ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 47 เล่ม 3 เฮเว่นส์ลีคส์ (1)
- Home
- All Mangas
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 47 เล่ม 3 เฮเว่นส์ลีคส์ (1)
วันที่ 6 ธันวาคม 2018 วันพฤหัสบดี
โยโยกิฮะจิมัน-ออฟฟิศ
วันหนึ่งหลังจากที่พวกเรารู้ถึงเนื้อหาอันน่าตกใจในจารึก มิโยชิกับผมก็กำลังเตรียมตัวเพื่อยืนยันสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นไม่ใช่เพียงเเค่เรื่องขุดเหมืองเท่านั้น เเต่เเน่นอนว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับจำนวนนักสำรวจทั้งหมดที่ต้องมีถึง 500 ล้านคน พอวันเผยเเพร่เฮเว่นส์ลีคส์ใกล้เข้ามา เราเลยตัดสินใจที่จะพิสูจน์ข้อมูลอื่นๆทุกอย่างที่ทำได้ก่อนที่เราจะเริ่มยุ่ง
เเต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ การเตรียมตัวที่ว่านั่นก็เเค่รอให้อาหารมาส่งเท่านั้นเอง พอมีเวลาเหลือ ผมเลยวางเเผนที่จะตามมิตสึรุกิกับไซโต้ไปฝึกตอนสุดสัปดาห์นี้
“ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่รู้เเล้วหรอว่าเดทในดันเจี้ยนน่ะมันเลวร้ายสุดๆเลย” มิโยชิบ่น เเต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะว่ามันไม่ใช่การเดทสักหน่อย เป็นการฝึกต่างหาก
ครั้งนี้ ผมตัดสินใจยังไม่ใช้ระบบปาร์ตี้ เพราะว่าตอนนี้ข้อมูลนี้ยังไม่ถูกเผยเเพร่ ถึงผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก เเต่ผมก็ไม่อยากจะเพิ่มโอกาสที่จะมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น
8 ธันวาคม 2018 (วันเสาร์)
โยโยกิ ดันเจี้ยน
“โย่ โปรดิวเซอร์โยชิ” ไซโต้พูด “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ผมเจอมิตสึรุกินั่งอยู่ที่ประจำในมุมของโยโยกิคาเฟ่ ไซโต้นั่งอยู่ข้างเธอ
“คำทักทายเเปลกๆนั่นคืออะไรน่ะ” ผมถาม “เเถมยังเเค่สองอาทิตย์เองนะ ใช่ไหม”
“นายโชคดีมากๆเลยนะ ได้มาอยู่กับฉันเดือนละสองครั้งเนี่ย”
“คร้าบๆ เอาล่ะ วันนี้เราจะทำอะไรกัน”
ในการฝึกครั้งที่เเล้ว ไซโต้นั้นติดใจการใช้ธนูเข้า ตอนนี้เธออยากจะลองใช้ธนูล่าวูลฟ์บนชั้นสามดู
“วูลฟ์มันคล่องเเคล่วกว่าก๊อบลิน การล่าพวกมันน่าจะสนุกเป็นสองเท่าใช่ไหมล่ะ” ไซโต้ถาม
“อืม ดูจากความเเข็งเเกร่งตอนนี้ของเธอกับมิตสึรุกิเเล้ว น่าจะไม่เป็นอันตรายนะ ฉันโอเค”
การกำจัดมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนนั้นเป็นเหมือนกับการเล่นเกมมากกว่าเพราะมันไม่หลงเหลือศพ ไม่เหมือนกับการล่าสัตว์จริงๆ คนส่วนมากนั้นไม่ค่อยรู้สึกผิดเท่ากับตอนฆ่าสิ่งมีชีวิต เเละตอนนี้ก็ไม่มีองค์กรเพื่อสิทธิสัตว์อะไรออกมาวิจารณ์การล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนด้วย
ถ้าจะเอาเเค่เพิ่มสเตตัส การล่าสไลม์ที่ชั้นหนึ่งได้ผลกว่ามากๆ เเต่กว่าการทำเเบบนั้นก็เหมือนเป็นนักบวชเซ็น ถ้ากำจัดสไลม์ไปเรื่อยๆโดยทำใจให้ว่าง คุณอาจจะตรัสรู้ก็ได้ เเต่ถ้าอยากได้ความสนุกหรือคลายเครียด เเน่นอนว่าการล่าวูลฟ์น่าสนใจกว่าเยอะ
เเละที่จริง ตั้งเเต่เลเวลหนึ่งไปจนถึงเลเวลสี่นั้นถูกเรียกว่า “เลเวลมือใหม่” เเละมันก็ถูกใช้เพื่อความสนุกสนานจริงๆ อีกชื่อนึงทีว่า “เลเวลเพื่อความสนุก” นั้นก็ไม่ได้เกินจริงเลย อย่างน้อยก็ยกเว้นชั้นหนึ่ง
เเต่ถึงจะเป็นชั้นบนสุด ดันเจี้ยนก็ยังเป็นดันเจี้ยน การประมาทอาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เเน่นอนว่าการล่าสัตว์หรือการตกปลานอกดันเจี้ยนก็เป็นเเบบนั้นเช่นกัน
“สนุกขึ้นเยอะเลย” ไซโต้ที่กำลังมีความสุขพูดขึ้น “วูลฟ์เร็วกว่าก๊อบลินมากด้วย” เเต่ทว่าอีกสักพักนึงเสียงของเธอก็เปลี่ยนไปเเละบ่นว่า “ชักจะน่าเบื่อเเล้วอ่ะ ไม่เห็นดรอปอะไรเลย ไม่เหมือนล่าหีบสมบัติก๊อบลินด้วย”
พอจำนวนนักสำรวจทั้งหมดถึง 500ล้านคน เเม้เเต่มอนสเตอร์อ่อนแอก็จะดรอปอาหาร เเต่ทว่าตอนนี้ การกำจัดมอนสเตอร์ชั้นหนึ่งถึงสี่นั้นจะไม่ดรอปอะไรเลย เเน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้นักสำรวจหลายๆคนไม่อยากมาที่ชั้นเหล่านี้ บางทีเรื่องนี้อาจจะเปลี่ยนไปบ้างถ้ามีตัวเลขคะเเนนขึ้นเหมือนในเกม เเต่มันดูจะเป็นไปไม่ได้
เอ๊ะ หรือว่าเป็นไปได้นะ
ถ้าเราสร้างเเว่นขึ้นมา คล้ายๆกับเเว่นป้องกันตาทางการทหาร เเล้วก็มีกล้องที่สามารถรู้ได้ว่าเรากำจัดมอนสเตอร์ตัวไหนไป เเละเปลี่ยนมันให้เป็นคะเเนนเเละเเสดงเป็นตัวเลข เราทำอะไรเเบบนี้เพื่อความสนุกสนานน่าจะได้นะ
ถึงเมืองอย่างโยโยกิหรือนิวยอร์คจะมีดันเจี้ยน เเต่พวกนี้ก็เป็นเมืองที่พัฒนาเเล้วซึ่งไร้ซึ่งความอดอยาก การลงทะเบียนนักสำรวจเพื่ออาหารนั้นอาจจะเป็นไปได้ช้า เเต่ถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความสนุกสนานให้ล่ะ
ธุรกิจเเบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเพราะสองเรื่อง อย่างเเรกคือผลตอบเเทนน่าจะน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าดำเนินการ อย่างที่สองคือโมเดลธุรกิจจะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตลูกค้าด้วย ถ้ามีคนเสียชีวิตในวันเเรก จะต้องโดนบรรดาสำนักข่าวรุมทึ้งอย่างเเน่นอน เเล้วในอีกไม่กี่เดือนก็คงเจ๊ง
เเต่ในอีกเเง่นึง เจ้าของธุรกิจนั้นอาจจะชี้ให้เห้นว่าบันจี้จัมป์ก็เสี่ยงชีวิตลูกค้าด้วยเหมือนกัน ถ้าคิดเเบบนั้น ก็อาจจะมีบริการผู้ติดตามที่เป็นนักสำรวจ ในที่สุดสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความสนุกสนานเเบบนี้ก็อาจจะมีประโยชน์ในการเพิ่มจำนวนนักสำรวจในประเทศพัฒนาเเล้ว
ระหว่างที่คิดเรื่องนี้อยู่ ผมก็เเอบกำจัดมอนสเตอร์อย่างลับๆเพื่อให้มั่นใจว่ามิตสึรุกิกับไซโต้นั้นปลอดภัย หลังจากกำจัดวูลฟ์ไป จำนวนการฆ่าของผมก็ถึงหนึ่งร้อยอีกครั้ง
สกิลออร์บ : AGIxHP+1 | 7,000,000
สกิลออร์บ : ประสาทสัมผัสขั้นสุดยอด | 500,000,000
สกิลออร์บ : สัมผัสภยันตราย | 2,000,000,000
สกิลออร์บ : ตรวจจับสิ่งมีชีวิต | 24,200,000,000
การที่วูล์ฟดรอปสกิลตรวจจับนั้นก็เข้ากันดี เเต่ทว่าผมสามารถหามันได้จากโคบอลต์ประมาณ 2-3ลูกทุกๆเดือน ตอนนี้ผมเลยเลือกสัมผัสภยันตรายก่อนถึงเเม้ว่าตรวจจับสิ่งมีชีวิตจะหายากกว่า
9 ธันวาคม 2018 (วันอาทิตย์)
โยโยกิดันเจี้ยน ชั้นหนึ่ง
วันรุ่งขึ้น มิตสึรุกิกับผมเดินไปทั่วชั้นหนึ่งของโยโยกิอย่างกับนักบวชเซ็นกำลังตามหานิพพาน เเน่นอนว่าด้วยการกำจัดสไลม์
ในปีหน้า งานของเธอที่เป็นนางเเบบมืออาชีพก็จะเริ่มต้นขึ้น เราน่าจะใช้เวลาด้วยกันได้ถึงเเค่สิ้นปีนี้ ผมคิดเเบบนั้นในตอนที่กำลังทานข้าวกลางวันด้วยกัน หลังจากนั้นเราก็นัดเรื่องการเจอกันครั้งถัดไปเเละเเยกกันไป
“เวลาว่างของฉันน่าจะเปลี่ยนเเปลงได้จนถึงสิ้นปี ติดต่อมาได้ตลอดเวลาเลยนะคะ” มิตสึรุกิพูด
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
“ยินดีต้อนรับกลับมานะรุ่นพี่ เดทเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“การกำจัดสไลม์เหมือนนักบวชนับเป็นการเดทรึเปล่าหล่ะ”
“ดูเหมือนเป็นคู่รักติ๊งต๊องเลย”
พอผมเเขวนเสื้่อโค้ตเเล้วนั่งลง มิโยชิก็เอาน้ำชามาให้
“จะว่าไป ไอช่าโทรมาด้วยเเหละ”
“จริงหรอ”
เราพบกับ อาช่า อาเหม็ด จาอิน – ลูกสาวของมหาเศรษฐีชาวอินเดีย – เมื่อเดือนที่เเล้วเพราะการประมูลออร์บฟื้นฟูสุดยอด จากที่ผมได้ยินมา เธอฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์เเละกลับสู่สังคมชั้นสูง ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนดีเลย เธอโทรมามีเรื่องอะไรกันนะ
“เธออารมณ์เสียเลยเเหละที่ติดต่อรุ่นพี่ไม่ได้”
“อ้อ เพราะอยู่ในดันเจี้ยนนั่นเเหละ เธอไม่ได้เจอผลข้างเคียงอะไรใช่ไหม”
“ถ้าเป็นเเบบนั้นจริง พ่อของเธอคงโทรมาก่อนเเล้วล่ะ”
อาเหม็ด ราอูล จาอิน เป็นคนมีความสามารถเเละเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวย เเต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพ่อที่ตามใจลูกสาว ซึ่งหน้าตาคล้ายกับภรรยาของเขาด้วย
“เธอพูดถูก”
“ยังไงก็เถอะ เธอมีนัดที่นี่ตอนสิ้นปี เธอเลยจะมาเที่ยวเล่นกับพวกเราด้วย”
“สิ้นปีงั้นหรอ”
“เหมือนว่าพ่อของเธอมีปาร์ตี้ธุรกิจอะไรสักอย่าง เธอก็เลยตามมาด้วย”
“ว้าว สมกับเป็นทุนนิยม”
“ฟังดูเเล้ว เหมือนเธอมีอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถพูดผ่านโทรศัพท์ได้”
“มีอะไรบางอย่างจะบอกเรางั้นหรอ อืมม หวังว่าจะไม่ใช่ปัญหานะ”
“นี่รุ่นพี่เธออุตส่าถ่อมาจากอินเดียไม่ก็ยุโรปมาที่ญี่ปุ่นนี่เลยนะ ไม่มีทางเป็นการพูดคุยธรรมดาหรอก บางทีเธอาจจะมาขอหมั้นรุ่นพี่ก็ได้”
“หยุดเลยนะ พ่อเธอคงทุบฉันจนตายเเน่ๆ เเต่เธอจะมาเที่ยวเล่นกับพวกเราตอนสิ้นปีใช่ไหม เราคงจะอยู่ที่ออฟฟิศอย่างเดียวไม่ได้ จะพาเธอไปไหนดี ถ้าคิดถึงที่ๆเป็นญี่ปุ่นหน่อย ก็น่าจะเป็นศาลเจ้าเมย์จิกับศาลเจ้านาริตะซังมั้ยนะ”
“รุ่นพี่อยากจะไปศาลเจ้าตอนปีใหม่หรอ ตามประเพณีจริงๆนะ เเต่ทั้งสองที่คงมีคนอัดกันสักสามล้านคนเลยมั้ง”
ก็จริง ในทุกๆปี ที่ศาลเจ้าเมย์จิเราจะเห็นเเค่หัวคนเท่านั้นเเหละ
“ถ้าเป็นชาวต่างชาติก็จะเป็นวัดเซ็นโซจิจะดีกว่าไหม”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเจอกับคนสามล้านคนจริงๆเเล้วล่ะ”
“นอกจากนั้นก็…ดิสนีย์เเลนด์ล่ะมั้ง”
“อืมม อาช่าก็ไมไ่ด้เจาะจงอะไรไปมากกว่า สิ้นปี เเถมเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอจะอยู่กี่วัน ไว้ค่อยคิดเเผนกันหลังจากรู้จากเธอก็เเล้วกัน”
“เอาเเบบนั้นก้ได้นะ เเต่พอถึงตอนนั้นคงจะจองนู่นนี่ยากเเน่ๆ”
“ตอนนี้ก็ไม่น่่าจะทันเเล้วเเหละ สำหรับที่ๆคนเยอะๆ ถ้าเเย่ขึ้นมาจริงๆ เราจะไปทำสงครามกับพวกสไลม์ที่ชั้นหนึ่งก็ยังได้”
“นี่ฟังนะ…”
บังคับให้คนที่อุตส่าถ่อมาถึงญี่ปุ่นในวันปีใหม่ให้ไปตีสไลม์เนี่ย มีอะไรโหดร้ายมากไปกว่านี้อีกไหม
“ปัญหาจริงๆน่าจะเป็นเรื่องอาหาร” ผมพูด
ฮินดูนั้นมีข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารมากกว่าอิสลาม อีกทั้งขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเองเเละชนชั้น ข้อห้ามพวกนั้นอาจจะสามารถทำตามได้ในหลายๆทาง ตอนเสิร์ฟอาหาร เเม้เเต่เชฟมือดีก็ยังต้องปรับเปลี่ยนอาหารให้เข้ากับข้อห้ามเหล่านั้น นอกจากนั้นคุณก็อาจจะถามไปตรงๆได้ว่ามีข้อห้ามไม่ทานอะไรบ้าง
เหล่าผู้คนที่อยู่ระดับบนๆที่เคร่งกับข้อบังคับจะไปรับประทานอาหารร่วมกับผู้คนที่อยู่ต่างระดับกัน เเถมยังไม่รวมถึงคนที่ทานเนื้อด้วย เหมือนว่าน้ำลายของคนที่ทานเนื้อนั้นจะถูกนับว่าเป็นของไม่สะอาด เเน่นอนว่าจุดนี้ทำให้คนเหล่านี้เจรจาธุรกิจกับคนฝั่งตะวันตกระหว่างทานอาหารได้ยาก
“เราไม่น่าจะต้องห่วงเรื่องอาหารเท่าไรนะคิดว่า ฉันไม่รู้ด้วยว่าบ้านของไอช่าเคร่งขนาดไหนตอนอยู่ในอินเดีย เเต่พอมาต่างประเทศ เหมือนพวกเขาก็จะปรับตัวให้เข้ากับประเทศนั้นๆนะ”
“เธอคิดงั้นหรอ”
“อาเหม็ดยังชวนเราไปกินซูชิเลยนี่”
ผมพยักหน้า “ใช่ เขาบอกว่าครอบครัวเขาสามารถทานปลาได้”
“เเละปกติ คนฮินดูก็ไม่กินอาหารดิบกันด้วย”
เเน่นอนว่าอาหารดิบนั้นไม่ได้ถูกจัดประเภทว่าสะอาดหรือไม่สะอาด เเค่คนไม่กินกันเท่านั้นเอง
“ถ้าให้เดา พ่อของเธอน่าจะใช้ประโยชน์จากกฏของมานูนั่นเเหละ”
ในศาสนาฮินดู การทานเนื้อนั้นกลายเป็นข้อห้ามหลังจากกฏของมานูถูกบังคับใช้ ในบทที่5ของคัมภีร์สมัยใหม่ โองการที่ 5 จะเป็นที่รวบรวมว่าอาหารอะไรทานได้เเละอาหารอะไรทานไม่ได้ ตั้งเเต่มีการให้กฏนี้มา มันก็มีผลอย่างมากกับวิถีการรับประทานอาหารของศาสนาฮินดู
กฏเกี่ยวกับอาหารนี้กำกวมเป็นอย่างมาก โดยอาจจะไม่ต้องสนใจมันนักก็ได้ขึ้นอยู่กับการตีความ ถ้าสรุปเร็วๆก็จะเป็น “การฆ่านั้นทำไม่ได้ เเต่การช่วงชิงชีวิตเพื่อมอบให้กับครอบครัวนั้นไม่ถือเป็นการฆ่า อาหารที่นำมาถวายบูชาก็ไม่ถือเป็นการฆ่าเช่นกัน”
ที่มิโยชิพูดหมายถึง อาเหม็ดอาจจะตีความกฏนี้เเบบกว้างๆเพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดบางอย่าง แแต่เเน่นอนว่ายังมีปัญหาเรื่องความบริสุทธิ์เเละไม่บริสุทธิ์เเละชนชั้นที่ถูกฝังรากลึกในอินเดีย เรื่องเหล่านี้นั้นส่งผลต่อการทานอาหารอย่างมาก ในฐานะที่เป็นชนชั้นนำของอินเดียเเล้ว อาเหม็ดก็ไม่สามารถที่จะไม่สนใจเรื่องนี้ได้โดยสิ้นเชิง
“ฉันว่าเรื่องนี้มันชักจะหมิ่นศาสนาแล้วล่ะ”
มิโยชิหัวเราะ
ในระหว่างที่เเลกเปลี่ยนวัฒนธรรม คนสองคนที่มีความเชื่อต่างกันต้องเปิดใจให้กว้างเเละอธิบายเหตุผลซึ่งกันเเละกัน ถ้าไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบเลี่ยงหรือทำลายอีกฝ่าย
การพบกับอะไรสักอย่างที่อยู่อีกฝากฝั่งของดันเจี้ยนก็อาจจะเหมือนกันก็ได้ ผมคิดขึ้นมา
“เอาเถอะ พรุ่งนี้เราจะไปโยโยกิใช่ไหม” มิโยชิถาม
“ใช่ คราวนี้เรามีอะไรที่จะต้องทำเยอะเลย เพราะงั้นจะเป็นมาราธอน ไม่ใช่วิ่งเเข่ง อย่างเเรกเลยคือเราต้องพิสูจน์ทุกอย่างเกี่ยวกับระบบปาร์ตี้”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็มีอะไรบางอย่างอยากจะลองเหมือนกัน”
“อย่างเช่น”
“ตอนที่เราจะเก็บหินเวทย์เพื่อเป็นอาหารให้พวกอาเธอร์ส ฉันอยากจะลองคำนวนดูว่าค่าLUCมีผลต่อการดรอปไอเทมมากขนาดไหน เเล้วก็มีอะไรอีกเล็กๆน้อยๆด้วย”
“อยากจะเริ่มที่ชั้นสิบใช่ไหม” ผมถาม
“การสำรวจของเราครั้งนี้น่าจะเน้นไปที่ชั้นนั้นเเหละ”
“ถ้างั้นฝากเธอติดต่อนารุเสะให้พรุ่งนี้มาเช้าหน่อยได้ไหม”
“หืม นารุเสะมีกุญเเจเข้าออฟฟิศอยู่เเล้วนะ ถึงเราจะไม่อยู่ เธอก็เข้ามาได้เองอยู่เเล้วล่ะ”
“ก่อนเราจะไป เธอต้องเจอกับพวกคาวัลก่อนนะ”
“อ๋อ จริงด้วย ถ้าไปเจอกันตอนที่พวกเราไม่อยู่ละก็…”
“คงจะน่าตลกมากเเน่ๆ เเต่เจ้าตัวคงหัวเราะไม่ออกเเหง”
“เเน่นอน”
ถึงจะมีมิโยชิกับผมอยู่ด้วย ผมก็ยังนึกไม่ออกว่านารุเสะจะทำหน้ายังไงตอนเจอกับพวกอาเธอร์ส
“เราสามารถให้พวกเฮลฮาวด์เป็นสัตว์เลี้ยงได้หรอ จะทำยังไงถ้าเธอบอกให้เรากำจัดพวกมันให้หมดล่ะ”
“ถ้างั้นฉันก็คงต้องอาศัยอยู่ในเงามืดอย่างไม่มีทางเลือกเเล้ว”
“เธออยากจะเป็นภูติผีอะไรรึไง”
มิโยชิทำหน้าจริงจังผิดจากปกติ เหมือนพร้อมที่จะสู้เพื่อพวกอาเธอร์ส “เอาล่ะ มาพยายามกันเถอะ”
10 ธันวาคม 2018 (วันจันทร์)
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
วันนี้โตเกียวเป็นวันที่หนาวเย็นเเละไม่มีลม คุณสามารถมองเห็นลมหายใจได้ในอากาศเย็นยะเยือก
นารุเสะมาถึงออฟฟิศเร็วกว่าปกติ “สวัสดีค่ะ” เธอทักทายเเละไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว ดูสีหน้าเธอเหมือนกังวล
“คุณสองคนจะไปชั้น18ใช่ไหมคะครั้งนี้”
“คิดไว้อย่างนั้น มีอะไรรึเปล่า” ผมถาม
“เรื่องนั้นน่ะค่ะ…” ตอนเเรกนารุเสะดูเหมือนจะไม่รู้ว่าจะพูดยังไง สุดท้ายเธอก็พูดออกมาโดยเลือกคำอย่างระมัดระวัง
“จากที่ฉันได้ไปตรวจสอบมา ชั้น 18 มีข่าวลืออยู่เยอะเลยค่ะ”
“ข่าวลือหรอ”
เธอหยิบเอกสารหลายฉบับออกมาจากกระเป๋า เวลาที่คุณอยากจะได้ข้อมูลหลายๆอย่างพร้อมๆกันเเละไม่ต้องการจะใช้ฟังชั่นค้นหา กระดาษก็ยังสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่าการใช้เเทปเล็ต อีกทั้งกระดาษยังให้ข้อมูลอย่างอื่นนอกจากตัวหนังสือได้ เช่นการสัมผัส ซึ่งจะช่วยในการจดจำ
มิโยชิกับผมดูข้อมูลจากกระดาษหลายเเผ่นที่นารุเสะนำมา มันเป็นข้อมูลของชั้น 18 เอกสารตรงกลางนั้นเป็นเเผนที่ของชั้น
“นี่มันยังไงนะ ชั้นที่ 18 ยังไม่ถูกสำรวจจนครบอย่างนั้นหรอ” ผมถาม
มีหลายพื้นที่ในเเผนที่ชั้น18ที่เป็นว่างๆ เริ่มตั้งเเต่บันไดของชั้น 18 เเทบทุกอย่างทางขวานั้นเป็นดินเเดนที่ยังไม่ได้ถูกสำรวจทั้งหมด
“ตรงนั้นเป็นหน้าผาเเละทะเลเมฆปกคลุมอยู่ข้างล่างค่ะ”
ตามที่เธอเล่า หน่วยของSDFนั้นได้เลื่อนการสำรวจด้านล่างหุบเขานั้นออกไป เพราะว่ามันอันตรายมากเกินไป เริ่มตั้งเเต่บันไดลงไปยังชั้น18 พวกเขาทำการสำรวจเป็นวงกลมจากจุดนั้น โชคดีที่บันไดไปยังชั้น19นั้นถูกค้นพบบนหน้าผาไม่ใช่ด้านล่าง หน่วยสำรวจก็เลยมุ่งหน้าไปสำรวจชั้นถัดไปต่อ
“ตั้งเเต่ตอนนั้นก็ไม่มีการสำรวจอีกเลยงั้นหรอ”
ผมลากนิ้วไปตามเส้นเเบ่งดินเเดนที่สำรวจเเล้วด้วยความสงสัย ตรงบริเวณนี้ ที่ยาวไปจนถึงเทือกเขานั้นได้รับการสำรวจเเล้ว
“ไม่ค่ะ หลังจากครั้งเเรกนั้นก็ยังไม่มีใครไปสำรวจอีกเลย เหตุผลก็คือทางที่คุณกำลังดูอยู่นั่นเเหละค่ะ”
นารุเสะชี้ไปที่ยอดเขาที่ถูกเรียกว่า บาเทียน มันอยู่ตรงสุดทางที่ผมลากไป ตรงนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่ยังไมไ่ด้รับการสำรวจ เเต่ทว่าเป็นเขตพื้นที่ห้ามเข้า
“ห้ามเข้าหรอ” ผมไม่เคยเจอข้อห้ามเเบบนี้มาก่อนในดันเจี้ยน “มันคืออะไรนะ”
หลังจากพักหายใจ นารุเสะก็ลดเสียงลงเเละเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟังเหมือนกำลังเล่าเรื่องผี “ในตอนที่SDFหน่วยเเรกสำรวจที่นั่นนั้นมีนักปีนเขาอยู่ด้วย”
พอเห็นภูเขานั่น เขาก็เรียกมันว่ายอดเขาบาเทียน หลังจากนั้น เขาเเละสมาชิกอีกสองคนก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจบริเวณรอบๆยอดเขา
“เพราะงั้นบริเวณรอบยอดเขาเลยถูกสำรวจครบถ้วนเเล้วงั้นหรอ บริเวณนอกวงกลมส่วนมากจะยังไม่ถูกสำรวจ การสำรวจภูเขาคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลยนั่นเเหละ”
“ลองนึกภาพนักปีนเขาที่เเอบไปปีนเขาตอนกำลังทำภารกิจสำรวจสิ” มิโยชิเเทรกขึ้นมาด้วยท่าทางนึกสนุก “ถ้าพวกเขาโดนกักบริเวณ28วันคงจะต้องเป็นตำนวนเเน่ๆ”
“ทำไมล่ะ”
พ๊อยเลนานา เป็นหนึ่งในยอดเขาที่มีอยู่มากมายของเขาเคนย่านั้นถูกพิชิตโดยชายชาวอิตาลีสามคนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เเต่ทว่าพวกเขานั้นเป็นเชลยของกองทัพบริเตน พวกเขาหลบหนีจากที่คุมขังเพื่อไปปีนเขาเคนย่า เเละพอกลับมาที่เเคมป์ก็โดนขังเดี่ยวเป็นเวลา 28 วันน่ะสิ
“พวกเขากลับไปที่เเคมป์งั้นหรอ เหมือนตัวเอกจากหนังเรื่อง วีอาร์โนเเองเจิ้ลส (ไม่ใช่เทวดา…ก็ใกล้เคียง) น่ะหรอ”
“เเบบนั้นเลย เเต่เอาจริง หนังเรื่องนั้นทำให้ฉันหงุดหงิดนิดหน่อยเเหละ”
“ทำไมล่ะ เวอร์ชั่นปี1995 เป็นหนังคริสมาสต์ที่ดีเลยนะ ฉันชอบมากกว่า อิตส์อะวันเดอร์ฟูลไลฟ์ หรือ มิราเคิลออนเตอตี้โฟทสตรีท(ปาฏิหาริย์บนถนนที่34) ซะอีก”
พอได้ยินเเบบนั้น มิโยชิที่จริงจังเกิดเหตุก็กำหมัดเเน่น “ฟังนะรุ่นพี่ หลังจากฉากทานอาหารค่ำวันคริสมาสต์ นักเเสดงทิ้ง1888 ชาเตอเดอเควียมไว้โดยไม่เเตะต้องเลยนะ ตอนนั้นมันต้องมีอายุสัก 30 ปีเเล้วเเน่ๆ เป็นอายุเท่ากับตัวเอกเลย พวกเขาทำเเบบนั้นได้ยังไง ฉันสาบานว่าจะต้องชำระเเค้นกับครอบครัวดูโคเทลให้ได้”
“เธอต้องเปลี่ยนมุมมองการดูหนังซะนะ” ผมเหนื่อยใจ
เเน่นอน ระหว่างที่ดู ดอกส์ออฟวอร์ ผู้ชมบางคนอาจจะอารมณ์เสียที่เกลยฟิดดิชของคริสโตเฟอร์ วอลเคนถูกขโมย เเต่คงมีเเค่มิโยชิที่ไปห่วงเเชมเปญที่ทหารดื่มในฉากสุดท้าย ตอนนั้นเราดูหนังด้วยกันอยู่ทางทีวี เเล้วมิโยชิก็พูดว่า “พวกเขาใช้เเก้วหรูหราจริงนะ ปกติเเล้วในสถานการณ์เเบบนั้นก็ต้องกระดกจากขวดไม่ใช่หรอ” ผมเลยสวนกลับไปว่า “เอาจริงดิ นี่เธอกำลังมองอะไรอยู่กันเนี่ย”
ยังไงก็เหอะ การเเหกคุกเพื่อไปปีนเขาก็บ้าเอามากๆ เเน่นอนว่าถ้าเป็นในดันเจี้ยนคงจะมีมอนสเตอร์มาจัดการเเน่ๆ
นารุเสะที่ฟังเราคุยกันด้วยรอยยิ้มก็เริ่มพูดต่อ เธอไม่ได้ทำหน้าเครียดอะไร “เหมือนว่าสมาชิกทีมนั้นจดจ่ออยู่กับการไปถึงยอดเขามากจนไมไ่ด้สนใจสิ่งรอบข้าง”
ก็จะมีนักปีนเขาคนไหนไม่อยากไปถึงยอดบ้างล่ะ มาขนาดนั้นเเล้ว
พอผมคิดเเบบนั้น นารุเสะก็ยื่นรายงานฉบับนึงมาให้
“อะไรน่ะ”
ตามรายงาน ทหารSDFสองในสามคนที่พยายามไปถึงยอดนั่นได้รับการเลื่อนยศ2ขั้น พูดอีกเเง่คือพวกเขาตายน่นเเหละ
“หืออ” ผมสงสัย
“เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น การสำรวจพื้นที่ที่เหลือก็เลยถูกพักเอาไว้ก่อน”
“เเน่นอนล่ะ” ถึงผมจะอ่านรายงานโดยละเอียด เเต่ก็ไม่พบสาเหตุการตาย “เเล้วไม่มีใครรู้เลยหรอว่าพวกเขาเสียชีวิตยังไง”
นารุเสะพยักหน้า “เเต่เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างอยู่บนยอดเขา”
“อะไรบางอย่างหรอ”
เเต่ว่าก็ไม่มีใครรู้ละเอียด รายงานไม่ได้มีสาเหตุการตายซะด้วยซ้ำ คำวินิจฉัยของหมอก็ไม่มี มีเเค่ความจริงที่ว่าพวกเขาเสียชีวิตเเละพื้นที่บริเวณนั้นถูกห้ามเข้า
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะรุ่นพี่” มิโยชิพูดอย่างไม่เป็นกังวล “พวกเราหนีปัญหาเก่งอยู่เเล้ว ถ้าเราเว้นระยะเอาไว้ก็น่าจะไม่เป็นอะไร” จากนั้นเธอก็หันมาถามนารุเสะ “ไม่ว่าอะไรก็ตามที่อยู่บนนั้น มันจะไม่ออกมาจากภูเขาใช่ไหม”
“ถ้าเเค่ตอนนี้ล่ะก็นะคะ”
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ชั้น18มีนักสำรวจอยู่น้อยรึเปล่า
“ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้นะ เราจะไม่เข้าไปเเตะเขาลูกนั้นอย่-”
“เรื่องนั้นน่ะค่ะ” นารุเสะพูดเเทรกขึ้นมา “พวกจีโนมนั้นอาศัยอยู่ที่ถ้ำใต้ดินบริเวณเขาลูกนั้น”
“ถ้างั้น เราจะ…พยายามหลีกเลี่ยงเขาลูกนั้นก็เเล้วกัน”
“ระวังตัวด้วยนะคะ”
พอบทเรียนสำหรับชั้น18จบลง มิโยชิก็ได้รับไฟลล์เเบบดิจิตัลจากนารุเสะ ระหว่างที่ผมมองอยู่นั้น ผมก็พูดเรื่องอื่นขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง
“จะว่าไป…เอ่ออ จะพูดยังไงดี ก่อนจะไปดันเจี้ยน เราอยากเเนะนำให้เธอรู้จักกับใครบางคนน่ะ”
“เเนะนำให้ฉันรู้จักกับใครบางคนหรอคะ” เธอถามทวน
เราต้องให้ให้เธอเจอกับพวกอาเธอร์สเเต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี ผมเลยเเทงศอกใส่สีข้างของเจ้าของ
“ตาเธอเเล้ว มิโยชิ”
“อืมมม นารุเสะ ใจเย็นๆเเล้วฟังฉันนะ”
“เอ๋ น่ากลัวนะคะเนี่ย มีอะไรหรอ”
รอยยิ้มของนารุเสะกระตุก เธอวางมือไว้บนเข่าอย่างเป็นกังวล
มิโยชิชี้ไปที่ด้านข้างของเธอเหมือนกับเป็นไกด์บนรถทัวร์ “ลองมองมาทางนี้นะคะ”
“คะ?”
นารุเสะที่นั่งอยู่บนโซฟาหันมาทางขวา พอเห็นคาวัลนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างน่ารัก เธอก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เหวออ เบาๆๆ” ผมตะโกน
ผมวิ่งไปปิดปากนารุเสะ บริเวณนี้เป็นบริเวณที่พักอาศัย เเน่นอนว่าบ้านของเรานั้นเก็บเสียง เเต่ทว่าถ้าเสียงกรีดร้องดังเเสบเเเก้วหูนี้เล็ดรอดออกไปนอกบ้าน ชื่อเสียงของพวกเราคงป่นปี้เเน่ๆ
นารุเสะยังส่งเสียงกรี๊ดทั้งๆที่ยังถูกปิดปาก เธอเบิกตาโตด้วยความกลัวเเละดันตัวเธอเข้าหาผม เธอหมุนเเขนเเละขาไปมาเพื่อพยายามหนีจากคาวัล
“ไม่เป็นไรๆ ใจเย็นก่อนๆ”
ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกเหมือนกำลังลักพาตัวผู้หญิงอยู่ เเต่สุดท้ายผมก็ทำให้นารุเสะใจเย็นลงได้ พอเธอหยุดโวยวาย ผมเอามือออกจากปากเธอ หลังจากนั้นเธอก็ทำปากพะงาบๆเหมือนปลาทองเกยตื้นเเละจ้องไปที่คาวัลตลอดเวลาโดยที่ไม่ได้มองไปทางมิโยชิเลย
“หน่ะ-นั่นมันอะไรกันคะ” เธอถามเสียงสั่น
“เอ่อ…หนึ่งในสัตว์เลี้ยงของฉันมั้ง”
นารุเสะจ้องมิโยชิ “สัตว์เลี้ยงหรอคะ”
“ใช่เเล้ว ดูนี่สิ”
พอมิโยชิพูดตามนั้น คาวัลก็เลียเเก้มนารุเสะด้วยลิ้นเปียกๆ
“อึ๊ย…”
นารุเสะยืดตัวตรงกลั้นหายใจเเละหันคอมาสบตากับคาวัลพร้อมเสียงเเกร๊กๆ มนุษย์กับเฮลฮาวด์จ้องกันอยู่สักพักหนึ่ง ความตึงเครียดเเผ่ไปทั่วห้อง มิโยชิกับผมมองดูพร้อมกลั้นหายใจ
ผ่านไปครู่นึง นารุเสะก็เริ่มหายใจเเละลูบจมูกคาวัลอย่างกล้าๆกลัวๆ “มะ-มาดูดีๆก็มีสเน่ห์อยู่นะคะ อาจจะน่ารักดีด้วย”
พอความตึงเครียดหายไป นาวัลก็ผ่อนคลายลงด้วย หัวของมันกับหางตาก็ตกลง
“เขาสัมผัสดีกว่าที่คิดไว้อีกค่ะ”
จริงด้วย ขนของพวกอาเธอร์สนั้นนุ่มกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ทั้งที่ตอนสู้มันดูเเข็งเเท้ๆ สงสัยพวกมันใช้เวทมนตร์ที่ทำให้ขนของพวกมันเเข็งขึ้นตอนสู้ ถ้าจะให้คะเเนนความนุ่มล่ะก็ สิบเต็มสิบได้เลย
นารุเสะค่อยๆทำความคุ้นเคยกับคาวัลเเละเริ่มลูบมันไปทั่วตัว เท่าที่ดูก็ใจเย็นลงพอที่จะสนุกกับความนุ่มของขนมันได้เเล้วล่ะ
พอใจเย็นลงเเล้ว นารุเสะก็บอกพวกเราว่า WDAไม่ได้มีกฏการควบคุมหรือกักกันโรคอะไร เเละไม่ได้มีซัมมอนเนอร์หรือเทมเมอร์โผล่มาก่อนหน้านี้เลย ทำให้กฏพวกนั้นไม่มีประโยชน์ เเถมเฮลฮาวด์ก็ไมไ่ด้อยู่ในรายชื่อสัตว์อันตรายหรือใกล้สูญพันด้วย ถึงเราจะส่งเรื่องไปยังรัฐบาลเรื่องจะทำให้พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง กฏพวกนั้นก็ใช้ไมไ่ด้กับพวกอาเธอร์สอยู่ดี
หรือก็คือ พวกเราเเค่ส่งคำขอเลี้ยงสุนัขธรรมดา รับใบอนุญาติเเละพาไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าเเค่นั้นเอง เเน่นอนว่าไม่รู้หรอกว่าวัคซีนจะมีผลยังไง เรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหาอยู่
“ยังไงพวกคุณก็มีทางหลบเลี่ยงเยอะอยู่นะคะ” นารุเสะพูด “ระหว่างนี้ฉันจะลองไปสอบถามดู ตอนนี้ก็เก็บพวกมันไว้เป็นความลับเเละจับตาดูให้ดีก็พอค่ะ”
“ขอบคุณมากนะ” มิโยชิพูด
สมกับเป็นผู้ดูเเลเต็มเวลาของเรา เป็นคนที่พึ่งพาได้เลยล่ะ
ถ้ามีคนรู้ว่าเราเลี้ยงเฮลฮาวด์ไว้ล่ะก็ สถาบันวิจัยบางที่อาจจะพยายามพาตัวพวกมันไปทำการทดลองก็ได้ เเต่ทว่าการที่จะบังคับเอาของๆคนอื่นไปในญี่ปุ่นนั้นเป็นไปได้ยาก เจ้าของเเค่ต้องปฏิเสธการส่งต่อสัตว์เลี้ยงเท่านั้นเอง ญี่ปุ่่นจงเจริญ
เเต่ก็อาจจะมีบางคนพยายามลักพาตัวพวกมันไปก็ได้ ผมคิดพลางมองไปที่คาวัลที่นั่งอยู่ ไม่ล่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก
กฏของดันเจี้ยนนั้นเป็นเหมือนการเล่นไล่จับตลอดสามปีที่ผ่านมา พอมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น ผู้ที่รับผิดชอบก้ต้องคิดทางออกมารองรับ พวกเฮลฮาวด์ก็คงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในเรื่องนี้
“หนึ่งในพวกเฮลฮาวด์นี้จะคอยอยู่เฝ้าที่ออฟฟิศ เธอก็เเปลต่อได้โดยไม่ต้องห่วงเลยนะ” ผมบอกนารุเสะ
หลังจากนั้นผมกับมิโยชิก็ออกจากออฟฟิศไป