ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 106 ลักพาตัวหลี่ว์ซือไปอย่างง่ายดาย!
บทที่ 106 ลักพาตัวหลี่ว์ซือไปอย่างง่ายดาย!
ตู๋ซานชิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผู้อาวุโส… ท่านไม่ต้องการเม็ดยานี้แล้วหรือ?”
”ข้าต้องการสิ่งของจากผู้อื่นอย่างยุติธรรม แต่คิดไม่ถึง… ว่าข้าจะไม่สามารถทำให้เสร็จได้ ดังนั้นแน่นอนว่าข้าจึงไม่ต้องการมันอีก!” ชายหน้ากากสีเงินพูดอย่างเย็นชา
ส่วนตู๋ซานชิงก็คิดจะพูดอะไรบางอย่าง ในขณะที่เฮยเฟิงและจางเชียนต่างก็ร้อนใจ
”เจ้าอยากให้ข้าลงมือกับพวกเจ้าหรือไม่?” คำพูดของชายหน้ากากสีเงินทำให้ทั้งสามคนถึงกับตกใจและรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ทว่า… ชายหน้ากากสีเงินได้เอ่ยกับเฮยเฟิงที่กำลังเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวว่า “บอกผู้นำของพวกเจ้าด้วยว่า ข้าจะไม่กลับไปที่นั่นอีก!”
เฮยเฟิงพลันเกิดความงุนงง แต่ยามนี้เขาไม่กล้าหยุด ทำได้เพียงแค่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสามคนจากไปแล้ว ชายหน้ากากสีเงินก็หันมาจ้องมองลู่เฉิน ปากก็กล่าวว่า “ข้ามีนามว่าหลี่ว์ซือ! ข้าไม่รู้ว่าที่เจ้าพูดว่าปรุงยาได้นั้นเป็นจริงหรือไม่? ”
หากพูดถึงก่อนหน้านี้ เขาก็คงยังสงสัยในความสามารถของลู่เฉินอยู่บ้าง
แต่หลังจากที่ลู่เฉินสำแดงวาดค่ายกลอักขระรวบรวมวิญญาณออกมา หลี่ว์ซือก็มั่นใจได้ว่าลู่เฉินมีความสามารถไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเชื่อชายหนุ่ม
“ใช่” ลู่เฉินยืนยัน
“มีเงื่อนไขใด? เจ้าลองเสนอเลย!” หลี่ว์ซือเผยสีหน้ารอคอย
”เงื่อนไข?”
“ใช่ เวลาข้าทำข้อตกลงกับผู้ใด ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเงื่อนไขของคนผู้นั้น ถ้ารู้สึกว่าเหมาะสม ข้าก็จะทำ แต่ถ้าไม่เหมาะสม ข้าก็จะไม่ทำ!” หลี่ว์ซือพูดอย่างมีหลักการ
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าหลี่ว์ซือจะน่าสนใจเพียงนี้ เขาจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น หากข้าบอกให้เจ้าพาข้าไปสำนักไร้สุญญะ หรือไม่ก็ให้เจ้าสอนวิชาหมัดสวรรค์ และเคล็ดเบิกกายาให้แก่ข้า?”
หลี่ว์ซือสั่นศีรษะ “มีบางสิ่งที่ข้าจะไม่ทำ!”
”เช่นนั้นก็พูดมาเถิด!” ลู่เฉินอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายมีหลักการอันใดบ้าง
หลี่ว์ซืออธิบายว่า “ประการแรกคือ ไม่เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับสำนักไร้สุญญะ ประการที่สองคือ ไม่ถ่ายทอดเคล็ดเบิกกายาแก่คนนอก ประการที่สามคือ ไม่รังแกผู้อ่อนแอ โดยเฉพาะคนชรา เด็ก คนป่วย และผู้พิการ และประการที่สี่คือ ไม่ทำผิดต่อฟ้า!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินก็หัวเราะอย่างขมขื่น “ดูเหมือนสิ่งที่ทำได้จะมีไม่มากนัก!”
”ข้าช่วยเจ้าสั่งสอนคนอื่นและทำสิ่งต่าง ๆ ให้เจ้าได้!”
”แต่ตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรแล้ว”
”เจ้าไม่คิดเรื่องนี้สักหน่อยหรือ?” หลี่ว์ซือคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะปฏิเสธเขาทันที
ลู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เอาล่ะ เจ้าตอบคำถามข้ามาก่อน แล้วเราค่อยหารือเรื่องข้อตกลงกัน”
”พูดมา”
”เหตุใดเจ้าถึงทำงานให้กับโถงพิสุทธิ์? นอกจากนี้ เจ้าได้หยดเลือดของเจ้าลงบนป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์หรือไม่?”
หลี่ว์ซือตอบอย่างลวก ๆ ว่า “ข้ามาที่แดนวิญญาณเพื่อหาเม็ดยาชำระล้าง และผู้นำโถงพิสุทธิ์ก็บอกข้าว่าเขาจะช่วยหา หากหาเจอก็จะแบ่งปันส่วนให้ข้าหนึ่งเม็ด แลกเปลี่ยนกับการได้สิทธิ์ไหว้วานให้ข้าลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง!”
”ผู้นำคนนี้รู้จักทำธุรกิจดีนี่!” ลู่เฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ส่วนคำถามที่สอง ข้าไม่ได้หยดเลือดลงไป เพราะข้าเป็นผู้ฝึกกายเนื้อ และพวกเขาก็คิดว่ามันไม่จำเป็นต้องหยดเลือดลงไป”
ลู่เฉินที่เข้าใจทุกอย่างแล้วจึงเอ่ยด้วยแววตากระจ่างแจ้ง “เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงตามข้ามาทำสิ่งหนึ่ง แล้วข้าจะให้ยาชำระล้างแก่เจ้า!”
“เจ้าปรุงยาชำระล้างได้จริงหรือ?” หลี่ว์ซือถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
”ใช่”
”ข้าอยากเห็น!” หลี่ว์ซือต้องการสิ่งยืนยัน ทว่าลู่เฉินกลับเผยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องกลับไปซื้ออุปกรณ์ปรุงยาและวัตถุดิบปรุงยาในเมือง จึงจะสามารถทำมันออกมาได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าเอาอะไรมาปรุง?”
“ได้ ข้าจะไปกับเจ้า!”
”ไม่ต้องรีบร้อน”
”เจ้ายังธุระอีกหรือ?” หลี่ว์ซือรู้สึกงุนงง ส่วนลู่เฉินก็มองไปในม่านหมอกแล้วเอ่ยว่า “มีคนอยู่ข้างใน ข้าต้องสั่งงานเขาก่อนถึงจะไปกับเจ้าได้”
“ได้ ข้าจะรอเจ้า!”
ส่วนลู่เฉิน ตอนนี้เขาก็ได้เดินหายเข้าไปในม่านหมอกแล้ว
ในขณะที่หลี่ว์ซือก็ยืนรออยู่เงียบ ๆ
อีกด้านหนึ่ง เฮยเฟิงที่หลบหนีไปไกลแล้วได้กล่าวกับตู๋ซานชิงว่า “ดูเจ้าสิ เจ้าทำได้งามหน้านัก!”
”เกี่ยวอันใดกับข้า?” ตู๋ซานชิงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ถูกเจ้าหนูนั่นดึงความสนใจไป ถ้าท่านผู้นำรู้เข้า เขาจะต้องตำหนิข้าอย่างแน่นอน!!” เฮยเฟิงกล่าวอย่างโกรธเคือง
และเมื่อตู๋ซานชิงได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คิดแผนได้ทันที “ข้าคิดว่าเราทำให้ผู้นำของพวกท่านลงมือได้!”
“เจ้าคิดว่าท่านผู้นำของพวกเราคือผู้ใด? สั่งให้เขาลงมือก็จะลงมือหรือ?” เฮยเฟิงรู้สึกว่าตู๋ซานชิงกำลังคิดเพ้อเจ้อ
“ท่านก็เพียงบอกว่าเจ้าหนูนั่นใช้เม็ดยาในการล่อลวงผู้อาวุโสให้ติดตามไป” ตู๋ซานชิงเอ่ยยุยง
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เฮยเฟิงก็เริ่มสงสัย “เจ้าหมายถึงว่าเป็นเพราะเม็ดยานั่น ผู้อาวุโสคนนั้นถึงไม่ยอมกลับโถงพิสุทธิ์?”
”ใช่!” ตู๋ซานชิงพยักหน้า
เฮยเฟิงที่ได้ยินก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงพาทั้งสองคนออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว
…
ภายในม่านหมอก ลู่เฉินพบเจี่ยลัวที่กำลังฝึกฝนอย่างมุ่งมั่น “เจ้าฝึกฝนอยู่ที่นี่ก่อน หากเห็นผลวิญญาณทมิฬ หรือมีสถานการณ์ประหลาดอันใด ให้ใช้ศิลาวิญญาณสื่อสารเรียกหาข้า!”
หลังจากเจี่ยลัวส่งเสียงขานรับ ลู่เฉินก็เดินออกไปจากที่นี่อย่างวางใจ
เมื่อหลี่ว์ซือเห็นลู่เฉินออกมา เขาก็เดินตามลู่เฉินไปอย่างเงียบ ๆ และพากันไปจากที่แห่งนี้
ทว่าผู้ชมที่อยู่ใกล้เคียงกลับตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น!
“ตัวประหลาดสองคนนี้ไปด้วยกันจริงหรือ?”
”น่ากลัวจริง ๆ!”
ในสายตาของทุกคนที่มองดูอยู่นั้น ชายสองคนนี้น่ากลัวยิ่งนัก แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือการที่ทั้งสองคนจะ ‘ร่วมมือกัน’ ซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม ทำได้เพียงแยกย้ายกันไป ไม่กล้าติดตามไปอีก
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา ลู่เฉินก็กลับมาที่เมืองเล็ก ๆ ในเขตที่หนึ่ง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังร้านขายของเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง
เมื่อเถ้าแก่ตาเดียวเห็นลู่เฉินก็ฉีกยิ้มออกมา แต่เมื่อเห็นหลี่ว์ซือ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คนจากสำนักไร้สุญญะ?”
หลี่ว์ซือส่งเสียงตอบรับอย่างเย็นชา
หลังจากที่เถ้าแก่ตาเดียวมั่นใจแล้ว เขาก็มองชายสองนี้คนอย่างแปลกประหลาด ปากก็พึมพำกับตัวเองว่า ‘สองคนนี้มาด้วยกันได้อย่างไร?’
“ข้าอยากซื้อของสักหน่อย ไม่ทราบว่าเจ้ามีหรือไม่”
เสียงของลู่เฉินดังขัดจังหวะความคิดของเถ้าแก่
เถ้าแก่ตาเดียวที่ได้สติกลับมาก็พลันฉีกยิ้มทันที “ของที่ข้ามีนั้นครบครันที่สุดในเมืองนี้แล้ว!”
”เอาล่ะ เช่นนั้นข้าต้องการเตาปรุงยา เจ้ามีหรือไม่?”
”มี คุณชายจะเอาระดับใดดีขอรับ!” เถ้าแก่ตาเดียวไม่รู้ว่าลู่เฉินต้องการทำอะไร แต่เมื่อได้ยินว่าต้องการซื้อของ เขาก็ย่อมยินดีให้บริการ!
”เจ้ามีเตาหลอมระดับใดบ้าง?”
“ข้ามีตั้งแต่สมบัติวิญญาณไปจนถึงสมบัติสวรรค์ หนึ่งดาวไปจนถึงสิบดาว ระดับต่ำไปจนถึงสูง!”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เฉินก็เอ่ยว่า “มีสมบัติสวรรค์ระดับสิบดาวขั้นสูงหรือไม่?”
“มี แต่มันแพงเกินไป คนทั่วไปจะไม่ซื้อ”
”ราคาเท่าใด?” ลู่เฉินถามไปตามตรง ส่วนเถ้าแก่ตาเดียวก็ยิ้มอย่างขมขื่น “อย่างน้อยก็สองพันล้านศิลาวิญญาณระดับต่ำ!”
ศิลาวิญญาณระดับต่ำสองพันล้านก้อนนั้นค่อนข้างมากสำหรับลู่เฉิน แต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยปากว่า “ข้ามีสมุนไพรวิญญาณอยู่ เจ้าลองดูว่าพอจะแทนกันได้หรือไม่!”
“สมุนไพรวิญญาณ?”
”ใช่ ข้าจะขอแลกเปลี่ยนกับเจ้า!”
เถ้าแก่ตาเดียวพลันยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า “คุณชาย สมุนไพรวิญญาณที่ข้ารับซื้อต้องมีอายุอย่างน้อยห้าร้อยปี และอีกอย่าง ต้นที่มีอายุห้าร้อยปีก็มีค่าแค่แสนศิลาวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น!”
“เช่นนั้นถ้าพันปีล่ะ เท่าใด?”
“ถ้าเป็นพันปี ก็ต้นละหนึ่งล้าน!”
หลังจากที่ลู่เฉินเข้าใจแล้ว เขาก็หยิบถุงสุญญะญาณออกมา และเทสมุนไพรวิญญาณจนทับถมกันเป็นกองพูน
เถ้าแก่ตาเดียวที่เห็นดังนั้นก็พลันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง จนแมลงวันแทบจะเข้าไปวางไข่ได้อยู่แล้ว!