ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 101 หลบหนีด้วยความสิ้นหวังแต่ไม่เต็มใจ อยากยืมพลังของศิษย์ลึกลับแห่งสำนักร้าง
- Home
- All Mangas
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 101 หลบหนีด้วยความสิ้นหวังแต่ไม่เต็มใจ อยากยืมพลังของศิษย์ลึกลับแห่งสำนักร้าง
บทที่ 101 หลบหนีด้วยความสิ้นหวังแต่ไม่เต็มใจ อยากยืมพลังของศิษย์ลึกลับแห่งสำนักร้าง
ศิษย์ของโถงพิสุทธิ์ต่างโกรธจัดจนหน้าแดง บางคนถึงขนาดโกรธจนแทบจะเต้นเร่า
แต่คนเหล่านี้ล้วนรอคอยคำสั่งของเฮยเฟิง
บางคนถึงกับพูดกับเฮยเฟิงว่า “คุณชายเฮย ให้พวกเราลงมือเถิด!”
“คุณชายเฮย ได้โปรดให้พวกเราระเบิดเขาให้เป็นเศษเนื้อเถิด!!”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮยเฟิงก็พลันทนไม่ได้อีกต่อไป “ทุกคนลงมือ! อย่าให้มันมีโอกาสหลบหนี!”
”ขอรับ!”
คนเหล่านี้ลงมือทันที ทั้งโคจรลมปราณ ตั้งใจใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาที่มี พร้อมใจกันคิดส่งลู่เฉินไปสู่ความตาย!
แต่ในยามนี้เอง กระบี่สยบเก้าทิศของลู่เฉินก็พลันปรากฏขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น กระบี่สยบเก้าทิศยังปล่อยปราณกระบี่สองพันสายออกมาพร้อมกัน
ปราณกระบี่ที่ทรงพลังนี้ถูกบีบอัดจนเหลือร้อยสายในคราวเดียว และกวาดไปทั่วในทันที
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ววว
ปราณกระบี่ที่ทรงพลังนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีผู้คนได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายสิบคน บางคนถึงกับเสียชีวิตคาที่ ส่วนคนที่ไหวพริบดีก็ถอยกลับไปแล้วเปิดม่านปราณป้องกัน
ยามนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังออกไป ทำให้ผู้ชมที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
”น่าทึ่งมาก!” บางคนเบิกตากว้าง และบางคนก็ร้องอุทานว่า “เพียงแค่นี้ก็เอาชนะได้แล้วหรือ??”
เฮยเฟิงรู้สึกสับสนกับภาพตรงหน้า เขาตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ห่าง ๆ พลางพูดว่า “เจ้า… เจ้าคิดว่าลงมือเพียงเท่านี้จะชนะแน่หรือ? ”
”งั้นเจ้าก็เข้ามา!” ลู่เฉินจ้องมองเฮยเฟิงเขม็ง ส่วนเฮยเฟิงก็ไม่ได้โง่ เขาซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนและสาปแช่งว่า “เจ้า… หากเจ้าคิดว่ามีความสามารถก็เข้ามา!”
ทว่าลู่เฉินขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจ เขาเดินไปหาเจี่ยลัวทีละก้าว
ในยามนี้เอง ตู๋ซานชิงพลันแค่นเสียงหึอยู่กลางอากาศแล้วเอ่ยว่า “ไอ้หนู ยังมีข้า!”
หลังจากพูดจบ ตู๋ซานชิงก็ปล่อยเข็มบินจำนวนนับไม่ถ้วนในคราวเดียว
ด้วยทักษะเชิงกระบี่ของลู่เฉิน เขาย่อมสามารถกวาดล้างเข็มบินเหล่านี้ได้โดยง่าย ทว่าชายหนุ่มก็ไม่สามารถโจมตีตู๋ซานชิงที่อยู่สูงเกินไปได้เช่นกัน ดังนั้นตู๋ซานชิงจึงพูดอย่างมีชัยว่า “นี่คือความแตกต่างระหว่างขั้นสร้างรากฐานกับขั้นหลอมแก่นแท้ยังไงเล่า!”
คำพูดคล้ายจุดไฟให้กับเฮยเฟิง เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่แล้ว เขาอยู่ในขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น ดังนั้นย่อมไม่อาจใช้กระบี่บินได้!”
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินกลับเงยหน้าขึ้นมองตู๋ซานชิงและพูดว่า “บังเอิญว่าวันนี้ข้ามีคันธนูอยู่คันหนึ่งพอดี”
ตู๋ซานชิงไม่เข้าใจว่าธนูที่ลู่เฉินกำลังพูดถึงคืออันใด
แต่ในยามนั้นเอง ลู่เฉินก็ได้หยิบเงามารออกมา ทว่าเพราะมันถูกผนึกไว้ ชายหนุ่มจึงจำต้องปลดผนึกเสียก่อน
หากแต่การจะปลดผนึกมันนั้น เขาก็จำต้องทำให้จิตวิญญาณธนูที่อยู่ภายในเชื่อฟังให้ได้!
ด้วยเหตุนี้จิตสัมผัสของลู่เฉินจึงแทรกซึมเข้าไป
เผยให้เห็นว่าภายในคันธนูมีเงาร่างคนที่สร้างจากจิตวิญญาณกำลังแผ่ไอมารออกมาแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้า…. เจ้าจะทำอันใด!”
“จงยอมรับข้า!” ลู่เฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
”ถ้าไม่ล่ะ?”
”เช่นนั้นข้าก็จะผนึกเจ้าตลอดไป จะขังเจ้าไว้ในความมืดมิดตลอดกาล” คำพูดของลู่เฉินทำให้จิตวิญญาณธนูหวาดกลัว ดังนั้นมันจึงลังเลอยู่ชั่วขณะ “แต่ข้าถูกเจ้าของเดิมขัดเกลาไปแล้ว และมันก็ยังคงมีร่องรอยการขัดเกลาของเขาอยู่บนนั้น”
”ข้าลบได้!”
”จริงหรือ?” จิตวิญญาณธนูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ลู่เฉินกลับพูดซ้ำว่า “เจ้าแค่ต้องตอบว่าจะยอมรับข้าหรือไม่ก็พอแล้ว!”
“หากเจ้าลบมันออกได้ ข้าย่อมยอมรับ!”
”ตกลง!” หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็พลันทำลายร่องรอยเดิมทิ้งในพลัน
แต่จิตวิญญาณธนูไม่สังเกตสิ่งใดแม้แต่น้อย จนกระทั่ง… กลิ่นอายหลี่หวังที่อยู่บนร่างกายของมันถูกกำจัดไปหมด มันจึงเพิ่งตระหนักรู้ตัว!! “เจ้า… เจ้าอยู่แค่ขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น เหตุใดจึง!”
“ไม่ต้องห่วงข้า เจ้ารู้แค่ว่าต้องติดตามข้าก็พอ!”
ยามนั้น จิตวิญญาณธนูไม่มีทางเลือกอื่น มันได้แต่ตอบตกลง
ลู่เฉินจึงได้ปลดผนึกที่ธนูออก และตู๋ซานชิงที่อยู่กลางอากาศก็หัวเราะเยาะหลังจากมองมาที่ลู่เฉิน “ไอ้หนู เกิดอะไรขึ้น? แม้แต่ธนูก็จะไม่ใช้แล้วหรือ?”
มุมปากของลู่เฉินหยักยกขึ้นในพลัน ครู่ต่อมาปราณศรสิบสายก็รวมตัวกันที่คันธนู
โดยในเวลาเดียวกัน ปราณศรก็ยังเปล่งแสงสีม่วงออกมา และทำให้ผู้ที่พบเห็นตื่นตกใจ “น… นะ… นี่มันเคล็ด”
เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ก็ตาเบิกตากว้าง “ศรมารสวรรค์!”
”เป็นไปได้อย่างไร! เคล็ดวิชานี้… ว่ากันว่าหายสาบสูญไปกว่าแสนปีแล้ว!”
“นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างพากันสงสัย
ก่อนจะมีใครบางคนพูดขึ้นว่า “ลูกศรมารสวรรค์นี้ มีเพียงผู้ฝึกวิถีมารที่สามารถใช้ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนในวิถีทางแห่งเต๋าและใช้พลังปราณ เช่นนั้นเขาจะมีไอมารได้อย่างไร?”
ยามนั้นทุกคนก็สงสัยว่านี่ไม่ใช่ศรมารสวรรค์
โดยเฉพาะตู๋ซานชิงที่ตะคอกว่า “ไอ้หนู เจ้าเลิกขู่ข้าได้แล้ว!”
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากที่ลูกศรสิบดอกพุ่งออกไป มันก็พลันทะยานเข้าประชิดตู๋ซานชิงไว้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่มีที่ให้หลบ ไม่ว่าจะบนล่างหรือซ้ายขวา บีบให้ตู๋ซานชิงที่อยู่ตรงนั้นหวาดกลัวจนปลดปล่อยม่านปราณออกมาปกคลุมทั่วกาย
จางเชียนเองถึงกับเปิดม่านปราณสีเพลิงและเอ่ยตะกุกตะกักว่า “เจ้าหนูคนนี้มันเป็นสัตว์ประหลาด!”
ในยามนี้เอง ลูกศรทั้งสิบดอกก็ได้โจมตีไปที่ม่านป้องกันของตู๋ซานชิง
แรงปะทะทำให้ม่านป้องกันสั่นสะเทือน ทว่าก็เป็นคมศรที่หายไป ตู๋ซานชิงที่เห็นดังนั้นจึงพลันหัวเราะเสียงดังว่า “ข้าคิดไว้แล้วว่านี่ไม่ใช่ศรมารสวรรค์ของจริง!”
ทุกคนพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ลู่เฉินกลับเอ่ยพึมพำว่า “ไม่ได้ใช้นาน จึงไม่ค่อยคุ้นกับเคล็ดธนูเท่าใด!”
หลังจากพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เฉินก็พลันง้างคันธนูออกเล็งไปยังเป้าหมาย ก่อนที่ปราณธนูสิบกว่าสายจะทะยานตัดสุญญะไป!!
….และคราวนี้ มันก็ผิดกับก่อนหน้า เนื่องจากปราณศรนี้จู่ ๆ ก็พลันขยายใหญ่ขึ้น!
หากกล่าวว่าเมื่อครู่หนาแค่หนึ่งนิ้ว เช่นนั้นยามนี้อย่างน้อยก็หนาสามนิ้ว และปราณศรสิบสายก็ได้รวมตัวกันจนก่อให้เกิดลูกศรที่หนาเท่าแขนขนาดใหญ่ขึ้น!
เสียงหัวเราะของตู๋ซานชิงยังไม่หยุดลง ปราณศรก็ได้โจมตีม่านป้องกันจนทลาย ก่อนจะทะยานผ่านไหล่ของเป้าหมายจนเกิดเป็นรูกว้าง!
ทุกคนในที่เกิดเหตุพลันตกตะลึง
ส่วนตู๋ซานชิงกรีดร้องออกมา รีบควบคุมกระบี่และหายไปจากขอบฟ้าพร้อมกับจางเชียน
”หนีเร็วยิ่งนัก!” ลู่เฉินเก็บคันธนูและมองไปรอบ ๆ แต่คนของโถงพิสุทธิ์ที่อยู่รอบตัวเขากลับเร็วยิ่งกว่า คนพวกนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!
เจี่ยลัวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่ตกตะลึงจนตาค้าง และพูดว่า “ผู้อาวุโส… ท่าน”
”ข้าไม่เป็นไร แต่เจ้า เป็นอะไรหรือไม่?” ลู่เฉินพิจารณาเจี่ยลัวที่เผยร่างศพออกมา ซึ่งเจี่ยลัวก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พลังที่ว่ายังคงปั่นป่วนอยู่ภายในร่าง และแมลงพิษพวกนั้นก็คอยก่อกวนภายในร่างตลอด… ”
”ข้าจะกำจัดแมลงพิษก่อน!” หลังพูดจบ เฉินลู่ก็มาอยู่ข้างกายเจี่ยลัว
แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงยังคงสนใจผลไม้สีดำ ดังนั้นพวกเขาจึงเฝ้าดูในความมืดไม่ขาดสายตา
ลู่เฉินที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงส่งเสียงออกไปว่า “ถ้าใครกล้ายุ่งกับเขา ข้าจะให้เขาได้ลิ้มรสคมศรของข้า!”
ทันทีที่สิ้นเสียง คนเหล่านั้นก็รีบซ่อนตัวให้ไกลยิ่งกว่าเดิม บางคนถึงกับวิ่งลงจากภูเขา ไม่กล้าอยู่บนภูเขาลูกนี้อีก
ทว่าผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้บางคนกลับควบคุมกระบี่บินขึ้นไปกลางอากาศแล้วมองลงมา จ้องเขม็งดูการเคลื่อนไหวของลู่เฉินและเจี่ยลัวที่อยู่ด้านล่าง
“ผู้อาวุโส คนพวกนั้น” เจี่ยลัวสัมผัสได้ว่ารอบด้านยังมีอันตรายอยู่ เขาจึงมีสีหน้าเคร่งเครียด
อันที่จริงลู่เฉินเองก็กำลังคิดอยู่เช่นกัน เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ “สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลว ข้าจะวางค่ายกลก่อน!”
เจี่ยลัวพยักหน้า จากนั้นลู่เฉินก็สาละวนอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของชายหนุ่มก็ทำให้ผู้คนที่อยู่กลางอากาศต่างก็สงสัยว่าลู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่?
…
ทางด้านของตู๋ซานชิงที่หนีไปกลางอากาศ เมื่อทะยานผ่านสุญญะมาพักหนึ่ง เขาจึงหยุดลง ยิ่งไปกว่านั้นยังยัดเม็ดยาเข้าไปมากมาย และหลังจากระงับความเจ็บปวดได้แล้ว เจ้าตัวก็พลันเผยสีหน้าที่ดูไม่ได้ออกมา “เจ้าหนูคนนี้ ที่แท้แล้วมันเป็นมนุษย์หรือมารกันแน่!”
“เขาเป็นผู้ฝึกตนสองวีถีหรือ?” สีหน้าของจางเชียนกลายเป็นดูไม่ได้ทันทีที่เขานึกถึงฉากเมื่อครู่
ตู๋ซานชิงอ้าปากค้าง “ข้าไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นตัวประหลาดใด เพราะถึงอย่างไรข้าก็จะฆ่าเขา!”
“แต่พวกเรา!” เมื่อจางเชียนนึกถึงความน่ากลัวของลู่เฉิน เขาก็พลันอยากจะถอยหนี
”ไป… ไปโถงพิสุทธิ์ ยืมกำลังของพวกเขา! แล้วไปล้างอายด้วยกัน!” ตู๋ซานชิงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาเพียงแค่ตัวเองในยามนี้ ดังนั้นจึงคิดไปหยิบยืมพลังจากโถงพิสุทธิ์
จางเชียนกังวล “พวกเขาจะยอมหรือ?”
”ข้าได้ยินมาว่าที่โถงพิสุทธิ์มีคนคนหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ได้เป็นคนของโถงพิสุทธิ์ ทว่าก็ทำงานให้กับโถงพิสุทธิ์ และเขาก็เป็นผู้ฝึกกายเนื้อ ทำให้มีข่าวลือว่าเขาเกี่ยวข้องกับสำนักไร้สุญญะ!”
จางเชียนเบิกตากว้าง “สำนักไร้สุญญะ? อาจจะเป็นสำนักที่ก่อตั้งโดยจักรพรรดิหลู่ฮวงที่ลึกลับในตำนานหรือ?”
“ใช่!”
ชั่วขณะนั้น จางเชียนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ไปกันเถอะ!”
ตู๋ซานชิงจึงกระโจนตัวขึ้นไปกลางอากาศแล้วพาจางเชียนจากไป