ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 107 แสร้งยอมแพ้และถือโอกาสไปเอาของ!
บทที่ 107 แสร้งยอมแพ้และถือโอกาสไปเอาของ!
เถ้าแก่ไม่เพียงแต่ตกใจเท่านั้น แม้แต่ดวงตาของหลี่ว์ซือภายใต้หน้ากากสีเงินก็ยังมองลู่เฉินอย่างฉงน
ส่วนผู้ชมที่มุงอยู่นอกร้าน พวกเขาถึงกับอุทานออกมาทีละคน
”นี่มัน เท่า…” เถ้าแก่พูดด้วยความงุนงงหลังจากเห็นสมุนไพรวิญญาณกองนั้น และแต่ละต้นก็มีอายุมากกว่าพันปี
”ไม่รู้สิ เจ้าลองนับดูเถิด” ลู่เฉินได้นำของที่เหลืออยู่จากการใช้งานในช่วงหลายเดือนนี้ออกมา
เถ้าแก่ขานรับว่า ‘อ้อ’ แล้วเริ่มนับ
ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา เถ้าแก่ตาเดียวก็นับเสร็จ และเขายังเหลือบมองไปที่ลู่เฉินอย่างลังเลและพูดว่า “มีทั้งหมดสองพันห้าร้อยต้น ถ้าหนึ่งต้นเท่ากับหนึ่งล้าน พวกนี้ก็มีค่ามากกว่าสองพันล้าน!”
“แล้วเตาของเจ้าราคาเท่าไร?”
”ข้าคิดเจ้าสองพันล้าน ส่วนสมุนไพรวิญญาณที่เหลือห้าร้อยต้นก็คืนให้เจ้า!” เถ้าแก่ตาเดียวกำลังจะนับสมุนไพรเก็บไป แต่ลู่เฉินกลับส่ายหัว “ข้าต้องการวัตถุดิบปรุงยาชนิดอื่น ๆ อีก เช่นนั้นห้าร้อยต้นนี้ลองดูว่าจะแลกได้เท่าไหร่”
“วัตถุดิบปรุงยาอันใด?”
ลู่เฉินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดถึงสิ่งที่ต้องการออกไป
ทว่าเถ้าแก่ตาเดียวกลับพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เรามีเก้าในสิบอย่างจากที่เจ้าพูดถึง แต่เราไม่มีอย่างสุดท้าย น้ำค้างบุปผาพันปี!”
”โอ้? น้ำค้างบุปผาพันปี เจ้าไม่มีหรือ?” ลู่เฉินไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะขาดสิ่งนี้ไป
“สิ่งนี้เก็บรักษายาก แถมยังหายากอีก ดังนั้น…” เถ้าแก่ตาเดียวมีท่าทีลำบากใจ
ลู่เฉินจึงทำได้เพียงกล่าวว่า “ไม่เป็นไร อีกเก้าชนิดที่เหลือ เจ้าสามารถนำมาได้เท่าใดก็เท่านั้น!”
”ตกลง!”
เถ้าแก่ตาเดียวดีใจยิ่งนัก เขาคิดว่าในที่สุดลูกค้ารายใหญ่ก็มาเยือนแล้ว! ดังนั้นจึงรีบไปเตรียมของที่ชายหนุ่มว่า พร้อมกับหันไปพูดกับลู่เฉินว่า “เจ้า ตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปเอาเตา!”
ลู่เฉินขานรับ จากนั้นก็เดินตามหลี่ว์ซือไปที่ชั้นสองของร้าน
ในร้านแห่งนี้มีค่ายกลเรียบง่ายวางอยู่รอบ ๆ และจุดประสงค์ของมันก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกขโมย
เถ้าแก่ตาเดียวพาลู่เฉินไปที่มุมหนึ่ง และพูดพร้อมชี้ไปทางเตาสีเขียวขึ้นสนิมตรงมุมว่า “นี่แหละ!”
ลู่เฉินเห็นเป้าหมายก็พลันใช้เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณเพื่อสัมผัสมันทันที
ส่วนหลี่ว์ซือที่อยู่ข้าง ๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น ปากก็กล่าวว่า “สิ่งที่ขึ้นสนิมนี้คือสมบัติสวรรค์?”
“หากเป็นของปลอม พวกเจ้าก็สามารถนำมันมาเปลี่ยนได้เลย!” เถ้าแก่ตาเดียวยืนยัน
ลู่เฉินที่สำรวจเสร็จก็พลันก้าวไปข้างหน้า เขายื่นมือเตรียมที่จะหยิบเตา แต่เถ้าแก่ตาเดียวกลับพูดอย่างกระวนกระวายว่า “ระวัง มันมีค่ายกลป้องกันอยู่”
ทว่าลู่เฉินกลับหยิบเตามาอย่างง่ายดาย โดยไม่แม้แต่จะทำให้ค่ายกลถูกกระตุ้น!
สิ่งนี้ทำให้เถ้าแก่ตาเดียวจ้องมองลู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เขาถามอย่างฉงนว่า “นี่เจ้าทำได้อย่างไร? ”
”ข้ารู้จักค่ายกลมาไม่น้อย แค่นี้จึงไม่ใช่ปัญหา” ลู่เฉินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เถ้าแก่ตาเดียวกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาเลย และมันก็ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความรู้เพียงเล็กน้อย!
เถ้าแก่ตาเดียวจึงจ้องมองที่ลู่เฉินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบแผ่นป้ายออกมา “นี่คือแผ่นป้ายสำหรับแขกผู้สูงศักดิ์ของร้านเรา จากนี้ไปเจ้าสามารถใช้มันที่สาขาใดของเราก็ได้ในแดนวิญญาณ!”
ลู่เฉินชำเลืองมองแวบหนึ่งก็พบว่ามีอักษรตัวใหญ่สลักอยู่ว่า ‘หอหมื่นสรรพสิ่ง’
”หากมีมัน เจ้าจะได้รับส่วนลดสองส่วน!” เถ้าแก่ตาเดียวมองลู่เฉินด้วยรอยยิ้ม ส่วนลู่เฉินก็พยักหน้าและพูดว่า “จากนี้ข้าคงมาซื้อของที่ร้านเจ้าบ่อย ๆ”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง!”
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ลู่เฉินก็จัดแจงเก็บเตาแล้วพาหลี่ว์ซือจากไป
ส่วนเถ้าแก่ตาเดียวก็เดินมาส่งทั้งสองคน จากนั้นจึงได้เอ่ยอยู่ที่หน้าประตูด้วยรอยยิ้มว่า “แวะมาบ่อย ๆ นะขอรับ”
แต่หลี่ว์ซือซึ่งกำลังเดินอยู่กลับพูดอย่างเย็นชาว่า “เตานี่ เดาว่าไม่ใช่แม้กระทั่งสมบัติวิญญาณด้วยซ้ำ!”
”อย่าได้มองเพียงภายนอกเชียว เพราะมันเป็นแค่ภาพลวงตา!” คำพูดของลู่เฉินทำให้หลี่ว์ซือขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ภาพลวงตา?”
”ใช่ สมบัติวิญญาณที่ค่อนข้างทรงพลังสามารถสร้างภาพลวงตาได้ ทำให้คนอื่นคิดว่าพวกมันเป็นเพียงขยะ” ลู่เฉินอธิบาย
หลี่ว์ซือไม่ค่อยเข้าใจนัก
แต่ลู่เฉินกลับมองไปรอบ ๆ และพูดว่า “ข้าต้องหาสักหน่อยว่าน้ำค้างบุปผาพันปีอยู่ที่ใด”
“น้ำค้างบุปผาอายุพันปีชนิดใดก็ได้หรือ?” หลี่ว์ซือถามด้วยความสงสัย
”ใช่ ขอแค่มากกว่าพันปีก็พอ”
”เช่นนั้นในเขตที่หนึ่งนี้ ข้าก็รู้จักสถานที่แห่งหนึ่งที่มีมัน”
”โอ้? ที่ใด?”
”โถงพิสุทธิ์!” คำพูดของหลี่ว์ซือทำให้ลู่เฉินหัวเราะ “เจ้าอยากกลับไปหรือ?”
“ไม่ใช่ แต่ข้าสามารถทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเขาได้!”
”ทำการแลกเปลี่ยน? ข้าคิดว่าโถงพิสุทธิ์คงไม่ยอมหรอก” ลู่เฉินเอ่ย แต่หลี่ว์ซือกลับไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด?”
”ข้าทำให้พวกเขาต้องเสียหน้าขนาดนี้ ส่วนเจ้าก็ออกจากโถงพิสุทธิ์ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะยอมแลกเปลี่ยนโดยง่ายหรือ?” คำพูดของลู่เฉินทำให้หลี่ว์ซือเงียบขรึมไปทันที
เมื่อลู่เฉินเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว สิ่งที่เขาพูดก็พลันกลายเป็นจริงขึ้นมา!
เห็นเพียงคนสวมชุดเกราะสีดำทั้งตัวปรากฏขึ้น
ผู้คนในเมืองต่างตกใจ ปากก็ร้องตะโกนว่า “ดูสิ!! นั่นทหารม้าทมิฬของโถงพิสุทธิ์!”
“หรือว่าเขาก็คือทหารม้าทมิฬที่อยู่ข้างกายผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์?”
”ใช่ คนผู้นั้นสวมชุดเกราะ และแม้แต่กระบวนท่าของตัวตนขั้นหลอมแก่นแท้ก็ทำร้ายเขาไม่ได้!”
”ดูเหมือนว่าโถงพิสุทธิ์จะเคลื่อนไหวแล้วจริง ๆ!”
ทหารม้าทมิฬได้หันไปพูดกับหลี่ว์ซือด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านผู้นำต้องการพบเจ้า!”
“ข้าบอกคนของโถงพิสุทธิ์แล้วว่าข้าจะไม่กลับไป!” หลี่ว์ซือเอ่ยอย่างเย็นชา
ทหารม้าทมิฬรู้ดีว่าหลี่ว์ซือทรงพลังมาก ดังนั้นเขาจึงขู่ว่า “หากเจ้าไม่คิดถึงตัวเอง ก็ควรคิดถึงคนข้าง ๆ เจ้าบ้าง”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ว์ซือพลันหันมองไปที่ลู่เฉิน จากนั้นก็มองไปที่ทหารม้าทมิฬ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าทำร้ายเขา!”
”ถ้าข้าต้องการทำร้ายเขาจริง ๆ เจ้าก็หยุดข้าไม่ได้!” ทหารม้าทมิฬพูดอย่างมั่นใจ และในขณะเดียวกันก็มีกระบองสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือของเขา ทำให้ทุกคนแยกย้ายกันทันที ต่างไม่กล้าเข้าใกล้เพราะรู้ถึงความน่ากลัวของกระบองด้ามนี้เป็นอย่างดี!
หลี่ว์ซือที่เห็นดังนั้นพลันเข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าลู่เฉิน และจ้องมองทหารม้าทมิฬเขม็ง “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าทำร้ายเขา!”
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินกลับยิ้มให้หลี่ว์ซือแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไปที่โถงพิสุทธิ์กันเถอะ!”
”อันใดนะ?” หลี่ว์ซือตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ส่วนผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงก็ต่างคิดว่าลู่เฉินคงต้องการประนีประนอม ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงทยอยกันชี้มา
”ดูสิ ในที่สุดเจ้าหนุ่มนี่ก็ยอมประนีประนอมแล้ว”
“ไร้สาระ ทหารม้าทมิฬก็มาแล้ว เขามีทางเลือกอื่นด้วยหรือ?”
”ก็ถูก ยังไงคนเราก็มีชีวิตเดียวนี่เนอะ!”
“รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายก็ต้องเป็นแบบนี้!”
…
ลู่เฉินมองไปที่หลี่ว์ซือที่กำลังประหลาดใจด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าเจ้าไม่อยากได้น้ำค้างบุปผาพันปีงั้นหรือ?”
”เจ้า!” หลี่ว์ซือเข้าใจทันทีว่าลู่เฉินหมายถึงอะไร
”ไปกันเถอะ มาดูกันว่าผู้นำคนนั้นจะร้ายกาจเพียงใด!”
หลี่ว์ซือที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำได้เพียงมองไปทางทหารม้าทมิฬแล้วเอ่ยว่า “นำทางเถิด!”
ดังนั้นทหารม้าทมิฬจึงพาทั้งสองคนไปที่ประตูเมือง ซึ่งที่ตรงนั้นก็ได้มีรถม้าสีดำจอดอยู่
เมื่อลู่เฉินและหลี่ว์ซือขึ้นไปบนรถม้า รถม้าสีดำก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในพลัน
ลู่เฉินที่อยู่ในรถม้าฉีกยิ้มกว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น “น่าสนใจยิ่ง!”
ส่วนหลี่ว์ซือกังวลเล็กน้อย “เจ้าไม่กลัวว่าผู้นำของโถงพิสุทธิ์จะจัดการเจ้าหรือ?”
”ข้ามีวิธีของข้า” ลู่เฉินพูดอย่างมั่นใจ แต่หลี่ว์ซือกลับไม่เข้าใจและงงงันยิ่งกว่าเดิม “เหตุใดเขาถึงมั่นใจนัก?”
ทหารม้าทมิฬที่อยู่นอกรถม้าเตือนหลี่ว์ซือว่า “หลี่ว์ซือ ถ้าเจ้าไม่อยากให้เขาตาย ก็ควรบอกเขาว่าอย่าคิดจะทำอะไรนอกลู่นอกทาง …มิฉะนั้นหากทำอะไรไม่คิดขึ้นมา เขาก็อาจจะตายโดยไม่ทันรู้ตัว!”