ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด - ตอนพิเศษ 2-7 (จบบริบูรณ์)
“ใครนะ”
หลังปรึกษาหารือกับเคนตะเสร็จแล้ว เขาก็เลยเล่าเรื่องของเรียวโนะสึเกะให้ไดกิฟังอย่างระมัดระวัง ซึ่งอีกฝ่ายก็โยนหนังสือพิมพ์ในมือทิ้งทันทีพร้อมกับย้อนถามเสียงดัง
“เคนตะ ทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้”
“ขะ…ขออภัยครับ”
แม้แต่เคนตะผู้แข็งแกร่งยังตะกุกตะกักเมื่อโดนบอสตะคอกใส่ จนต้องก้มศีรษะลงจนแทบจะติดพื้น โทมะเองก็เริ่มร้องไห้เพราะเสียงตะคอกของป๊ะป๋า มินจุนจึงดึงเด็กน้อยเข้ามากอดปลอบแล้วหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้องรับแขก
“จะไปไหน!”
“เปล่า เบาเสียงลงหน่อยสิครับ โทมะตกใจจนร้องไห้แล้วนะ”
“ลุงโชฝากโทมะด้วยครับ”
ไม่รู้ว่าโชเข้ามายืนอยู่ด้านหลังมินจุนตั้งแต่เมื่อไหร่ พอส่งโทมะให้อีกฝ่าย ร่างบางก็ส่งสายตาน่าสงสาร ‘ช่วยพาผมออกไปด้วยอีกคนไม่ได้เหรอครับ’ แต่โชกลับส่ายหัวให้ รับแค่ตัวโทมะมาแล้วออกจากห้องรับแขกอย่างไร้น้ำใจ
“พูดไม่ออกเลยแฮะ นายรู้ไหมว่าหมอนั่นเป็นคนยังไง เป็นคนเสเพลที่รู้จักกันดีในวงสังคมเลยล่ะ เท่าที่ได้ฟังข่าวลือมา แม้แต่พ่อตัวเองยังตัดหางปล่อยวัดเลย มีแต่พี่ชายคนรองเท่านั้นที่ยังคอยดูแลอยู่… เหอะ! เพราะอย่างนั้นถึงมาอยู่บ้านหลังนั้นไง มินจุน นายเจอกับหมอนั่น แต่ไม่บอกฉันสักคำ จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม”
“ตะ…ตอนนี้ก็บอกแล้วไง”
“นี่เรียกว่าบอกเหรอ มันผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว ต้องให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อน ค่อยบอกหรือไง”
“เรื่องอะไรเล่า ก็แค่ได้จดหมายรักมาฉบับเดียวเองนี่นา”
“จดหมายรักฉบับเดียว? ไอ้เวรที่ไหนไม่รู้กำลังอยากได้คนของฉันเนี่ยนะ ถ้าไม่เรียกว่าปัญหาแล้วมันคืออะไร!”
มินจุนไม่เคยเห็นไดกิเป็นถึงขนาดนี้มาก่อน จนต้องอ้าปากค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก เขาคิดว่ามันก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับอีกฝ่ายแล้วท่าทางมันจะไม่ใช่ปัญหาเรียบง่ายขนาดนั้น
ครู่ต่อมาไดกิก็ออกคำสั่งออกด้วยน้ำเสียงสงบลงเล็กน้อย ว่าให้จับตาดูพฤติกรรมของเรียวโนะสึเกะแล้วเดินเข้าห้องไป เหมือนว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงกันเพราะยังโมโหอยู่
เขาเองก็พยายามขจัดความหม่นหมองออก หลังจากคอยปลอบโทมะที่เอาแต่หงุดหงิดจนกระทั่งผล็อยหลับ ก็เดินเข้าไปอาบน้ำบ้าง กดจูบลงบนหน้าผากเล็กๆ ขณะที่เจ้าตัวน้อยหมุนตัวไปแล้วสามร้อยหกสิบองศา ผ้าห่มก็เตะออก แต่มินจุนก็คลุมผ้าห่มให้ใหม่จนถึงช่วงอก ก่อนจะตรงไปที่ห้องของไดกิด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
แค่ไม่เหยียบกับระเบิดก็พอ เข้าไปในผ้าห่มเบาๆ ไม่ให้มีเสียงแล้วหลับตานอน ก็โอเคแล้ว คิดขณะนั่งหมิ่นๆ อยู่ตรงขอบเตียง แต่เมื่อได้ยินเสียงปิดหนังสือ แขนของมินจุนก็พลันถูกกระชากเข้าไปอยู่ใต้ร่างอีกฝ่ายภายในชั่วพริบตา
แววตาของไดกิน่ากลัวเหมือนถูกจับจ้องจากสัตว์ดุร้าย เขาจึงเอ่ยพูดกับเจ้าของแววตาวาววับคล้ายจ้องมองเหยื่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ แววตาคุณน่ากลัวมากเลยนะ..”
“ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามยิ้มให้ใคร”
“ฮ่าๆ ผมจะยิ้มให้ใครได้เล่า เขาไม่ได้พูดอะไรกับผมจริงๆ นะครับ ถามเคนตะก็ได้”
“คิดว่าฉันไม่รู้จักนายหรือไง”
“ไดกิ อย่าโกรธแบบนี้เลย สำหรับผม คุณน่ะดีที่สุดแล้ว ใครจะชอบผมแล้วมันเกี่ยวอะไรล่ะครับ ผมยังไม่โกรธพวกผู้หญิงที่ชอบคุณเลยนะ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าผมเชื่อใจคุณไง ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกครับ”
“ฉันไม่ได้ยิ้มไปทั่วเหมือนนายสักหน่อย ตอนนี้เงียบได้แล้ว”
“ให้ผมเงียบ… แล้วจะทำอะไรครับ”
“ไม่รู้จริงๆ ถึงถามหรือไง”
ไดกิปลดชุดนอนของมินจุนออกภายในศูนย์จุดห้าวินาที คล้ายไม่อยากจะสนทนาด้วยอีกต่อไป จากนั้นก็กัดลงไปยังบริเวณที่นูนเด่นอย่างกระดูกไหปลาร้าเต็มแรง
“อึก! ไดกิ… เดี๋ยว ผมเป็นคนนะ… ใจเย็น โอ๊ย! เวรเอ๊ย… ฮือออ เจ็บครับ…”
ตอนเปลี่ยนตำแหน่งเป็นกระดูกไหปลาร้าอีกข้าง เขาก็รู้สึกราวกับอีกฝ่ายเป็นเสือดาวจริงๆ จนได้แต่ส่งเสียงร้องอ้อนวอนขอชีวิต
และค่ำคืนนั้นเซ็กซ์ของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการสัตว์กินพืชแสนน่าสงสารตัวหนึ่งถูกเจ้าสัตว์ป่าตัวร้ายกัดกิน….
ร่างบางยอมแพ้แล้วกับทุกสิ่งและยกร่างกายของตนให้ไดกิกระทำตามใจชอบ ส่วนตัวเองก็ส่งความเกลียดชัง สาปแช่งไอ้คนที่ส่งจดหมายรักฉบับนั้นมาให้กันด้วยสติที่หลงเหลืออยู่
* * *
มินจุนทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างยากลำบาก หลังโดนขบกัดอย่างตะกละตะกรามจนถึงช่วงเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ เหม่อมองโทมะที่กำลังนั่งเล่นอยู่ และเมื่อหันไปมองไดกิก็จะต้องสบถในใจว่า ‘ไอ้คนเลว’ ราวกับกำลังร่ายมนตร์…
“เลิกจ้องได้แล้ว เดี๋ยวก็ปวดตาหรอก”
ไม่รู้ถูกจับได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนปกติแล้ว เขาก็ส่ายหัวพลางส่งเสียงเหอะค่อนข้างดังออกมาอัตโนมัติ
“โทมะ ออกไปปั่นจักรยานในสวนไหม”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ร่างสูงก้าวขาแล้วชวนลูกชายออกไปปั่นจักรยาน มินจุนหันขวับกลับมาแทบจะทันที ก่อนจะมองด้วยแววตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“จิงเหยอ ขี่ข้างโนก?”
“ไม่ แค่ในสวนเท่านั้น เดี๋ยวป๊ะป๋าจับให้ ไปไหม”
“อืม แต่หยักบรื้นๆ ข้างโนก”
“เรื่องนั้นเอาไว้คราวหน้า วันนี้ปั่นแค่ในสวนก่อน”
“อื้อ หม่าม้าปะกัง”
“แปลกๆ นะครับเนี่ย หึ รู้สึกผิดล่ะสิ”
“รู้สึกผิดอะไร ถ้านาย… เหนื่อยก็อยู่ในบ้านไป”
“โทมะน่ะ ต้องมีผมอยู่ด้วยหรอก ถึงจะสนุก”
เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาเดินเล่นในสวนกับไดกิ แถมออกมาแล้วก็จะได้เฝ้าดูโทมะปั่นจักรยานด้วย หัวใจเลยเต้นตุบๆ ไม่หยุด มินจุนลุกขึ้นจากโซฟาทันที รู้สึกได้ว่าร่างกายที่เคยหนักอึ้งราวกับซับน้ำเข้าไปเมื่อครู่เบาหวิว
* * *
อากาศยังดีเหมือนเคย แม้จะรู้สึกผิดที่วันดีๆ แบบนี้ไม่สามารถพาออกไปเล่นข้างนอก ได้แต่ปั่นเล่นอยู่ในสวนเท่านั้น แต่พอคิดว่าป๊ะป๋าคอยดูอยู่ โทมะก็ออกแรงเหยียบแป้นถีบแล้วปั่นมากกว่าปกติอย่างว่างท่า บางครั้งก็โบกไม้โบกมือให้ เมื่อเห็นลูกชายสนุกสนาน ริมฝีปากของไดกิก็วาดรอยยิ้มของคุณพ่อราวกับอารมณ์ดีมาก
ปั่นรอบๆ สวนไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะตรงประตูใหญ่ ไม่รู้ใครตะโกนอยู่บ้าง ทว่าพวกเขาได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ไดกิจึงส่งสัญญาณผ่านทางสายตา เคนตะกับฮาคุโตะรีบวิ่งเข้ามายืนบังด้านหน้าโทมะกับมินจุนเพื่อคุ้มกัน
สุดท้ายก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทำความเคารพไดกิ ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“บอส คุณนายนาคาจิมะขอเข้าพบครับ”
“นาคาจิมะ?”
“คุณชายน้อยก็อยู่ด้วยครับ มากันแค่สองคน ไม่มีบอดี้การ์ด”
“คุณชายน้อย?”
ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองโทมะ แล้วใช้เสียงโทรต่ำอธิบาย
“ครับ อายุประมาณท่านโทมะ..”
“โชตะ”
โทมะหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย พูดชื่อโชตะแล้วรีบลุกออกมาจากจักรยาน แต่ป๊ะป๋าอยู่ตรงนี้จึงไม่สามารถวิ่งออกไปหน้าประตูใหญ่อย่างใจคิดได้ ถึงอย่างนั้นก็เอาแต่หยุกหยิกๆ ไปมา คอยมองไดกิตลอด
“ไปพาเข้ามา”
“ครับ บอส”
เมื่อผู้คนชายคนนั้นวิ่งหายไป ไดกิก็เหลือบมองลูกชาย ก่อนจะถอนหายใจเมื่อหันไปทางมินจุน หลังจากนั้นก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตัวสูงกว่ามินจุนราวๆ สองนิ้วเดินจับมือโชตะเข้ามา ทั้งรูปโฉมสง่างาม แถมยังดูเป็นคนใจบุญ ไม่หลอกลวงผู้อื่นด้วย
“สวัสดีค่ะ นาคาจิมะ คาโยค่ะ คุณคือไดกิ โจสินะคะ”
“สวัสดีครับ”
“ทราบดีว่าการมาพบอย่างกะทันหันแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก แต่เจ้าลูกชายคนโง่ของฉันเหมือนจะทำเรื่องผิดพลาดลงไป เลยอยากจะมาขอโทษด้วยตัวเอง แล้วก็… เดี๋ยวสิ โชตะ หนูอยู่เฉยๆ ก่อนได้ไหม”
แต่โชตะกลับวิ่งเข้าไปหาโทมะอย่างรวดเร็ว หอบหายใจ ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเอี๊ยมแล้วยัดใส่มือโทมะ
“เราเขียนเอง”
“อะยัย”
โทมะคลี่กระดาษที่พับอยู่ด้วยมือน้อยน่ารัก จากนั้นก็อ่านตามด้วยเสียงดังฟังชัด
“…ชอบ”
มินจุนรีบแย่งกระดาษในมือของโทมะขึ้นมาดูทันที ในนั้นมีคำว่า ‘ชอบ’ เขียนด้วยตัวหนังสือแบบเดียวกับจดหมายรักต้องสงสัยที่ถูกส่งมาลงตู้จดหมายหน้าบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อนเป๊ะเลย
มือที่ถือกระดาษแผ่นนั้นสั่นระริก พอนึกถึงการโดนกดขี่ทางร่างกายและทางจิตใจที่ได้รับมาจากไดกิตลอดช่วงที่ผ่านมาแล้ว น้ำตาก็รินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างทันที เขาจับจ้องแผ่นหลังของไดกิที่กำลังลูบผมตัวเองอยู่จนแทบพรุนเป็นรู พลันคิดถึงรอยฟันที่มีทั่วตัว ทั่วไหปลาร้าขึ้นมา
“คุณคือหม่าม้าของโทมะสินะคะ คุณชายน้อยของพวกเราเอาแต่พูดว่ามีคนที่ดีมากๆ อาศัยอยู่ที่นี่ แล้วก็ชมไม่หยุดปากเลยค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมโชตะถึงให้คุณอาของเขาเอาจดหมายแบบนั้นมาส่ง… อุ๊ย ร้องไห้ทำไมเหรอคะ เกิดอะไรขึ้น”
“…ไม่มีอะไรครับ แค่เจ็บตรงที่โดนเสือดะ… ไม่สิ แมวป่ากัดน่ะครับ…”
“ตายแล้ว มีแมวป่าด้วยเหรอคะ ไม่ได้การ คงต้องเรียกคนมาจัดการแล้วนะคะเนี่ย หยุดร้องเถอะค่ะ บ้านฉันมียาดีๆ อยู่ เดี๋ยวไปเอามาให้ดีไหมคะ”
“ทายา…แล้วล่ะครับ ถ้าพอมีเวลา ยังไงเข้าไปดื่มชาก่อนแล้วค่อยกลับนะครับ”
มินจุนจ้องไดกิด้วยแววตาดุดัน ก่อนจะจงใจชักชวนหม่าม้าของโชตะเต็มปากเต็มเสียง
“อ๊ะ ได้เหรอคะ ขอบคุณนะคะ ความจริงฉันเองก็อยากจะทำแบบนั้นค่ะ โชตะ”
“คับ มัม”
“เล่นกับโทมะจังดีๆ ล่ะ อย่าทะเลาะกันนะลูก”
“คับ โชตะชอบโทมะ”
ไดกิมองภาพเด็กสองคนจับมือกันวิ่งเล่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวแก้เขินกับแขกผู้มาเยือนว่า ‘คุยกันไปก่อนนะครับ’ แล้วเดินหลบเข้าบ้าน มินจุนย้ายมานั่งตรงระเบียงพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไล่หลังอีกฝ่าย วันนี้นายตายแน่…
วันนี้ภายในครอบครัวแสนวุ่นวายของยากูซ่า ก็ยังบรรเลงบทเพลงแสนหวานราวกับลมของฤดูใบไม้ผลิ~ โปรยปรายไวรัสแห่งความสุขและกลิ่นกายของมนุษย์ แม้จะไม่เข้ากัน แต่ก็ปรากฏเป็นความรักไปทั่วทุกหนแห่ง
♡ ♡ ♡
– จบบริบูรณ์ –
ขอบคุณที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ 🙂