หลันเย่าจึงเอ่ยอย่างลำบากใจ “ผู้อาวุโส ถ้าหากเป็นคนใต้สังกัดข้า ข้าย่อมทำได้ แต่มันยังมีอีกสี่กองกำลัง พวกเขาย่อมไม่เห็นด้วยเป็นแน่”
“กลุ่มของเจ้ามีกี่คน?”
“มีหลายร้อยคนน่าจะได้!” หลันเย่าคำนวณคร่าว ๆ
“เช่นนั้นก็จงเรียกหลายร้อยคนนั่นมา!”
“ผู้อาวุโส ต้องทำเช่นนี้จริง ๆ หรือ?” หลันเย่ามีสีหน้าลำบากใจ
“ไปสิ!”
“เช่นนั้น ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปตามคนมา!” หลันเย่าเอ่ยจบแล้วจึงเดินออกไป
ส่วนลู่เฉินที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “หลายร้อยคน ถ้าหากหักรากวิญญาณที่มีคุณสมบัติและระดับเดียวกันออก น่าจะเหลือสิบกว่าคนได้?”
แต่สิ่งทำที่ให้ลู่เฉินคาดไม่ถึงคือ ขณะที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน หลันเย่าก็กลับมา ทว่าเขาดันกลับมาตัวคนเดียว และไม่ได้พาใครกลับมาด้วยเลย!
“ผู้อาวุโส ข้า ข้าขอโทษ!” หลังเย่าแสดงสีหน้าผิดหวังและรู้สึกผิด
“เป็นอะไร?”
“ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานในสังกัดข้า พวกเขาได้รับคำสั่งให้ออกไปกันหมดแล้ว!”
“ได้รับคำสั่งให้ออกไป?” ลู่เฉินสงสัย แต่หลันเย่าทำได้เพียงถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “ระยะนี้ที่แดนวิญญาณมักจะมีผลไม้มหัศจรรย์ปรากฏออกมามากมาย ผู้นำของเราจึงออกคำสั่งให้ไปหาผลไม้เหล่านั้น!”
“ผลไม้?”
“ใช่ เมื่อทานเข้าไป ผลไม้พวกนี้จะทำให้ขั้นพลังเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย”
“ผลไม้อันใด?” ลู่เฉินสงสัยว่าคือผลไม้อะไรกัน เหตุใดจึงมหัศจรรย์ถึงเพียงนั้น!
“เหมือนกับว่าจะเป็นผลแอปเปิลดำ เมื่อทานแล้วจะมีของเหลวสีดำไหลออกมา ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากกลืนลงไป คนผู้นั้นจะหลับลึกเป็นเวลาหนึ่งวัน หลังจากตื่นขึ้นมาในวันถัดไปจะแข็งแกร่งมากขึ้น” หลันเย่าอธิบาย
ลู่เฉินฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ผลวิญญาณทมิฬ!”
“ผลวิญญาณทมิฬ? มันคืออันใด?” หลันเย่าคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะรู้จัก
แท้ที่จริงแล้วลู่เฉินรู้จักผลวิญญาณทมิฬนี้ดี มันจะเติบโตในพื้นที่ซึ่งมีคนตายจำนวนมาก และเติบโตได้ด้วยการกลืนกินซากศพ แต่ถ้าหากมนุษย์ใช้มันโดยตรง พวกเขาก็จะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้!!
“ผลไม้นี้ เจ้ายังไม่ได้กินใช่หรือไม่?”
“ข้าจะมีคุณสมบัติได้กินได้อย่างไร โดยปกติแล้วต้องเป็นผู้อาวุโส หรือผู้นำ ถึงจะมีคุณสมบัติกินมันได้ และจนถึงตอนนี้ ข้าก็เพียงแค่เคยได้ยินเท่านั้น ไม่เคยได้เห็นกับตาแม้แต่น้อย!”
ลู่เฉินถอนหายใจ “ผลไม้ชนิดนี้ อย่าแตะต้องมันเด็ดขาด!”
“เพราะอะไร?”
“หากกินไปแล้ว เจ้าก็จะไม่ใช่เจ้าดังเดิมอีก”
“ข้าไม่ใช่ข้ารึ?” หลันเย่าตกใจ ถามถึงสาเหตุทันที
ลู่เฉินจึงอธิบายว่า “ผลไม้ชนิดนี้เหมาะกับผู้ฝึกวิถีภูตผีหรือพวกซากศพ และหากมนุษย์ใช้มัน ผลจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง!”
หลันเย่ายังไม่ค่อยเข้าใจมากเท่าใดในทีแรก ทว่าลู่เฉินอธิบายเพิ่มเติม เจ้าตัวจึงเริ่มกังวลขึ้นมา
“ข้า… ข้าต้องรีบกลับไปบอกท่านผู้นำ!”
“เจ้าไปบอกแล้วใครจะเชื่อเจ้า?”
“แต่ว่า…!” หลันเย่าทำได้เพียงมองไปยังลู่เฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขอร้อง “ผู้อาวุโส เช่นนั้น ท่านไปกับข้า ไปบอกเรื่องนี้กับท่านผู้นำและผู้อาวุโสของข้า!”
“จะเกิดประโยชน์ใด?” ลู่เฉินรู้ว่าหากไปบอกก็คงเสียเวลาเปล่า
หลันเย่าพลันแสดงท่าทีร้อนใจขึ้นมา “เพียงแค่ท่านไปโน้มน้าวพวกเขา ถึงเวลานั้นไม่ว่าท่านจะอยากสู้กับใคร หรืออยากให้ผู้ใดยอมแพ้ก็ย่อมสำเร็จได้โดยง่าย!”
คำพูดนี้ทำให้ลู่เฉินชักจะสนใจ
แต่ชายหนุ่มก็ยังคงมีเรื่องสงสัย “ภายในแดนวิญญาณนี้ เหตุใดจึงเกิดการรวมกลุ่มเป็นกองกำลังได้กัน?”
“ร่วมกลุ่มเป็นกองกำลัง?”
“เป็นต้นว่าเหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมพันธมิตรแมลงสวรรค์ เจ้าไม่กลัวผู้อื่นฆ่าหรือ? เพราะจริง ๆ แล้วในแดนวิญญาณนี้มันเลื่องลือในด้านสถานที่ฝึกฝน!”
“นั่นเพราะตอนที่เข้าร่วมจะต้องทำการสาบานว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามทรยศต่อกองกำลัง มิเช่นนั้นจะถูกตามล่าฆ่า และถูกผลสะท้อนกลับ!”
“ผลสะท้อนกลับ?”
เมื่อหลันเย่าเห็นว่าลู่เฉินไม่รู้ เขาจึงอธิบายต่อ “มันคือผลจากสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ของแดนวิญญาณ!”
“สัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์? คืออะไร?” ลู่เฉินสงสัย
“ท่านไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังไหนเลยหรือ?”
“ไม่!”
“มิน่าล่ะ ท่านถึงไม่รู้!”
“พูดมา มันคืออันใด?!” ลู่เฉินต้องการเข้าใจทุกอย่าง
หลันเย่าจึงค่อย ๆ อธิบายเกี่ยวกับสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แดนวิญญาณได้เกิดรอยแตกขึ้น มีป้ายสัญลักษณ์นับสิบบินออกมาจากข้างใน และป้ายสัญลักษณ์พวกนี้มันคือสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ ว่ากันว่าถ้าครอบครองได้ คนผู้นั้นก็จะสามารถสร้างกองกำลังในที่แห่งนี้ได้
และผู้ที่ถือครองป้ายพวกนี้ก็คือบรรดาผู้นำของกองกำลังพวกนั้น ดังนั้นเมื่อมีคนเข้าร่วม พวกเขาก็จะจำต้องใช้หยดเลือดหนึ่งหยดเข้าไปยังสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์เพื่อเป็นการสวามิภักดิ์ต่อกองกำลังนั้น
ถ้าหากมีผู้ใดทรยศ คนผู้นั้นก็จะถูกผลสะท้อนกลับ และถูกสังหารโดยตำหนักวิญญาณสวรรค์!
“ตำหนักวิญญาณสวรรค์? คืออะไร?” เป็นครั้งแรกที่ลู่เฉินได้ยินชื่อของสถานที่นี้
“ลือกันว่าเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดของแดนวิญญาณ”
ลึกลับที่สุด?
เหตุใดลู่เฉินจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลก ๆ กัน? และเมื่อได้สติกลับคืนมา เขาจึงเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้นผู้ที่เคยทรยศตายหรือยัง? ”
“ตายแล้ว ได้ยินมาว่าในกองกำลังจำนวนไม่น้อยเริ่มมีคนจำนวนมากไม่ศรัทธาเชื่อถือ หลังจากเข้าร่วมแล้ว อาจจะเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างจึงทรยศ แต่ว่าท่านลองทายดูว่าจะเป็นเช่นไร?
“พูดมา!”
“บนท้องฟ้าของแดนวิญญาณนี้ จู่ ๆ ก็มีตำหนักขนาดใหญ่สีดำทะมึนปรากฏออกมา จากนั้นพลันมีฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากตำหนัก ส่งรอยฝ่ามือสีดำร่วงลงจากนภา และเข้าสังหารทับคนผู้นั้นจนบี้แบน ดังนั้นตำหนักใหญ่แห่งนี้จึงถูกผู้คนเรียกว่าตำหนักวิญญาณสวรรค์!”
ลู่เฉินตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด “สัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์นี้ แท้จริงแล้วคืออันใด แล้วยังจะมีตำหนักวิญญาณสวรรค์นี่อีก เหตุใดมันจึงอยู่ที่นี่?”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้ารีบตามข้ามา!”
ลู่เฉินคิดว่าเขาควรต้องไปดูสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ด้วยตาของตนเองเสียหน่อย เพื่อจะได้ทราบที่มาที่ไปของมัน รวมถึงความจริงของเบื้องหลังตำหนักวิญญาณสวรรค์นี่อีก… แท้จริงแล้วมันมาจากที่ใดกัน!
ลู่เฉินจึงเดินตามหลันเย่าออกไป มุ่งหน้าไปยังหุบเขาแมลงสวรรค์ในเขตที่หก!
….
เมื่อลู่เฉินเดินทางมาถึงภายในตำหนักของพันธมิตรแมลงสวรรค์ หลันเย่าก็ได้กล่าวทำความเคารพบรรดาผู้อาวุโสที่กำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ “ผู้อาวุโสทุกท่าน!”
ผู้อาวุโสเหล่านั้น รอบกายแต่ละคนมีแต่แมลงรุมล้อม
อีกทั้งบางคนยังเลี้ยงกิ้งก่าสีม่วง
กิ้งก่าตัวนั้นมีดวงตาสีแดง และเกาะอยู่บนบ่าของชายวัยกลางคน และมันกำลังจ้องมองมายังลู่เฉิน
“หลันเย่า ผู้นี้คือผู้อาวุโสที่เจ้าพูดถึงเมื่อตอนกลางวันหรือ?” ชายผู้เลี้ยงกิ้งก่าถามออกมาด้วยความสงสัย
หลันเย่าจึงขานรับ “ใช่ขอรับผู้อาวุโสซู!”
ซูอี้ ผู้อาวุโสหนึ่งในห้าของพันธมิตรแมลงสวรรค์ และจัดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งจากห้า เขามีอีกชื่อหนึ่งว่าซูต้า
ซูต้าเอามือหยาบค่อย ๆ ลูบกิ้งก่าพลางเอ่ยถาม “เมื่อครู่ ได้ยินลูกศิษย์คนอื่น ๆ พูดกันว่าเจ้าไม่ต้องการให้ทุกคนตามหาผลไม้สีดำนั่นหรือ?”
“ใช่!”
“เพราะเหตุใดกัน?” ซูต้ามีท่าทางไม่ยินดีนัก
“ผู้อาวุโสซู ผู้อาวุโสลู่บอกว่าผลไม้นั้นกินไม่ได้ ถ้าหากกินไปแล้วก็จะไม่สามารถเพิ่มขั้นพลังได้อีกตลอดไป!” หลันเย่าชี้ไปยังลู่เฉิน ทำให้บรรดาผู้อาวุโสที่กำลังขยับกายกันอยู่พากันชะงัก และต่างก็มองมายังดูเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
จากนั้นแต่ละคนจึงค่อย ๆ หัวเราะออกมา
โดยเฉพาะซูต้าที่ยิ้มกว้าง “หลันเย่า เจ้าน่ะก็อยู่ที่พันธมิตรแมลงสวรรค์แห่งนี้มานับสิบปีแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่ สิบปีพอดี!”
“ในเมื่ออยู่มาสิบปีแล้ว เหตุใดเจ้ายังเชื่อคำพูดไร้สาระเช่นนี้อีก?” ซูต้ายิ้มอย่างเย็นชา
“แต่มันเป็นเรื่องจริง สิ่งที่ผู้อาวุโสลู่พูดนั้นเป็นเรื่องจริง!” หลันเย่ายืนยัน
ทว่าสำหรับซูต้าแล้ว ลู่เฉินก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่คิดเข้ามาก่อความวุ่นวาย ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไปด้านนอก “เข้ามา จับเขาไป!”
ทันใดนั้น ศิษย์กลุ่มหนึ่งก็พลันวิ่งเข้ามาล้อมลู่เฉินไว้
ส่วนหลันเย่าที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ร้อนใจ “ผู้อาวุโส อย่า อย่าทำร้ายเขา!”