ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 108 พอถอดชุดเกราะ เจ้าก็เริ่มปอดแหก
บทที่ 108 พอถอดชุดเกราะ เจ้าก็เริ่มปอดแหก?
หลี่ว์ซือต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ลู่เฉินกลับยิ้มให้ทหารม้าทมิฬ “ชุดเกราะของเจ้าไม่เลวเลย”
”แน่นอน!” ทหารม้าทมิฬที่อยู่ด้านนอกเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
”ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่?”
”ดูแล้วจะรู้จักหรือ?” ทหารม้าทมิฬพูดด้วยสีหน้าดูถูก ส่วนลู่เฉินก็เพียงเคาะเกราะจนดังแกรก ๆ จากนั้นจึงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เลว ดีมาก!”
ทหารม้าทมิฬที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใช้สายตาดั่งกำลังมองคน ‘โง่เขลา’ ไปทางลู่เฉินแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่กลัวก็เลยกล้าล่วงเกินโถงพิสุทธิ์? แสดงว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ สินะ”
ลู่เฉินเพียงฉีกยิ้ม เขาไม่พูดอะไรมาก แต่กลับแอบสลักอักขระยันต์ลงบนชุดเกราะของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ
อักขระนี้ทำงานคล้ายกับผนึกในศาสตราวุธวิญญาณธนูก่อนหน้านี้ มันถูกออกแบบมาเพื่อผนึกความสามารถของศาสตราวุธวิญญาณโดยเฉพาะ
แต่ทหารม้าทมิฬนั้นไม่รู้ และไม่คิดว่าลู่เฉินจะ ‘สามารถ’ ทำลายการเชื่อมโยงระหว่างตัวเขาและชุดเกราะได้
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เฉินก็ดึงมือกลับไปอย่างเงียบเชียบ และกลับไปนั่งข้างหลี่ว์ซือดังเดิม
เมื่อหลี่ว์ซือเห็นท่าทางยิ้ม ๆ ของลู่เฉิน เขาก็สงสัย “เจ้าหัวเราะอันใด?”
”อีกเดี๋ยวจะมีละครเด็ดให้ชมกัน”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้หลี่ว์ซืองุนงงมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน รถม้าก็หยุดลงที่ยอดเขาซึ่งโถงพิสุทธิ์ตั้งอยู่
ยามนี้มีผู้คนของโถงพิสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน และยังมีโลงศพหินสีดำลอยอยู่บนหลังคา
ในเวลาเดียวกันก็มีตู๋ซานชิงและคนอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย!
โดยเฉพาะเฮยเฟิงที่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นรถม้าร่อนลงมา “ดูสิ ใต้เท้า ทหารม้าทมิฬกลับมาแล้ว”
ยามนี้เองที่ทหารม้าทมิฬพลันเดินออกมา
ส่วนลู่เฉินและหลี่ว์ซือเองก็ลงจากรถม้าเช่นกัน
เมื่อหลี่ว์ซือกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เขาก็พลันเขม่นจ้องไปยังโลงศพหินสีดำบนหลังคาเบื้องหน้า ปากก็กล่าวว่า “ท่านผู้นำ!”
“หลี่ว์ซือ เจ้าร่วมมือกับข้ามาตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดจะไปก็ไปเสียล่ะ?” เสียงบุรุษผู้ไม่พอใจดังมาจากภายในโลงศพหิน
หลี่ว์ซือมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ข้าร่วมมือกับเจ้าก็จริง แต่หลายปีมานี้ตั้งแต่ที่ข้าได้เม็ดยาไปหนึ่งเม็ดในครั้งแรก ข้าก็ไม่เคยได้รับมันอีกเลย ดังนั้นข้าจึงวางแผนหาคนที่จะร่วมมือด้วยใหม่”
“เจ้าก็เลยไปหาเจ้าตัวเล็กผู้นี้หรือ?” น้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามดังมาจากภายในโลงศพหิน
“เขาไม่ได้อ่อนแอ!”
“ไม่อ่อนแอ แต่กลับยอมถูกจับมาอย่างว่าง่ายงั้นหรือ?” ผู้นำกลุ่มโถงพิสุทธิ์หัวเราะอย่างเย็นชา ส่วนทหารม้าทมิฬก็พูดอย่างเคอะเขินว่า “ท่านผู้นำ เจ้าหนูคนนี้ต้องการมาที่นี่ด้วยตัวเอง!”
หลังจากที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็พากันกระซิบกระซาบ
“เขาไม่ได้มาเพื่อยอมรับความผิดหรอกหรือ?”
“ข้าว่าอีกเดี๋ยวเขาคงจะคุกเข่าและร้องขอความเมตตาแล้ว!”
”ใช่!”
ไม่ใช่แค่คนเหล่านี้เท่านั้น ทว่าเฮยเฟิงยังข่มขู่โดยการใช้บารมีของผู้อื่นมาพูดว่า “เจ้าหนู ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าตอนนี้มันสายไปแล้ว!”
“สายเกินไปแล้วหรือ?” ลู่เฉินมองไปที่เฮยเฟิง ส่วนเฮยเฟิงที่เห็นท่าทางน่าสงสัยของลู่เฉินก็พูดอย่างยินดีว่า “ถูกต้อง เจ้าล่วงเกินผู้นำของพวกเรา แม้ว่าเจ้าจะยอมรับผิดก็ไร้ประโยชน์!”
จะทำอย่างไรได้ เห็นทีคงต้องเฉลยให้พวกเขาฟังแล้วกระมัง? “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อยอมรับผิด!”
คำพูดของลู่เฉินทำให้ทุกคนประหลาดใจ ส่วนตู๋ซานชิงถึงกับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “หากเจ้าไม่ได้มายอมรับผิด? เช่นนั้นเจ้ามาทำอันใด?”
”ข้ามาเอาบางอย่างจากผู้นำของเจ้า!” คำพูดของลู่เฉินทำให้ผู้คนของโถงพิสุทธิ์ทั้งหมดพากันกระทืบเท้าด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าหนู เจ้าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยหรือ? ช่างโอหังเสียจริง!”
“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นอันใด?”
“เจ้าหนู เจ้ากล้ายั่วยุแม้แต่ท่านผู้นำของเราหรือ?”
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ส่งเสียงโห่ร้อง ลู่เฉินก็มองไปที่โลงศพแล้วกล่าวว่า “ออกมาคุยกัน”
”เจ้าหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” คนผู้นั้นพูดเสียงเย็นชา ส่วนลู่เฉินก็จ้องมองที่โลงศพหินเขม็งและพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนในโถงพิสุทธิ์ได้มอบหยดโลหิตแก่ป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ และผู้นำทุกรุ่นก็ถูกบังคับให้ฝึกฝนในวิถีมาร ไม่เพียงเท่านั้น เพราะขอแค่หยดโลหิตลงบนแผ่นป้าย พวกเจ้าทุกคนก็จะถูกตำหนักวิญญาณสวรรค์ผูกมัดไว้!”
คนส่วนใหญ่ล้วนรู้จักป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ แต่เรื่องที่ผู้นำต้องฝึกฝนวิถีมารนี้มีผู้รู้อยู่เพียงไม่กี่คน ดังนั้นพวกเขาจึงมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
ขณะเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในโลงศพหินเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ก่อนจะกล่าวปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมรับ “เจ้าหนู ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด!”
”โอ้? ถ้าอย่างนั้นเจ้ากล้าใช้เคล็ดวิชาให้ข้าดูหรือไม่?” ลู่เฉินถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
วาจานี้ทำให้ผู้ที่อยู่ในโลงศพก่นด่าอย่างลับ ๆ ทว่าเขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
”แค่จัดการเจ้าน่ะหรือ ขอแค่ทหารม้าทมิฬหรือคนที่มีความสามารถขั้นหลอมแก่นแท้ของโถงพิสุทธิ์นี้ลงมือก็พอ เหตุใดข้าต้องทำลงมือเองด้วย?”
”ทหารม้าทมิฬ? ข้าเกรงว่าเขาจะทำไม่ได้!” ลู่เฉินมองไปที่ทหารม้าทมิฬแล้วส่ายหัว
ในสายตาของทหารม้าทมิฬ คำพูดนี้คือการดูถูกอย่างชัดเจน! ดังนั้นทหารม้าทมิฬจึงหยิบค้อนขนาดใหญ่ออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าหนู เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ”
เฮยเฟิงพลันเติมเชื้อเพลิงลงในกองเพลิงทันที “ใต้เท้าทหารม้าทมิฬ สังหารเขาเลยขอรับ!”
ส่วนตู๋ซานชิงแอบหัวเราะอยู่ในใจ “เด็กผู้นี้ช่างพูดตรงไปตรงมาจริง ๆ!”
ขณะเดียวกัน จางเชียนก็กำลังเฝ้ารออย่างมีความสุข เขากำลังรอดูว่าลู่เฉินจะถูกทุบจนเป็นก้อนเนื้ออย่างไร!
ไม่เพียงแค่คนเหล่านี้เท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้นำในโลงศพก็ยังดูถูกลู่เฉิน “เจ้าหนู หากกล้าจริง ๆ ก็จงเอาชนะเขาเสียสิ! ถ้าเจ้าไม่กล้า ก็ยอมรับความพ่ายแพ้เสียดี ๆ อย่าได้มาพูดพล่ามไร้สาระที่นี่ !”
ทว่าชายหนุ่มมีหรือที่จะกลัว? เขาหันไปพูดยั่วทหารม้าทมิฬทันที “ชุดเกราะของเจ้าอาจดูทรงพลังและน่ากลัวยิ่งนักในสายตาคนอื่น แต่สำหรับข้า… มันก็แค่ของจิ๊บจ๊อยกระจอกยิ่งนัก!!”
”กระจอก? ไอ้หนู มานี่เลย! ข้าจะให้เจ้าโจมตีก่อน หากเจ้าทำร้ายข้าได้ ข้าจะยอมทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ!” ทหารม้าทมิฬตกหลุมพลางของลู่เฉินเสียแล้ว
ลู่เฉินมีหรือจะพลาด? เขาแอบหัวเราะในใจ คิดว่าอีกฝ่ายช่าง ‘โง่เขลา!’ เสียจริง
ทว่าภายนอกนั้นลู่เฉินกลับเพียงฉีกยิ้มอย่างพอใจแล้วกล่าวว่า ”เจ้าพูดเองนะ”
”แน่นอน! เข้ามาได้เลย!” ทหารม้าทมิฬเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ส่วนเฮยเฟิงก็ยั่วเย้าลู่เฉินต่อไป “เจ้าหนู ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าพลังป้องกันของใต้เท้าทหารม้าทมิฬของเราสามารถต้านทานเคล็ดวิชาขั้นหลอมแก่นแท้ทั้งหมดของโถงพิสุทธิ์ได้!”
ต้านได้ทั้งหมด?
ลู่เฉินยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยาม และเดินไปหาทหารม้าทมิฬทีละก้าว และเมื่อได้ระยะที่ต้องการ เขาก็พลันใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาคุมจิตวิญญาณ
ฉับพลันนั้น! ชุดเกราะได้หลุดออกจากร่างของทหารม้าทมิฬอย่างไม่อาจควบคุม
จากนั้นทุกคนก็ได้เห็นชายในชุดบาง ๆ และมีหนวดเครายาวกำลังจ้องมองมาที่ลู่เฉินด้วยความตกตะลึง “เจ้า… เจ้าทำอะไรลงไป?”
ทว่าลู่เฉินไม่ตอบ เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย จากนั้นพลันโบกมือเรียกเกราะวิญญาณชุดนี้ให้มาอยู่ในมือของตัวเอง
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพลันตกตะลึงจนตาค้าง
ทหารม้าทมิฬตกใจจนแทบเสียสติ เขารีบควบคุมชุดเกราะวิญญาณของตัวเอง แต่กลับพบว่าชุดเกราะนี้ขาดการเชื่อมโยงกับตนเองไปแล้ว เขาจึงพูดอย่างร้อนใจว่า “ไอ้บัดซบสารเลว! เจ้าทำอันใดกับชุดเกราะวิญญาณของข้า?”
”ข้าแค่ผนึกมันไว้ เพื่อทำให้จิตวิญญาณศาสตราข้างในขาดการเชื่อมโยงกับเจ้า เช่นนี้เจ้าก็ไม่อาจควบคุมมันได้แล้ว” ลู่เฉินอธิบาย
ทหารม้าทมิฬจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้ และพูดอย่างโมโหว่า “เจ้า เจ้าทำอันใดกับข้าตอนที่อยู่บนรถม้า?”
หลี่ว์ซือตกใจทันที และในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดลู่เฉินถึงยิ้มอย่างแปลกประหลาดเมื่อตอนนั้น
ลู่เฉินยังคงสงบนิ่งแล้วเอ่ยว่า “ผู้ใดใช้ให้เจ้าโง่เขลาเยี่ยงนี้”
“หากไม่อยากตายก็รีบคืนชุดเกราะให้ข้า!” ทหารม้าทมิฬโกรธจัด
“แต่เจ้ายังไม่ให้ข้าโจมตีเลย!”
โจมตี? ทหารม้าทมิฬรีบพูดทันทีว่า “ที่พูดเมื่อครู่ไม่นับ!”
”อันใดนะ เหตุใดเจ้าถึงกลับใจเร็วจัง?” ลู่เฉินหัวเราะเยาะ
บรรดาผู้ชมต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ลู่เฉินยังคงหยอกล้อต่อไปว่า “พูดแล้วคืนคำงั้นหรือ? เช่นนี้เจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? หรือว่าพอไม่มีชุดเกราะวิญญาณ เจ้าก็เลยรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอและเปราะบาง?”
เมื่อทหารม้าทมิฬถูกดูหมิ่นจากผู้ที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐาน เขาก็ระเบิดความโกรธแค้นออกมาทันที “มาสิ! เข้ามาเลย! เพราะแม้ไม่มีเกราะวิญญาณ ข้าก็ยังต้านทานการโจมตีของเจ้าได้อยู่ดี!”
”อืม ดี นี่สิถึงจะเร้าใจขึ้นมาหน่อย!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลงกล ลู่เฉินก็ชักกระบี่ออกมาทันที จากนั้นพลันใช้วิชากระบี่สยบเก้าทิศส่งออกปราณกระบี่ห้าสายที่ถูกบีบอัดจากสองพันสาย!
ทหารม้าทมิฬที่เห็นดังนั้นก็รีบปลดปล่อยม่านปราณออกมา และปากก็ยังไม่ลืมที่จะตะโกนว่า “แค่วิชากระบี่กระจอก ๆ ของเจ้า คิดหรือว่าจะทำร้ายข้าได้?”