ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 78 วันนี้เป็นวันที่ดีจริง ๆ ไม่ว่าใครก็แห่กันมาทั้งนั้น!
- Home
- All Mangas
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 78 วันนี้เป็นวันที่ดีจริง ๆ ไม่ว่าใครก็แห่กันมาทั้งนั้น!
บทที่ 78 วันนี้เป็นวันที่ดีจริง ๆ ไม่ว่าใครก็แห่กันมาทั้งนั้น!
เดิมทีลู่เฉินคิดว่าเสี่ยเจี้ยนจะหวาดกลัวจนรีบถอนกำลังออกไป
แต่เสี่ยเจี้ยนกลับเริ่มกระวนกระวายและเร่งพลังอย่างบ้าคลั่ง พยายามที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการอันแน่นหนา
แต่ยิ่งเสี่ยเจี้ยนบ้าคลั่งมากเท่าไหร่ โซ่ตรวนก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น มันรัดเขาแน่นจนทำให้เจ้าตัวหนีออกไปไม่ได้
“นี่มันบ้าอันใด รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” เสี่ยเจี้ยนคำราม
เถียนอวิ๋นเมิ่งรู้สึกหวาดกลัว นางหมายจะเข้าไปช่วย แต่ทันทีที่นางออกแรง นางก็ถูกโซ่ตรวนนั้นรัดด้วยเช่นกัน
ลู่เฉินฉีกยิ้มในความมืด “ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าต่างหากที่จะต้องเสียใจ!”
ตอนนี้พวกเขาสองคนจึงได้รู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้น่ากลัวเพียงใด
แต่เสี่ยเจี้ยนเป็นคนที่ดื้อรั้นคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีอารมณ์รุนแรงบ้าคลั่ง ดังนั้นหลังจากติดกับดัก เขาก็พยายามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง!
แต่เถียนอวิ๋นเมิ่งนั้นแตกต่างออกไป นางเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ ดังนั้นเมื่อเห็นบางอย่างผิดปกติ นางจึงเริ่มที่จะเอ่ยกับลู่เฉินอย่างลับ ๆ ว่า “หมอเทวดา บอกข้าที ทำอย่างไรถึงจะปล่อยพวกเราไป”
“ปล่อยพวกเจ้าไป? เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะได้เปรียบไม่ใช่หรือ?” ลู่เฉินหัวเราะขึ้นมา
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่ได้ยินพลันร้อนใจขึ้นมา นางจึงรีบหันไปถามเสี่ยเจี้ยน “ศิษย์พี่ มีวิธีหนีหรือไม่?”
”ต้องใช้ยันต์ลี้มารแล้ว!” หลังจากที่เสี่ยเจี้ยนกล่าวจบ เขาก็หยิบยันต์ออกมาแล้วคำราม สุดท้ายก็ใช้พละกำลังที่เหลือบดขยี้ยันต์
แต่ในขณะที่มันถูกบดขยี้ สายฟ้าก็พลันวาบขึ้นกลางอากาศ
เสี่ยเจี้ยนไหม้เกรียมคาที่ แต่ยันต์นั้นยังคงมีผล จึงทำให้เขาหายไปอย่างสมบูรณ์
เถียนอวิ๋นเมิ่งตกใจจนแทบเสียสติ ก่อนที่นางจะรีบใช้ยันต์เพื่อทำให้นางกลายเป็นเงามารสายหนึ่ง
ทว่าผลลัพธ์ก็เหมือนกับเสี่ยเจี้ยน สายฟ้าเช่นเดิมพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เสียงกรีดร้องของนางจึงดังขึ้นก่อนที่นางจะหายไปเช่นกัน
ลู่เฉินเดินออกมาจากห้อง และเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “คุยกันดี ๆ ก็ได้ เหตุใดถึงต้องจบลงอย่างน่าสมเพชเช่นนี้?”
หนานเหยาจ้องมองไปที่ค่ายกลบนท้องฟ้าแล้วก็ถึงกับตัวสั่นเทา “ค่ายกลของท่านช่างโหดร้ายจริง ๆ!”
”ถ้าพวกเขาถอนกำลังออกไปเร็วกว่านี้ พวกเขาก็คงจะไม่ถูกฟ้าผ่า” ลู่เฉินหัวเราะอย่างเย็นชา โดยไม่แสดงความสงสารแม้แต่น้อย
หนานเหยาถามอย่างสงสัยว่า “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคน และตอนนี้จะเป็นเช่นไร?”
เป็นเช่นไร? ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว!
แน่นอนว่าหลังจากที่พวกเขาทั้งสองสำแดงยันต์ลี้มาร พวกเขาก็ถูกส่งไปยังจุดรวมพลที่ตั้งไว้ล่วงหน้านอกเมือง
ดังนั้นเมื่อทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ร่างของคนทั้งคู่ก็เต็มไปที่ฝุ่นควัน
เสี่ยเจี้ยนมีระดับขั้นพลังสูงหน่อยจึงพอหยัดกายลุกขึ้นได้ แต่เถียนอวิ๋นเมิ่งนั้นน่าสังเวชยิ่ง
นางนอนตะแคงและกำลังร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดตัว… ตัวข้าจึงไม่มีความรู้สึก?”
”เจ้า!” ใบหน้าที่เปื้อนเลือดของเสี่ยเจี้ยนจ้องมองเถียนอวิ๋นเมิ่งซึ่งถูกปกคลุมไปด้วย ‘ถ่านดำ’
”ข้า… ข้าเป็นอะไรไป?” เถียนอวิ๋นเมิ่งในยามนี้ร่างกายเป็นอัมพาตไปแล้ว นางไม่สามารถขยับตัวได้ชั่วคราว นางจึงตื่นตระหนกอย่างมากในเวลานี้
แววตาของเสี่ยเจี้ยนฉายความเคร่งขรึมขึ้นมา “ฟัน… หายไปหลายซี่… ใบหน้า… ไหม้เกรียม… แขนขา… ข้าเกรงว่า..”
”เกรงว่าอะไร?” แววตาของเถียนอวิ๋นเมิ่งราวกับจะฆ่าคนได้อย่างไรอย่างนั้น
”อาจจะ ต้องตัดแขนขา…” สิ้นคำพูดของเสี่ยเจี้ยน เถียนอวิ๋นเมิ่งพลันกรีดร้องออกมา “ข้า ข้าจะฆ่าหมอเทวดาคนนั้น!”
”ศิษย์น้อง อย่าตระหนกไป พวกเราต้องกลับไปที่สำนักมารราตรีก่อน บางทีเหล่าอาวุโสในสำนักอาจจะมีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า!” หลังจากเสี่ยเจี้ยนเอ่ยจบ เขาก็อุ้มเถียนอวิ๋นเมิ่งขึ้นมาแล้วจากไปทันที
ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่ง นางก็ได้แต่สาปแช่งต่าง ๆ นานา ทั้ง ๆ ที่เปิดปากร้องโหยหวนไปตลอดทาง
…
ลู่เฉินยังคงเสริมความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลในคฤหาสน์ต่อไปเพื่อรอให้ปลามาติดเบ็ด
หนานเหยาเห็นเช่นนั้นก็พึมพำว่า “ท่านต้องการฝังพวกเขาทั้งเป็นอีกกี่คน?”
”ฝังทั้งเป็น? เห็นชัด ๆ ว่าพวกเขามาหาเรื่องทะเลาะเอง โทษข้าได้ที่ไหนกัน!” ลู่เฉินเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ แต่หนานเหยากลับเริ่มกังวลแทนชายหนุ่มขึ้นมาแล้ว “ดูสิ ท่านไปล่วงเกินหอสมบัติสวรรค์ แล้วจากนั้นก็ไปล่วงเกินผู้ฝึกวิถีมาร ถึงยามนั้นหากพวกเขาส่งยอดฝีมือของสำนักมา ท่านนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย!”
”มากี่คน ข้าก็ต้องจัดการให้หมด!” ลู่เฉินกล่าวกับตัวเอง
แต่หนานเหยาไม่ค่อยเชื่อนัก “ค่ายกลของท่านจะหยุดทุกคนได้จริงหรือ?”
”เจ้าน่ะแค่รอดูก็พอ”
ชายหนุ่มเอ่ยจบก็ขึ้นไปพักผ่อนบนหลังคา โดยไม่สนใจสักนิดว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้น
…
ภายในร้านของหอสมบัติสวรรค์ เวลานี้จางเชียนกำลังมีสีหน้าเคร่งขรึม
”พี่ตู๋ คนที่เจ้าเชิญมาเชื่อถือได้หรือไม่?”
”วางใจ เขาเป็นหนึ่งในสิบปรมาจารย์ค่ายกลแห่งแดนทักษิณา หากมีเขาอยู่ย่อมทำลายค่ายกลของเจ้าเด็กนั่นได้อย่างง่ายดาย” ตู๋ซานชิงกล่าวอย่างมั่นใจ
“แล้วเหตุใดเขายังไม่มา?”
”อย่ารีบร้อน มันต้องใช้เวลา!” ตู๋ซานชิงเอ่ยจบก็มีเสียงดังขึ้นจากนอกประตู
”พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรลับหลังข้า?”
จากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสวน
บุคคลนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโจวกัง ซึ่งเป็นยอดฝีมือด้านค่ายกลที่ตู๋ซานชิงเชิญมา
ตู๋ซานชิงแนะนำอีกฝ่ายให้จางเชียนรู้จักทันที “ชายผู้นี้มีนามว่าโจวกัง”
“โจวกัง ปรมาจารย์ค่ายกลของสำนักค่ายกลสวรรค์?” เห็นได้ชัดว่าจางเชียนเคยได้ยินเรื่องของบุคคลนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้น
ตู๋ซานชิงพลันพยักหน้าและยืนยันว่า “ใช่!”
จางเชียนเห็นเช่นนั้นก็ดีใจยิ่ง “ปรมาจารย์โจว คราวนี้ท่านต้องช่วยพวกเรานะขอรับ”
”แน่นอน แต่ราคานั้น…” โจวกังมาที่นี่ในยามนี้ก็เพื่อหาเงิน เพราะเขาต้องการซื้อยามารักษาอาการบาดเจ็บของตน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงอาการบาดเจ็บที่ลู่เฉินทำกับเขาครั้งล่าสุด โจวกังก็ได้แต่สบถในใจ ‘ถ้าข้าไม่โดนเจ้าเด็กนั่นทำร้าย เห็นทีก็คงไม่ต้องมาช่วยคนอื่นที่เมืองชั้นสามเช่นนี้!’
แต่สีหน้าของโจวกังยังคงประจบสอพลอ เพื่อเงินแล้ว เขาจึงแสร้งยิ้มแย้มในขณะที่พูด
ทว่าราคาที่เรียกมานั้นมีหรือที่จางเชียนและพวกจะมอบให้ได้ เนื่องจากในวันนี้พวกเขาได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดของตนให้กับลู่เฉินไปแล้ว ดังนั้นเมื่อเอ่ยเรื่องของราคา คนทั้งคู่ก็พลันมีท่าทีลำบากใจขึ้นมา
ตู๋ซานชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่โจว ขอแค่เจ้าทำลายค่ายกลได้ ของดีในคฤหาสน์มีเท่าไหร่ย่อมให้ท่านได้ทั้งหมด”
“จริงหรือ?” โจวกังไม่เชื่อ
”ข้าจะบอกให้ เจ้านั่นน่ะ วัน ๆ หาเงินได้หลายร้อยล้านเชียว” ตู๋ซานชิงโอ้อวดออกไป
เมื่อโจวกังได้ยิน แววตาของเขาก็เป็นประกาย “จริงหรือ?”
“วันนี้ที่เขารักษาคนป่วย รักษาครั้งหนึ่งเท่ากับราคาสมุนไพรวิญญาณอายุหนึ่งพันปีขึ้นไปเชียวนะ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?” ตู๋ซานชิงยังคงล่อลวงต่อไป
ใขขณะที่จางเชียนยังกล่าวอีกว่า “วิชาแพทย์ของเขายอดเยี่ยมมาก ถ้าเราจับเขาได้ เราจะไม่เพียงได้สิ่งของเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าเขาได้เรียนรู้วิชาแพทย์อะไรบ้างด้วย!”
ตู๋ซานชิงพยักหน้า “ถูกต้อง วิชาแพทย์ของเขาร้ายกาจยิ่ง ถ้าเรียนรู้ได้ มันจะดีขนาดไหน?”
คำพูดของสองคนนี้ดึงดูดใจอีกฝ่ายมากจริง ๆ
นอกจากนี้ โจวกังก็มาที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจกลับไปมือเปล่าได้ “ก็ได้ เช่นนั้นพาข้าไปที่คฤหาสน์ก่อน”
เมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็พลันดีใจ และรีบพาโจวกังไปที่คฤหาสน์ทันที
ลู่เฉินที่อยู่ในคฤหาสน์เวลานี้กำลังใช้ ‘เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ’ สัมผัสสภาพแวดล้อม และเมื่อโจวกังกับทั้งสองคนเข้ามาในขอบเขต ลู่เฉินก็พลันสงสัย “วันนี้วันอะไร เหตุใดคนถึงแห่กันมาพร้อมกันหมด? ”
เมื่อลู่เฉินได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคน เขาก็ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ถ้าโจวกังรู้ว่าข้าเป็นผู้วางค่ายกลนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะกล้าทำลายค่ายกลนี้หรือไม่!”
ส่วนโจวกังนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคฤหาสน์นี้เป็นของลู่เฉิน นับประสาอะไรกับการจะรู้ได้ว่าค่ายกลนี้เป็นสิ่งที่ลู่เฉินวางไว้ เขาจึงพูดด้วยท่าทางที่เชี่ยวชาญว่า “ที่นี่น่ะหรือ?”
”ใช่ มันคือคฤหาสน์ตรงหน้านี่แหละ” ตู๋ซานชิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
”ท่านปรมาจารย์ มีวิธีทำลายมันหรือไม่?” จางเชียนตั้งหน้าตั้งตารออย่างยิ่ง
”เรื่องเล็กน่ะ!” โจวกังไม่แม้แต่จะมองมันด้วยซ้ำ ราวกับคิดว่ามันช่างง่ายดายยิ่งนัก!