ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 42 เล่ม 2 ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (18)
- Home
- All Mangas
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 42 เล่ม 2 ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (18)
สำนักงานใหญ่ JDA, อิจิกายะ
“อ๊ะ มิโยชิ!” นารุเสะเรียก
พอพวกเราเดินผ่านประตูอัตโนมัติของJDA อากาศอบอุ่นภายในอาคารก็พัดเข้ามา หลังจากที่นารุเสะเห็นมิโยชิกับผม เธอก็ตรงมาหาพวกเรา
“เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นผมเอามือโอบไหล่มิโยชิอยู่ “วันนี้คุณสองคนดูใกล้ชิดกันเเปลกๆ”
“อ่อ ก็ อืมมม… เกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่างน่ะ”
พอผมเอามือออกจากไหล่ของมิโยชิ เจ้าตัวก็หัวเราะคิกคัก อืม เธอน่าจะไม่เป็นอะไรเเล้วล่ะ
“จะว่าไป ข้างนอกเอะอะกันใหญ่เลย ทั้งสองคนเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
ที่ว่าเอะอะกันน่าจะหมายถึงอุบัติเหตุรถเทรลเลอร์เมื่อกี๊ ที่ผมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่าง เธอคงปะติดปะต่อเอา
“ยังไงก็เถอะ พวกเราปลอดภัยเเล้วล่ะ คิดว่านะ”
ถ้าพูดถึงการซุ่มยิงตรงนี้คงจะวุ่นวายเปล่าๆ พอการซื้อขายออร์บเสร็จเรียบร้อยเเล้วค่อยไปรายงานกับสายลับทานากะก็น่าจะพอ ผมไม่คิดว่าคนที่ตามเรามาจะพยายามระเบิดตึกJDAทั้งตึกหรอกนะ วิธีนั้นมันเกินเหตุไปหน่อยเเถมยืนยันไม่ได้ด้วยว่าสามารถจัดการเราได้เเล้วจริงๆ
จากที่ลองยืนยันกับเอธเธลลัมอย่างเร็วๆดู มือปืนนั้นหมดสติอยู่บนดาดฟ้าของตึกข้างๆเพราะว่าถูกดูดลงไปในหลุมของพวกเฮลฮาวด์ ถ้ามีอะไรบางอย่างที่ขยับไม่ได้อยู่ในหลุมของพวกมัน พวกเฮลฮาวด์ก็จะต้องเป็นคนเคลื่อนย้ายสิ่งเหล่านั้นเอง ซึ่งทำให้พวกมันเหนื่อยพอควร เพราะฉะนั้นเอธเธลลัมเลยอยากให้พวกเราทำอะไรสักอย่างกับมือปืนเร็วๆนี้ เเน่นอนว่าพวกเราไม่คิดจะเคลื่อนย้ายเขาเองหรอกเพราะยังไม่เห็นปัญหาว่าถ้าทิ้งเอาไว้ตรงนั้นจะเป็นอะไร มัดมือปืนเอาไว้ให้เร็วที่สุดเเละส่งต่อที่เหลือให้ทานากะน่า่จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
ยังไงก็เถอะ การซื้อขายต้องมาก่อน หลังจากที่เราส่งออร์บให้ DSFเเล้ว ชีวิตเราก็จะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ผมเชื่ออย่างนั้นนะ
“สวัสดีค่ะ” มีเสียงพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ “พวกคุณเป็นคนที่มีออร์บใช่ไหมคะ”
เด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนอยู่ระดับมัธยมต้นเรียกพวกเราจากด้านหลังนารุเสะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ในที่เเบบนี้นะ ดูเป็นคนอเมริกางั้นก็น่าจะมากับไซมอนงั้นหรอ
“ใช่เเล้ว ฉันชื่อโยชิมูระ เธอมากับDSFใช่ไหม”
หญิงสาวคนนั้นเเค่ยิ้มเเทนคำตอบเเละยืนมือออกมา “ฉันโมนิกา คลาค ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ระหว่างที่จับมือกับเธอ ผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ยากที่จะอธิบาย
“รุ่นพี่ ใครที่รุ่นพี่อยากจะให้ใช้ออร์บราคาสี่เเสนล้านกันล่ะ” มิโยชิถาม “นักวิจัยอายุ 40 ปีหรือนักวิจัยวัยรุ่นที่ครอบครัวไม่มีประวัติการเจ็บป่วยทางพันธุกรรม”
ไม่ว่าจะใช้เวลาหรือความพยายามในการหาออร์บมาขนาดไหน พอผู้ใช้ตาย สกิลก็จะหายไปด้วย ถ้าเป็นเเบบนั้น คุณก็จะอยากให้ผู้ใช้สกิลมีชีวิตอยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เเน่นอนผมเข้าใจเหตุผลนี้ เเต่ทว่า…
“ดูเธอสิ น่ายังไม่จบมัธยมต้นเลยเเท้ๆ”
“อเมริกาก็มีเหตุผลของตัวเองนั่นเเหละ ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะเข้าไปยุ่ง”
มิโยชิพูดถูกเเล้ว เเต่ทว่า ถ้าโมนิกาใช้ออร์บอย่างลับๆเหมือนกับนารุเสะ เรื่องราวก็จะเป็นอีกเเบบหนึ่ง เเต่ว่าถ้าไม่ใช่เเบบนั้นเเล้ว การใช้ออร์บเพื่อองค์กรนั้นจะหมายถึงกลายเป็นนกในกรงไปตลอดชีวิต
“เฮ้ โยชิมูระ”
พอผมจะหันไปหาโมนิกา ประตูอัตโนมัติของล็อบบี้ก็เปิดออก ไซมอนเดินเข้ามาพร้อมกับยกมือทักทาย คิดว่าเขาออกไปข้างนอกเพื่อตรวจดูสถานการณ์
“นั่นมันฉากแอ็คชั่นระกับเทพเลยนะ ฮอลลิวูดยังต้องอายเลย”
เขาเห็นเราขับลอดรถเทรลเลอร์สินะ
“นายรู้ได้ยังไง” ผมถาม
ชายผมสีบลอนด์ขี้เถ้ารูปร่างสูงเพรียวพูดขึ้นจากข้างหลังไซมอน “พวกเราดูอยู่จากด้านหลังน่ะสิ”
ถ้าผมจำไม่ผิด เขาเป็นสเกาต์ของทีมไซมอน โจชัว ริช
“โอ้ งั้นพวกนายก็ช่วยปกป้องพวกเราจากด้านหลังงั้นหรอ ฉันน่าจะรู้นะ”
“ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไรหรอกนะ” โจชัวตอบ
“พวกที่ไล่ตามมาหยุดอยู่ที่สวนเพราะพวกนายหรอ”
โจชัวขยิบตาเเละยกนิ้วโป้งให้
มิโยชิที่เมื่อกี้นี่คุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมล๊อบบี้วิ่งเหยาะๆกลับมาอีกครั้ง
“ฉันติดต่อทานากะเเล้ว เขาจะมาช้าหน่อยเพราะเหตุการณ์ที่สวน”
“เข้าใจเเล้ว”
“นั่นเเหละ พวกเราไล่ตามเเท็กซี่พวกนายไปจากทางด้านหลัง พอเห็นรถนั่นบินเข้ามาหาพวกนาย ฉันเเทบฉี่ราด” จากนั้นเขาก็หัวเราะ “ฉันคิดว่าพวกนายต้องไม่รอดเเน่ๆ”
การปล่อยให้คนที่ต้องอารักขาตายไปต่อหน้าต่อตาคงเป็นความผิดอย่างร้ายเเรง เเต่ว่าทีมไซมอนนั้นไม่ใช่การ์ดมืออาชีพ พวกเขาเเค่มีสเตตัสสูงลิ่ว ผมก็ตกใจเหมือนกันว่าอเมริกาก็มีบุคลากรไม่พอเหมือนกันหรอ
“เเต่ว่านะเพื่อน” ไซมอนพูด “นายทำเรื่องวุ่นเลยนะเมื่อวันก่อน หืมม”
เขาพยายามทำหน้าหน้ากลัวเเต่ก็ไม่สำเร็จเพราะมุมปากของเขากลายเป็นรอยยิ้มอย่างสนุกสนาน
“นายพูดถึงเรื่องอะไรนะ”
“เเน่นอนว่าพูดถึงชั้นเก้าน่ะสิ จะมีอะไรได้อีก”
เขาพูดถึงที่เราไปดันเจี้ยนครั้งสุดท้ายที่ชั้นเก้า เหมือนว่าทีมสอดเเนมจากทั่วโลกต้องเสียหายอย่างมากที่บริเวณของโคโลเนียลวอร์ม
“อเมริกาให้ทีมจาก USDD ไล่ตามนายไปเหมือนกัน หนอนพวกนั้นไม่ได้เเข็งเเกร่งอะไรมากหรอก เเต่ว่า….มันมีจำนวนมหาศาลเเถมยังน่าขยะเเขยงเอามากๆเลยใช่มะ ทุกๆคนใช้กระสุนหมดในพริบตาเลย การสู้ครั้งนั้นอย่างกับเป็นฝันร้ายเลยล่ะ”
ระหว่างที่ไซมอนพยายามกลั้นหัวเราะ โจชัวก็ยักไหล่อย่างเหนื่อยใจจากทางด้านหลัง
“เเล้วโคโลเนียลวอร์มดรอปอะไรไหม” มิโยชิถาม
ตาของไซมอนเป็นประกายทันที “หมายความว่าพวกนั้นดรอปอะไรบางอย่างสำคัญๆงั้นเรอะ”
“ยังไงนะ ฉันเเค่สงสัย ทำไมถึงถามเเบบนั้นล่ะ”
“ก็เพราะว่า เธอ สนใจน่ะสิ”
“อะไรนะ?”
“อย่าทำไก๋น่า เธอคิดว่าใครเป็นนักสำรวจที่ดังที่สุดอันดับสองกันล่ะ”
จากที่ไซมอนบอก มิโยชินั้นดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกเพราะการประมูลออร์บอยู่เเล้ว เเต่หลังจากการขายออร์บเข้าใจภาษาต่างโลก เธอก็กลายเป็นคนที่ถือใบอนุญาติที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ถ้าลำดับของWDAนั้นมีสำหรับการค้าด้วย เธอคงเป็นที่หนึ่งเเบบทิ้งห่างหลายช่วงตัวเเน่
“ทั้งโลกกำลังบ้าคลั่งหาออร์บนี้ เเล้วเธอก็หามันเจอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ไซมอนพูด “ไม่ใช่เเค่พ่อค้าคนอื่นที่สังเกตถึงความสามารถของเธอ เเต่พวกทหารเเละนักการเมืองก็กำลังสนใจด้วย”
“เเค่บังเอิญเท่านั้นเอง” มิโยชิพูด
“ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก” ไซมอนตอบเเละปฏิเสธสิ่งที่เธอพูด
เพราะตอนนี้เราไม่มีอะไรจะเถียง ผมเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องอย่างเนียนๆ
“ถ้ามิโยชิเป็นนักสำรวจที่ดังอันดับสอง เเล้วใครเป็นอันดับหนึ่งล่ะ หัวน้าของทีมไซมอนที่เพิ่งพิชิตอีเเวนส์ดันเจี้ยนงั้นหรอ”
“น่าเสียดายที่ฉันกับทีมเป็นที่สามไปเเล้ว ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเรื่องอีเเวนส์ดันเจี้ยนจะถูกลืมเร็วขนาดนี้”
“งั้นเป็นใครล่ะ”
“ต้องถามด้วยรึไง ก็นักสำรวจอันดับหนึ่งของโลกที่โผล่ขึ้นมาอย่างกับดาวหางไง”
ชิบหายละ ผมคิด เหมือนผมเเกว่งเท้าหาเสี้ยนซะเเล้ว
“เเต่ฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนๆนี้เหมือนกัน ฉันถามไปทั่วโยโยกิ เเต่ก็ไม่มีนักสำรวจคนไหนเลยที่ฉันคุยด้วยที่รู้อะไรเกี่ยวกับนักสำรวจอันดับหนึ่งคนนี้เลย เเม้เเต่การคาดเดาก็ไม่มี”
“ถ้างั้นคนๆนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ที่โยโยกิก็ได้” ผมพูด
“นายคิดงั้นหรอ ก็เป็นไปได้นะ ยังไงก็ตาม ไม่มีใครจากJDAหรือนักสำรวจคนไหนพอจะเดาได้ว่าคนๆนี้คือใคร คนๆนั้นถูกเรียกว่า ‘เดอะเเฟนทอม’ หรือไม่ก็ ‘คุณเอ็กซ์’ เเต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นผู้ชายจริงๆรึเปล่า”
ก็นะ ถ้าเป็นเเฟนทอมที่หมายความว่า “อะไรสักอย่างที่มีอยู่เเค่รูปลักษณ์เท่านั้น” ถ้าเป็นเเบบนั้นก็อาจจะถูกเผงเลยก็ได้
“รุ่นพี่คิดว่าชื่อไหนเท่กว่ากัน” มิโยชิถามในระหว่างที่พยายามกลั้นหัวเราะ “คิงเเซลมอนหรือว่าเดอะเเฟนทอม”
ใครจะสนกันเล่า!
“ก็นั่นเเหละ วีรกรรมของเธอดังไปทั่วโลกเเล้ว” ไซมอนพูดกับมิโยชิ “ทุกๆคนคิดว่าเธอเป็นนักล่าออร์บอันดับหนึ่ง” เขาหยุดพุดเเละหัวเราะ “เเน่นอนว่านักล่าออร์บอันดับสองน่ะไม่มีหรอกนะ”
ใช่ ผมเป็นคนเดียวในโลกนี่เเหละ
“เพราะงั้น เเอเรีย12มีเรื่องฮิตๆให้คุยไม่จบเลยล่ะ”
โมนิกาฟังที่พวกเราคุยสัพเพเหระกันเงียบๆ เธอดูสนใจอย่างมาก
“จะว่าไป เธอคนนี้เป็นใครนะไซมอน”
“เอ่อ… จะปิดบังก็คงไม่มีความหมายสินะ ฉันได้ยินมาว่าเธอจะเป็นคนใช้ออร์บน่ะ”
เเค่นั้นผมพอจะเดาได้อยู่เเล้ว เเต่ผมยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ “เเล้วความยุติธรรมอยู่ตรงไหนล่ะ” ผมอยากจะถามเเบบนั้นเหมือนกัน เเต่ว่าตอนนี้ผมไม่อยากจะเถียงด้วยมุมมองเเคบๆจากคนธรรมดาที่อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด เเต่ว่าถ้าเด็กคนนั้นถูกหลอกมา ผมก็อยากจะพูดอะไรใส่สักอย่างสองอย่างเหมือนกัน
“นายเข้าใจรึเปล่าว่ามันหมายความว่ายังไง”
“ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร เเต่นี่ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
เขาเป็นทหารจริงๆ
“โมนิกา” ผมย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน
“คะ?”
“เธอรู้เรื่องออร์บที่เธอกำลังจะใช้รึเปล่า”
“เเน่นอนค่ะ”
“เธอตกลงที่จะใช้ออร์บนี้ด้วยตัวเองโดยไม่มีใครมากดดันรึเปล่า”
“ตราบเท่าที่เรายังอาศัยอยู่ในสังคม พวกเราไม่สามารถหลบหนีจากความกดดันได้หรอกค่ะ ถ้าไม่มีกฏระเบียบ อิสระก็เป็นเเค่ความโกลาหลวุ่นวายเท่านั้นเอง”
โมนิกาพูดดังนี้เเละยิ้มอย่างเป็นผู้ใหญ่
“เฮ้ ไซมอน คงไม่มีใครมาตบมุกว่า “อ๋อ ผู้หญิงคนนั้นที่จริงอายุสามสิบนะ” ใช่ไหม”
“ไม่รู้สินะ เเต่เธอเริ่มเข้าเรียนที่MITตอนอายุเก้าขวบ เเล้วก่อนที่จะอายุ14ปี เธอก็ได้ปริญญาเอกโดยใช้เวลาทีสั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เลยล่ะ”
ถึงจะฟังดูน่าทึ่งก็เถอะ เเต่ความฉลาดกับการเติบโตทางจิตใจมันเป็นคนละเรื่องกัน
“ฟังนะ” ผมพูดกับโมนิกา “มีอะไรหลายๆอย่างของมนุษย์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุเเละผล”
“ใช่ค่ะ”
“ถึงตอนนี้เธอจะพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ เเต่อาจจะมีตอนที่เธอไม่สามารถทนมันได้อีกเเล้วก็เป็นได้”
“ค่ะ”
ผมมองตาโมนิกา ไม่เเน่ใจว่าจะพูดยังไงดี ผมเลยเเค่ยิ้มเเละพูดสิ่งเเรกที่คิดออกมาได้ “เเต่ไม่ต้องห่วงนะ พอเธอเป็นผู้ใหญ่เเล้ว เธอจะมีอิสระมากกว่าตอนนี้เเน่นอน”
เพราะดันเจี้ยนนั้นพยายามจะเผยเเพร่ออร์บภาษาต่างโลกนั่นเเหละ
โมนิกาฟังคำพูดผมที่เหมือนพูดออกมาส่งๆอย่างตั้งใจ ผมเอาหน้าเข้าไปใกล้เธอเเละกระซิบURLของเวปเฮเว่นลีคส์ให้เธอโดยไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“เข้าเวปนี้ตอนคืนวันคริสมาสต์ของปีนี้นะ เเต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับล่ะ”
“เข้าใจเเล้วค่ะ! เป็นเวทมนตร์ลับสินะคะ!”
เธอพูดอย่างมีความสุขเเละยิ้มสมกับที่เป็นเด็ก
“เวทลับงั้นหรอ” ผมถามทวน
“ไซมอนบอกว่าคุณเป็นจอมขมังเวทย์ค่ะ!”
ตอนนี้สังคมชนชั้นสูงของอินโด-ยูโรเปียนกำลังลือกันให้เเซ่ดเกี่ยวกับจอมขมังเวทย์ของญี่ปุ่น เเต่ทว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้ถึงข่าวลือนี้
“รุ่นพี่ อย่าคิดที่จะเเตะต้องเด็กคนนั้นเชียวนะ”
“ฟังนะ เธอเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย”
***
หลังจากได้รับการติดต่อจากหนึ่งในสมาชิกทีม ทีมของทานากะก็ไปถึงสวนเพื่อเก็บกวาดสิ่งที่นาตาลีกับโจชัวทิ้งเอาไว้
ลูกน้องคนหนึ่งของทานากะสำรวจชายสี่คนที่หมดสติอยู่ ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกมัดไว้ “อุปกรณ์ของพวกเขาเป็นของอเมริกา เเต่เหมือนจะเป็นคนสลาวิคตะวันออก”
ทานากะมองไปรอบๆด้วยความชื่นชม “ต้องบอกว่าทักษะของพวกเขาน่าทึ่งจริงๆ”
จากทางเดินนั้นจะไม่สามารถมองเห็นสถานที่เกิดเหตุได้เพราะมีต้นไม้ใหญ่บัง เเต่พวกเขาก็ยังสามารถกำจัดหน่วยรบพิเศษอยู่ข้างๆทางเดินโดยไม่มีใครรู้ ในวันอาทิตย์ที่คนเยอะ เเล้วก็ยังไม่ได้ใช้อาวุธอีกด้วย
“มีการยิงปืนเกิดขึ้นสองนัดครับ”
“ใครที่ตามที่ทำสามารถหลบกระสุนที่ยิงจากผู้เชี่ยวชาญในระยะใกล้ขนาดนี้ได้ เเล้วก่อนที่อีกสามคนจะเริ่มทำการยิง พวกเขาก็ทำให้ผู้โจมตีหมดสติไป เเค่พูดน่ะมันง่าย คนของพวกเรามีใครสามารถทำเเบบนี้ได้บ้างไหม”
“ไม่ทราบครับ เเต่จากพวกของเราที่เข้าไปปลดอุปกรณ์ของทหารพวกนี้ออก เขาบอกว่าเป็นชายเเละหญิงหนึ่งคนเป็นคนที่ทำให้ทหารพวกนี้หมดสติไป”
“ยิ่งฟังดูเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่เลยนะ” หลังจากนั้น โทรศัพท์ของทานากะก็สั่น
“ขอตัวสักครู่” เขาเดินออกห่างไปหน่อย กดรับสายเเละพูดว่า “ฮัลโหล”
“โอ้ ฮัลโหล” เสียงที่ดูสบายๆดังออกมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ “นี่มิโยชินะคะ”
จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องเหลือเชื่อให้ฟัง
“เธอคุมตัวสไนเปอร์ไว้งั้นหรอ!”
“ก็ ใช่ค่ะ เราคุมตัวเขาไว้เเละเเยกปืนออกมาต่างหาก ถ้าเป็นไปได้ ช่วยมารับเขาไปทีนะคะ”
“ดะ-เดี๋ยวก่อน มิโยชิ!”
หลังจากที่เธอวางสายไป ทานากะก็จ้องโทรศัพท์อย่างมึนงง สไนเปอร์นั้นจะอยู่ไกล การที่จะคุมตัวเขาเอาไว้นั้นต่างกับการจับกุมสายลับที่จะเข้าไปใกล้เป้าหมายโดยสิ้นเชิง ทานากะคิดไม่ออกว่าดี-พาวเวอร์สทำได้ยังไง เขายังอับอายที่มีการปล่อยให้มีการใช้อาวุธในญี่ปุ่นได้โดยไม่มีการควบคุม ชาวต่างชาติ 29 คนเข้าประเทศมาจากสนามบินโดโมเดโดโว การที่ทีมของเขาไม่สามารถตามตัวคนอันตรายพวกนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ภายในองค์กร
“พวกเรายังขาดคนอีกมากสินะ” ทานากกะพึมพัมกับตัวเอง
ถ้ามีการก่อการร้ายขนาดใหญ่เกิดขึ้นระหว่างโอลิมปิคที่จะมาถึงนี้ ควรจะไปร่วมมือกับทางตำรวจล่วงหน้าไหมนะ
หรือบางทีเราอาจจะขอให้ดี-พาวเวอร์สไปคุ้มครองพวกวีไอพีก็ได้นะ ทานากะคิดติดตลก
***
พอการซื้อขายเสร็จสิ้นโดยไม่มีปัญหาใดๆ โมนิกาก็ใช้ออร์บทันที เเละหลังจากพวกผู้ใหญ่ที่ตามเธอมาก็เอาไฟลล์ออกมา เธอดูเเละปรึกษากับพวกเขา ดูเเล้วพวกเขาน่าจะอยากรู้ว่าเธอสามารถเข้าใจเนื้อหาได้จริงๆไหม
“รุ่นพี่”
“ว่าไง”
“นารุเสะบอกว่าใบอนุญาตการค้าของฉันเลื่อนระดับเเล้ว เธอเลยให้การ์ดใบใหม่มา”
“ก็เธอเป็นตำนานที่นะ”
“อย่าพูดเเบบนั้นเลย ขอร้องล่ะ”
“เธอเลื่อนสองขั้นเลยงั้นหรอ”
“เรื่องนั้นน่ะ…”
มิโยชิเอาการ์ดใบใหม่ให้ผมดู ซึ่งมันดูเเตกต่างจากกการ์ดพลาสติคของผม การ์ดของเธอเป็นสีดำล้วนดูเป็นทางการอย่างมาก ตัว S สีมุกที่เขียนอยู่นั้นหมายความว่า…
“เลื่อนขั้น 7 ขั้นเลยงั้นเรอะ”
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าทหารที่ตายในหน้าที่จะได้เลื่อนขั้นสองขั้นหรอ อย่าเเช่งกันเเบบนั้นสิ บอกว่า ข้ามขั้น ไปเจ็ดขั้นจะฟังดูดีกว่านะ”
เเรงค์ของWDAนั้นไม่ได้อิงตามความสามารถจริง เเต่ทว่าจะอิงตามประโยชน์ที่มอบให้กับองค์กรดันเจี้ยนทั่วโลก มันขึ้นอยู่กับของที่ขายเเละค่าคอมมิชชั่นที่ทำให้JDA พอมาคิดดู JDAเพิ่งได้เงินสี่หมื่นล้านเยนไปเมื่อครู่นี้เอง ไม่เเปลกใจเลยว่าทำไมมิโยชิถึงโดดไปอยู่เเรงค์ S
“เดาออกไหมว่ามันหมายความว่ายังไง”
“ไม่รู้สิ”
“เราสามารถเข้ากันเจี้ยนที่มีการจำกัดคนเข้าได้ทุกแห่งในโลกเเล้วยังไงล่ะ”
เเรงค์ของWDAมีประโยชน์หลายอย่าง บริษัทที่จ้างนักสำรวจจะใช้มันเป็นหลักในการจ่ายเงินค่าจ้าง ถ้าเเรงค์ต่ำก็จะซื้ออาวุธเครื่องป้องกันได้จำกัด พวกเเรงค์สูงก้สามารถเข้าดันเจี้ยนที่ไหนก็ได้
ผมพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น เราสามารถเป็นนักล่าออร์บนานาชาติได้เลยนะ”
“ใช่เเล้วล่ะ”
เเต่ส่วนมากเเล้ว ผมกับมิโยชินั้นอยากจะใช้ชีวิตสบายๆเเละก็ทำวิจัยที่เราสนใจ พอคิดว่าจะมีคนสำคัญๆใช้ให้พวกเราไปหาออร์บนู้นออร์บนี้ฟังดูเเย่ชะมัด
“ถ้ามีเเบบนั้นมา พวกเราก็ปฏิเสธคำขอกันเถอะ”
“เห็นด้วย”
อีกด้านหนึ่งของห้อง โมนิกากำลังพูดกับคนรอบๆตัวเธอ ไซมอนเหมือนจะเบื่อก็เลยเรียกพวกเรา
“เฮ้ พวกนาย คนพวกนั้นจะกลับอเมริกาเเล้วล่ะ เเต่ทีมของฮันจะเริ่มลงโยโยกิอย่างเต็มตัว ไว้เจอกันในดันเจี้ยนนะ”
หา กลับอเมริกาเเล้วตั้งใจทำงานไปเซ่!
“พวกนายจะไม่รารักขาโมนิกากลับโยโคตะงั้นหรอ” ผมถาม
“หือ อ๋อ ใช่ๆ”
“ฉันควรบอกให้รู้เอาไว้ก่อนละกัน…”
ผมพาไซมอนไปที่มุมห้องเเละกระซิบกับเขาเรื่องที่มีสไนเปอร์พยายามที่จะฆ่ามิโยชิ
“เอาจริงดิ เเล้วเรื่องรถบรรทุกนั่นก็เป็นการพยายามลอบสังหารด้วยรึเปล่า”
“ฉันก็ไม่เเน่ใจ เเต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”
“เเล้วเกิดอะไรขึ้นกับมือปืนล่ะ”
“เราคุมตัวเอาไว้เเล้ว เเต่ฉันเเนะนำให้ระวังตัวไว้หน่อยจนกว่าจะถึงโยโคตะ”
“เข้าใจละ ขอบคุณที่บอก”
หลังจากนั้นไซมอนก็ออกไปที่ทางเดินเเละเริ่มโทรศัพท์เพราะในห้องประชุมถูกตัดสัญญาณ
ตอนจะออกจากห้องประชุม โมนิกายื่นมือออกมาหาผม
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ คุณโยชิมูระ”
เหมือนว่าขากลับเธอจะใช้เฮลิคอปเตอร์จากกระทรวงกลาโหมไปที่โยโคตะเลย พอมาคิดดู ญี่ปุ่นช่วยอเมริกาให้ได้ออร์บมานี่นะ
“ถ้าการวิจัยเริ่มเป็นเรื่องการเมืองเมื่อไร เธอไม่จำเป็นต้องทำตามที่พวกเขาบอกหรอกนะ” ผมพูดระหว่างจับมือกับโมนิกา “เเล้วถ้าเธอไม่ได้ถูกสั่งห้ามอย่างชัดเจนให้ไม่ทำอะไร เธอก็สามารถทำได้นะ ตราบเท่าที่มันไม่ได้เป็นการขัดคำสั่งโดยตรง หัวหน้าเธอน่าจะยอมยกโทศให้อย่างน้อยก็ครั้งนึงล่ะ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเเบบไหน” ผมขยิบตาให้เธอ “เเล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ติดต่อมาได้เสมอเลยนะ”
โมนิกาพยักหน้าให้เล็กน้อย ยิ้ม เเละเดินออกไปที่ทางเดิน
ผมอยากให้เธอมีความสุขเท่าที่จะเป็นไปได้ มันไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องเสียสละชีวติของเธอเหมือนกับนามสกุล
“นายเป็นคนดีจังนะ” ไซมอนพูดพร้อมโผล่มาอยู่ข้างๆผม “เเต่ก็ยุ่งมากไปนิดนึง”
“เข้าใจผิดเเล้วล่ะ” ผมตอบสั้นๆเเละมองไปที่เขา
ผมเเค่อยากจะใช้ชีวิตในเเบบที่ผมเลือกให้ได้มากที่สุด ทำให้การกระทำบางอย่างมันปล่าวประโยชน์หรือขัดเเย้งกันไปบ้าง ความทรงจำอันเเสนเลวร้ายในบริษัทมือมีส่วนทำให้ผมคิดเเบบนี้
ไซมอนโอบไหล่ผมอย่างเป็นกันเอง “อย่างน้อยนายก็ต้องระวังตัวไว้นะ ในดันเจี้ยนน่ะ คนดีมักจะตายก่อน”
ผมจ้องไซมอนจากด้านข้างเเละเอากำปั้นทุบอกเขา “งั้นถ้านายยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง”
เขายิ้มเเละเอามือออกกจากไหล่ผมเเละยกมือขึ้นเพื่อเป็นการลาเเละวิ่งไปอยู่ข้างโมนิกา มิโยชิกับผมมองส่งพวกเขาออกไปจากล็อบบี้ รู้สึกเหมือนพลังหายออกไปจากร่างกาย
“จบเเล้วสินะ” มิโยชิพูด
“อื้อ”
ต้นไม้ที่อยู่ข้างทางเริ่มเปลี่ยนสี เป็นสัญญาณของฤดูหนาว โมนิกาที่ถูกล้อมรอบด้วยทีมไซมอนเเละตำรวจลับก็ก้าวขึ้นรถลีมูซีนที่จอดอยู่หน้าตึก กระทรวงกลาโหมนั้นอยู่ห่างออกไปเเค่หนึ่่งนาทีเท่านั้นเอง ถ้ารถเทรลเลอร์ไม่ได้ขวางทางเข้าอยู่