ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 105 หมัดสวรรค์รวมกับเคล็ดเบิกกายา ทรงพลังเสียจริง!
- Home
- All Mangas
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 105 หมัดสวรรค์รวมกับเคล็ดเบิกกายา ทรงพลังเสียจริง!
บทที่ 105 หมัดสวรรค์รวมกับเคล็ดเบิกกายา ทรงพลังเสียจริง!
“ข้ารู้ แต่ข้าก็อยากลองหมัดสวรรค์ที่เล่าลือกัน จะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วแข็งแกร่งมากเพียงใด!” ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังชายหน้ากากสีเงิน
เมื่อผู้คนได้ยินเรื่องหมัดสวรรค์ พวกเขาต่างก็พากันแปลกใจว่ามันคืออันใด?
ชายหน้ากากสีเงินมองลู่เฉินด้วยแววตาสงสัย “เจ้ารู้จักหมัดสวรรค์?”
“ข้าเคยเห็นคนจากสำนักไร้สุญญะแสดงหมัดนี้ แต่เห็นเพียงในระยะไกลเท่านั้น และไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง!” ลู่เฉินยิ้ม
ชายหน้ากากสีเงินได้ยินดังนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หมัดสวรรค์ คือเคล็ดวิชาหมัดที่ทรงพลังที่สุดของสำนักไร้สุญญะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะรับไหวหรือ?”
ไม่ลองแล้วจะรู้ได้เช่นไร?
ทันใดนั้น ชายหน้ากากสีเงินพลันพุ่งหมัดไปยังพื้นดิน
ทำให้ผู้คนรอบ ๆ ต่างก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนทันทีราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา ในขณะเดียวกัน ต้นไม้บริเวณใกล้ ๆ ก็สั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เกิดกองกิ่งไม้ที่แตกหัก และใบไม้ที่ร่วงลงมากระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ทุกคนก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
ตู๋ซานชิงเบิกตากว้าง “พลังนี้ไม่อ่อนแอไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิดเลยสักนิด!”
“หมัดเดียว เพียงแค่หมัดเดียว ช่างน่ากลัวจริง ๆ!” จางเชียนเบิกตากว้าง
เฮยเฟิงเองก็พูดด้วยความตื่นเต้นยินดี “ถ้าหากหมัดนี้โจมตีไปยังร่างเจ้าหนูนั่น คาดว่ากระดูกคงแตกหักป่นเป็นผงไปแล้ว!”
แต่ลู่เฉินกลับมองไปยังชายหน้ากากสีเงิน ปากก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “แข็งแกร่งอย่างที่กล่าวจริง ๆ แต่หากไม่โดนตัวข้า มันก็ย่อมไร้ความหมาย!!”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือกับเจ้างั้นหรือ?”
“ลองดู เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้!” ครั้นลู่เฉินพูดจบ เพียงเสี้ยวอึดใจ เถาวัลย์ธรณีสีดำนับไม่ถ้วนก็พันรอบร่างของชายหน้ากากสีเงิน และเมื่อเพิ่มเคล็ดวิชาคุมจิตวิญญาณเข้าไป เถาวัลย์ธรณีก็รัดแน่นขึ้นไปอีก
ทว่าชายหน้ากากสีเงินก็เพียงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่รู้ว่าสำนักไร้สุญญะยังมีเคล็ดวิชาอีกอย่าง มันเรียกว่าเคล็ดเบิกกายา!!”
“ข้าเคยได้ยิน แต่มันเกี่ยวอันใดกับการที่ข้าพันเจ้าไว้งั้นหรือ?” ลู่เฉินถาม
จู่ ๆ ร่างกายของชายผู้นี้ก็ ‘แข็งแกร่ง’ ขึ้นมา มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด!
เปรียบเทียบกับก่อนหน้าก็คือพละกำลังของชายร่างผอมแห้ง แต่ตอนนี้ตัวคนกลับกลายเป็นชายร่างใหญ่ ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อหนาแน่น!
ไม่เพียงเท่านั้น การแข็งแกร่งขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ได้ทำให้เถาวัลย์ธรณีพวกนี้ขาดสะบั้นออกทันที!
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ผู้คนต่างก็เบิกตากว้างอ้าปากค้าง
ส่วนลู่เฉินเพียงพึมพำในใจว่า ‘สำนักไร้สุญญะนี้… ไม่ธรรมดาจริง ๆ!’
“ข้าอนุญาตให้เจ้าโจมดีได้อย่างสบายใจ” ชายหน้ากากสีเงินเอ่ยออกมาด้วยความเย่อหยิ่ง
ทุกคนต่างไม่คิดว่าชายหน้ากากสีเงินจะบ้าได้ยิ่งกว่าลู่เฉิน และก็เป็นตู๋ซานชิงที่กล่าวอย่างร้อนใจก่อนใครว่า “ผู้อาวุโส อย่าประมาทเด็ดขาด!”
จางเชียนเองก็รู้สึกร้อนใจเช่นกัน ส่วนเฮยเฟิงก็ดูมีสีหน้าลำบากใจ “ผู้อาวุโส เจ้าหนูผู้นี้มีกลอุบายเยอะนัก ท่านต้องระวังตัวให้ดี!”
“นี่เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า!” ชายหน้ากากสีเงินไม่สนใจเสียงเตือนของทั้งสาม ทำให้ทั้งสามเกิดโทสะ ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าแสดงออกโดยตรง ส่วนลู่เฉินเอง ชายหนุ่มก็เอาแต่จ้องมองไปยังชายหน้ากากสีเงินครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดปล่อยปราณกระบี่ให้พุ่งทะยานออกไป!
เพียงเห็นปราณกระบี่สองพันสายบีบอัดรวมกันกลายเป็นห้าสาย
“ข้ามาแล้ว!” ลู่เฉินกล่าวขู่อีกฝ่าย แต่ชายหน้ากากสีเงินกลับไม่ขยับสักนิด ทำเพียงมองมายังลู่เฉิน “มาเลย!”
“ไม่ใช้ม่านป้องกัน?”
“ข้าเป็นผู้ฝึกกายเนื้อ ไม่จำเป็นต้องมีม่านป้องกัน! มีเพียงร่างกายที่แข็งแกร่งก็พอแล้ว!”
ลู่เฉินที่ได้ฟังก็ได้แต่พึมพำในใจว่า ‘มีเพียงร่างกายเปล่า ๆ แต่กลับคิดใช้มันต้านทานปราณกระบี่ข้า?’
ลู่เฉินถึงกับฉงนนัก เกิดความรู้สึกอยากลิ้มลองขึ้นมาแล้ว!
ดังนั้นชายหนุ่มจึงควบคุมปราณกระบี่ทั้งห้าสายมุ่งเป้าไปยังบ่าของอีกฝ่าย!
ทุกผู้ทุกคนต่างได้เห็นภาพอันไม่คาดคิด…
มันคือภาพที่ปราณกระบี่ทิ่มแทงเข้าไปอย่างแรง ทว่าร่างกายอันแข็งแกร่งนั้นกลับต้านทานไว้ได้!
เคร้ง เคร้ง เคร้ง…!
เมื่อปราณกระบี่เหล่านั้นโจมตีไปยังกล้ามเนื้อ มันก็พลันหายไปทันที
ตู๋ซานชิงและอีกสองคนที่เห็นต่างก็ทั้งโล่งใจและพอใจ ส่วนลู่เฉิน …เขากลับรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้น่าสนใจยิ่ง!
“น่าสนใจ!”
“ตอนนี้เจ้ายอมแพ้ได้หรือยัง?” คนผู้นี้จ้องไปยังลู่เฉิน รอการยอมแพ้ของชายหนุ่ม แต่ลู่เฉินกลับส่ายหัวพลางยิ้มออกมา “ข้ายังมีอีก!”
“โอ้? จริงหรือ?”
“กลัวเพียงว่าเจ้าจะไม่กล้าต่อต้าน!”
“แล้วถ้าหากข้าต้านได้ เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?” ชายหน้ากากสีเงินจ้องมองลู่เฉิน เขาเผยรอยยิ้มเย็นชา แต่ลู่เฉินกลับตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “ได้!”
ชายหน้ากากสีเงินจึงยืดตัวตรงพลางเอ่ยว่า “มาเลย!”
ทว่าลึก ๆ แล้วตู๋ซานชิงแอบกลัวคำพูดของลู่เฉิน ดังนั้นจึงเอ่ยเตือนชายหน้ากากสีเงินทันที “ผู้อาวุโส ท่านต้องระวังเจ้าหนูคนนี้ให้ดี!”
ทว่าชายหน้ากากสีเงินไม่ตอบอะไร
ตู๋ซานชิงจึงทำเพียงได้แค่รู้สึกกังวล ส่วนเฮยเฟิงก็เอ่ยปลอบว่า “วางใจเถอะ กายเนื้อของผู้อาวุโส …ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง!
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ตู๋ซานชิงแสดงสีหน้ามีความหวัง
ขณะนั้นเอง ลู่เฉินพลันไปปรากฏตัวตรงหน้าชายหน้ากากสีเงินทันที เขายื่นมือขวาออกมา จากนั้นทุกคนก็เห็นแสงสีดำกะพริบจาง ๆ ที่นิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวาของลู่เฉิน
ขณะที่ทุกคนต่างแปลกใจว่านี่คืออันใด ลู่เฉินก็ได้เข้าโจมตีร่างกายของชายหน้ากากสีเงินด้วยความรวดเร็ว!
ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ตู๋ซานชิงที่เห็นก็พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก “ก็ยังดี”
ภาพตรงหน้าที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนคิดว่าลู่เฉินจะต้องยอมแพ้อย่างแน่นอน
แม้แต่เฮยเฟิงเองก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “เจ้าหนู ร่างกายของผู้อาวุโสท่านนี้แข็งแกร่งถึงขั้นแม้แต่กระบี่ก็ฟันไม่เข้า! เจ้าคิดว่าลำพังนิ้วที่หักงอของเจ้าจะสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้หรือ?”
แต่ไม่มีใครคิดว่าลู่เฉินจะยิ้มออกมา!
จากนั้นชายหนุ่มก็กระแทกนิ้วสุดท้ายออกไป!!!
อึดใจถัดมา จู่ ๆ ชายหน้ากากสีเงินนี้ก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านในร่างกายของเขา ทำให้ชายหน้ากากสีเงินมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “นี่… เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าวางค่ายกลอักขระรวบรวมวิญญาณอย่างง่าย ๆ ไว้หนึ่งอันภายในร่างกายของเจ้า และค่ายกลเล็ก ๆ นี้ จะทำให้ร่างกายของเจ้ากลายเป็นแหล่งดูดซับพลังปราณรอบกายอย่างบ้าคลั่ง แต่เจ้า… ไม่สามารถควบคุมพลังปราณได้! ดังนั้นอย่าได้หวังว่าจะสามารถระบายออกมา และสุดท้ายกายเจ้าก็จะโป่งพอง ก่อนจะระเบิดออกดั่งลูกหนังที่ถูกเป่าลมเข้าไปจนเกินพอดี!!” จบประโยคของลู่เฉิน สีหน้าของผู้คนโดยรอบก็เปลี่ยนไปในพลัน
ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าสับสนออกมา
บางคนก็พึมพำว่า “สามารถวางค่ายกลอักขระรวบรวมวิญญาณในร่างกายได้?”
“ล้อเล่นหรือเปล่า!”
“แต่ชายหน้ากากสีเงินนั่น ดูเหมือนว่าเขาจะเจ็บปวดจริง ๆ นะ”
“พวกเจ้าดู… ท้องของชายหน้ากากสีเงินมันดูใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้มันพองออกราวกับคนท้องแล้ว!”
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทุกผู้หวาดกลัวขึ้นมา ก่อนจะเป็นตู๋ซานชิงที่ร้อนใจจนถามออกมาว่า “ผู้อาวุโส ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
เฮยเฟิงเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน “แย่แล้ว!”
ส่วนจางเชียนพลันเบิกตากว้าง “จะพ่ายแพ้แล้วหรือ?”
และในขณะนั้นเอง ลู่เฉินก็พลันแตะหน้าท้องของอีกฝ่าย ทำให้หน้าท้องของชายหน้ากากสีเงินหยุดขยาย ทว่าพลังปราณที่มากมายในร่างก็มากพอแล้วที่จะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดจนยากที่จะขยับตัว และคล้ายกับว่าสามารถร่างระเบิดได้ทุกเมื่อหากถูกกระแทกเบา ๆ
ดังนั้นชายหน้ากากสีเงินจึงเริ่มเกิดความวิตกขึ้นมา “เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“เรื่องนี้ไม่สำคัญ! แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บ! แต่หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด!” เมื่อลู่เฉินพูดจบ เขาก็แตะบนร่างของชายหน้ากากสีเงินอีกสองสามครั้ง
ในฉับพลันนี้เอง พลังปราณภายในร่างของชายหน้ากากสีเงินก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมา หลังจากนั้นทั้งร่างของอีกฝ่ายก็พลันรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อตู๋ซานชิงเห็นสีหน้าของชายหน้ากากสีเงินดูดีขึ้น เขาก็รีบตะโกนออกมาทันที “ผู้อาวุโส เร็วเข้า รีบถอยมา ระวังอย่าให้เขาสัมผัสกายท่าน!”
ผู้อาวุโสหน้ากากสีเงินถอยออกมา เขามองไปยังตู๋ซานชิงและเอ่ยว่า “การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ของเจ้า ข้าไม่ทำแล้ว!!”
“อันใดนะ?” ตู๋ซานชิงถามอย่างเหลือเชื่อ
ไม่เพียงแค่ตู๋ซานชิงเท่านั้น แต่จางเชียนก็สงสัยเช่นกัน “แต่ท่านสามารถฆ่าเขาได้ด้วยหมัดเดียว!”
เฮยเฟิงเองก็เห็นด้วย “ใช่ ผู้อาวุโส ท่านเพียงใช้หมัดเดียวก็ฆ่าเขาได้แล้ว ดังนั้นอย่าไปพูดไร้สาระกับเขาเลย จัดการไอ้หนูนี่เลยดีกว่า!”
“ข้าบอกแล้วว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ข้าไม่ทำ! หรือพวกเจ้าหูหนวก?” ชายหน้ากากสีเงินตีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา น้ำเสียงแสดงถึงความมีอำนาจ ทำให้ทั้งสามหวาดกลัวจนหน้าซีดขาว