ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 102 เข้าสู่การกลายเป็นศพสวรรค์
บทที่ 102 เข้าสู่การกลายเป็นศพสวรรค์
ลู่เฉินที่อยู่บนภูเขาไม่รู้ว่าตู๋ซานชิงและจางเชียนมุ่งหน้าไปยังโถงพิสุทธิ์ เขายังคงตั้งใจจัดค่ายกลของตนต่อไป
เมื่อค่ายกลเสร็จสมบูรณ์ ผู้คนต่างก็พากันตกตะลึง
เพราะขณะนี้ได้เกิดหมอกปกคลุมไปทั่ว ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนบนยอดเขาได้เลย
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีคนอยากลองของ คนเหล่านั้นลองเข้าไปในม่านหมอก ก่อนจะหลงทางและหลบหนีออกมาอย่างหวาดกลัว! จากนั้นก็เล่าถึงความน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ด้านใน
ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้อีก พวกเขาทำได้เพียงแค่วนอยู่ในอากาศ รอดูว่าลู่เฉินอยู่ที่ใดในม่านหมอก
หลังจากที่ลู่เฉินให้เจี่ยลัวนั่งลงแล้ว เขาก็มองเข้าไปยังภายในร่างกายของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มพบว่าแมลงพิษเหล่านั้นกำลังปล่อยพิษออกมาไม่หยุด
ลู่เฉินจึงใช้กลิ่นอายของราชันย์แมลงบรรพกาลทันที เพื่อบังคับให้แมลงพวกนี้ออกมาทีละตัว หลังจากนั้นจึงใช้ยาขับพิษจัดการอีกที
แต่ไอซากศพสกปรกภายในร่างกายนั้นยังมีอยู่มาก
“ผลวิญญาณทมิฬทำให้ร่างกายของเจ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย” ลู่เฉินจ้องไปยังไอซากศพสกปรกพลางพึมพำออกมา
เจี่ยลัวถามอย่างร้อนใจ “เช่นนั้น ยังช่วยได้หรือไม่?”
“เจ้าจงใช้เคล็ดวิชาศพสวรรค์ที่ข้าสอนต่อไป ดึงดูดพลังซากศพพวกนี้เข้ามามาสู่จุดตันเถียน แล้วดูผลลัพธ์” ลู่เฉินพูดกับเจี่ยลัว ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ตอบกลับอย่างประหม่า “ข้าลองแล้ว แต่พลังพวกนี้แข็งแกร่งเกินไป ข้าไม่สามารถควบคุมได้”
“เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้า ส่วนเจ้าก็เพียงใช้เคล็ดวิชาศพสวรรค์ต่อไปก็พอ”
“ขอรับ!”
เจี่ยลัวลองอีกครั้ง และลู่เฉินก็ใช้ ‘เคล็ดวิชาศพสวรรค์’ ทว่าเคล็ดวิชาศพสวรรค์ของลู่เฉินนั้นค่อนข้างอยู่ในระดับสูง เพราะเขาฝึกฝนจนมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
เมื่อสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง เจี่ยลัวก็ถึงกับต้องตกตะลึง “ผู้อาวุโส ท่าน… เหตุใดถึงใช้เคล็ดวิชาศพสวรรค์ได้?”
“ข้าสอนเจ้าได้ ตัวข้าก็ย่อมต้องทำได้!”
แต่เจี่ยลัวกลับรู้สึกว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว อีกฝ่ายมีทั้งพลังปราณ ไอมาร และตอนนี้ยังมีไอซากศพอีก! แค่คิดก็รู้สึกสับสนแล้ว!!
“อย่าตกใจไป รีบเข้า!”
จบประโยคของลู่เฉิน เจี่ยลัวจึงกลับมาตั้งใจทันที
ด้วยความช่วยเหลือของลู่เฉิน ร่างกายของเจี่ยลัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
เส้นขนสีเขียวบนร่างกายค่อย ๆ หลุดหายไป และร่างกายที่ผอมแห้งก็เริ่มกลับมามีเนื้อหนังอีกครั้ง รวมทั้งยังมีเงาสีดำจาง ๆ เกิดขึ้นหนึ่งชั้น
เจี่ยลัวพลันตกตะลึง “ผู้อาวุโส… นี่มัน”
“เจ้ากลายเป็นซากศพดำแล้ว!”
“อะไรนะ? ซากศพดำ?”
“ปกติซากศพแบ่งออกเป็นหลายชนิด แบบแรกคืออย่างที่เจ้าเป็น มันถูกเรียกว่าซากศพวิญญาณ มีร่างกายผอมแห้ง ตัวเหี่ยว มีขนตามตัว แต่เมื่อเข้าสู่ศพสวรรค์แล้วก็จะกลายเป็นซากศพดำ อย่างเช่นเจ้าในตอนนี้ เป็นซากศพดำหนึ่งดาว มีแสงหนึ่งชั้น ถ้าหากเกิดแสงสิบชั้น ก็จะเป็นซากศพดำสิบชั้น กลายเป็นศพสวรรค์สิบดาว ใกล้ก้าวเข้าสู่ศพศักดิ์สิทธิ์!”
เจี่ยลัวได้ฟังก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เช่นนั้น ศพสวรรค์สิบดาวมีพลังแค่ไหนกัน?”
“ถ้าหากไม่ได้ถูกยับยั้งพลังจากแดนวิญญาณ ศพสวรรค์สิบดาวก็จะเทียบได้กับขั้นก่อกำเนิดระดับสมบูรณ์พร้อม! และอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า!”
เจี่ยลัวถึงกับอ้าปากค้าง “เช่นนั้น ตอนนี้ข้า?”
“อย่างน้อยก็ขั้นก่อกำเนิดระดับต้น หรืออาจจะสูงกว่านั้นเล็กน้อย” ลู่เฉินอธิบาย เจี่ยลัวจึงลุกขึ้นยืนและคำนับต่อลู่เฉินทันที
“นี่เจ้าทำอะไร?”
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า ถ้าหากไม่ได้ท่าน ข้าก็คงไม่ประสบความสำเร็จดังเช่นตอนนี้!”
ลู่เฉินยิ้ม “ศพสวรรค์หนึ่งดาว เจ้าก็ทำเช่นนี้แล้ว ถ้าหากข้าทำให้เจ้ากลายเป็นศพสวรรค์สิบดาว หรือศพศักดิ์สิทธิ์สิบดาว เจ้าจะไม่มอบชีวิตให้ข้าเลยหรือ?”
เจี่ยลัวพูดด้วยความตื่นเต้น “ผู้อาวุโส ท่าน… ท่านมีวิธีทำให้ข้าแข็งแกร่งได้เช่นนั้นหรือ?”
“ที่แดนวิญญาณ มีไอซากศพจำนวนมากเหมาะกับการฝึกฝนของเจ้า เพียงแค่ทำตามเคล็ดวิชาศพสวรรค์ของข้า ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นศพสวรรค์สิบดาวแน่!”
“ดียิ่ง!” เจี่ยลัวดีใจจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้
“แต่ตอนนี้มีวิธีที่เร็วขึ้นไปอีก!”
“วิธีที่เร็วยิ่งขึ้น?”
“ใช่ ตามหาผลวิญญาณทมิฬ สิ่งนี้สามารถช่วยให้เจ้าพัฒนาได้เร็วขึ้น!”
“ก็คือผลไม้สีดำนั่น?”
ลู่เฉินพยักหน้า
เจี่ยลัวจึงกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เช่นนั้น ข้าจะลองไปหาที่นั่นอีกครั้ง”
“ที่นั่น?”
“ใช่ ที่นั่นเต็มไปด้วยซากศพ และคนนอกก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้ เพราะที่นั่นเต็มไปด้วยไอซากศพ แต่ข้าไม่เหมือนพวกเขา ข้าสามารถเข้าไปใกล้ได้”
ลู่เฉินได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล “ไป ไปดูที่นั่นกันว่ามันเป็นสถานที่เช่นไร”
“ขอรับ!” เจี่ยลัวตอบรับและเดินนำลู่เฉินออกจากค่ายกลไปทันที
เมื่อผู้คนบนอากาศเห็นทั้งสองเดินออกมาแล้ว พวกเขาก็พลันได้สติและแอบตามหลังไปอย่างเงียบ ๆ
…
ภายในเทือกเขาของเขตที่หนึ่ง ตู๋ซานชิงและจางเชียนได้มาถึงยังเชิงเขา
“คือที่นี่” ตู๋ซานชิงมองไปยังโถงพิสุทธิ์ที่อยู่บนภูเขาเบื้องหน้า
“ถ้าหากพวกเขาไม่ให้เราเข้าไปใกล้ล่ะ?”
“ไปหาคุณชายเฮย คาดว่าเขาต้องอยากเจอพวกเราเป็นแน่” ตู๋ซานชิงยิ้มอย่างมีเลศนัย เมื่อเดินมาถึงเชิงเขาแล้วก็ได้พบกับศิษย์ของโถงพิสุทธิ์คนหนึ่ง จากนั้นจึงให้อีกฝ่ายส่งสารให้
อย่างไรก็ตาม เฮยเฟิงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่บนยอดเขา บรรดาศิษย์คนอื่น ๆ ต่างก็พากันร้องทุกข์ “คุณชายเฮย การสูญเสียของเราในครั้งนี้มันหนักหนาเหลือเกิน”
“ใช่ มีคนตายมากมายนัก”
“คุณชายเฮย ท่านต้องแก้แค้นแทนพวกเรา!”
เมื่อเฮยเฟิงคิดถึงเจ้าลู่เฉินบัดซบนั่น แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้มันยังกล้าจัดการ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความครุ่นคิด “นอกเสียจากให้ยอดฝีมือขั้นหลอมแก่นแท่ของโถงพิสุทธิ์ลงมือ เช่นนั้นลำพังพวกเราคงไม่มีทางทำได้แน่นอน”
เมื่อทุกคนได้ฟังต่างคนต่างก็ถอนหายใจออกมา
และขณะนั้นเอง ศิษย์คนหนึ่งก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “คุณชายเฮย มีคนมาหาท่าน!”
“ใคร?”
“มีสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนแขนพิการ!”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เฮยเฟิงก็คิดไปถึงตู๋ซานชิงและจางเชียน สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความสงสัย “สองคนนั้นมาทำอันใด?”
“พวกเขาบอกว่าจะมาร่วมมือกับท่าน เพื่อไปแก้แค้นด้วยกัน”
เฮยเฟิงได้ยินแล้วก็แปลกใจ “หรือว่าพวกเขาจะมีวิธี?”
พูดจบก็รีบลงจากภูเขาทันที
ขณะนั้นจางชียนอยู่ตรงเชิงเขา สายตาจ้องไปยังตู๋ซานชิงก่อนจะถามว่า “คิดว่าเจ้าคุณชายอะไรนั่นจะช่วยเรียกเขามาได้จริงหรือไม่?”
“ต้องช่วยสิ!”
“เพราะเหตุใด?”
“เขาอยากแก้แค้นเจ้าหนูนั่นมากกว่าเราเสียอีก” ตู๋ซานชิงพูดอย่างมั่นใจ แต่จางเชียนกลับยังสงสัย
จนกระทั่งเฮยเฟิงลงมายังเชิงเขาและมองทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ “พวกเจ้ามาทำอันใด?”
“มาร่วมมือกับท่าน!”
“ร่วมมือ? ร่วมมือเช่นไร?” เฮยเฟิงมองทั้งสองและพึมพำในใจว่า ‘สองคนนี้ คงไม่ได้วางแผนหยิบยืมอำนาจของโถงพิสุทธิ์หรอกนะ?’
ตู๋ซานชิงเหมือนจะรู้ว่าเฮยเฟิงกำลังคิดอะไร จึงยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ข้าอยากจะขอให้คนของโถงพิสุทธิ์ลงมือ!”
“นี่คือการร่วมมือที่เจ้าหมายถึง?”
“ใช่!” ตู๋ซานชิงขานรับ ส่วนเฮยเฟิงก็ถึงกับยิ้มเย็นชา “หากข้ามีวิธีและมีความสามารถ ข้ายังจำเป็นต้องร่วมมือกับเจ้าหรือ?”
“คนผู้นั้น ท่านอาจจะเชิญมาไม่ได้ แต่ข้าอาจจะพอมีวิธี!”
เฮยเฟิงยิ้ม “มีใครที่ข้าไม่สามารถเชิญมาได้ แต่เจ้ากลับเชิญได้?”
“คนของสำนักไร้สุญญะ!”
เฮยเฟิงได้ยินแล้วก็มีสีหน้าครุ่นคิด “เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าคนผู้นั้นยังอยู่?”
“ข้าได้ยินมา!” เมื่อตู๋ซานชิงรู้ว่าตนทายถูกจึงเผยรอยยิ้มออกมา
แต่เฮยเฟิงกลับพูดต่อ “คนคนนี้ อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่ผู้นำโถงพิสุทธิ์ก็ไม่สามารถให้เขาลงมือได้ง่าย ๆ!”
“แต่ข้าบอกแล้วว่าข้ามีวิธี!” ตู๋ซานชิงพูดอย่างมั่นใจ
ทว่าเฮยเฟิงกลับไม่เชื่อ “เจ้าไม่ใช่คนของโถงพิสุทธิ์ แล้วจะมีวิธีใดที่สามารถทำให้เขาลงมือได้?”
“เพียงท่านพาข้าไปพบเขา เดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง!”