ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 37 เล่ม 2 ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (13)
- Home
- All Mangas
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 37 เล่ม 2 ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (13)
โดโมเดโดโว, รัสเซีย
รถบัสขนาดเล็กที่บรรทุกชาย12คนกำลังวิ่งออกจากกรุงมอสโควไปตามทางหลวงรัสเซียหมายเลข A105
ดวงอาทิตย์นั้นตกดินไปเเล้ว ตอนนี้เหลือเเค่เเสงจางๆส่องป้ายโฆษณาข้างถนนที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษ ป้ายขนาดใหญ่นั้นเป็นของหัวเหว่ย เมท20โปร ตอนนี้เป็นศตวรรษที่20เเล้ว บนถนนอาบัทนั้นมีทั้งป้ายเเมคโดนัลด์ เป๊ปซี่ ฮาร์ดร็อคคาเฟ่เเละสตาร์บัค เเม้เเต่ตุ๊กตาเเม่ลูกดกที่เป็นของฝากชื่อดังก็ผลิตขึ้นที่จีนเเละยังมีป้ายที่เขียนด้วยคำภาษาอังกฤษว่า ‘ของฝาก’
เมื่อไปตามทางหลวงเรื่อยยๆจะเจอกับอาคารที่มีรูปทรงเหมือนมาจากอนาคต – เป็นรูปทรงกระบอกที่ทำจากเเก้ว มันดูคล้ายกับเเขนของเรือที่ถูกทิ้งไว้ในภาพยนตร์ชื่อเอเลียน อาคารนั้นก็คือสนามบินมอสโควโดโมเดโดโว กลุ่มชายบนรถก้าวลงจากรถเงียบๆเเละถือประเป๋าของตัวเองเอาไว้ ชายที่คนใส่เครื่องเเบบหันไปหาชายคนหนึ่งในกลุ่มเเละพูดว่า “นายไปรับอุปกรณ์ที่สถานฑูตซะ”
ชายคนที่รับคำสั่งนั้นพยักหน้า ทำวันทยาหัตเเละหันหลังกลับ จากนั้นเขาก็หายไปในสถานบินพร้อมๆกับชายคนอื่นๆ ชายคนที่สวมเครื่องที่ไม่ได้ไปด้วยนั้น เขาใส่เครื่องหมายที่มีอักษรซีริลลิกตัว ‘B’
30 พฤจิกายน 2018 (วันศุกร์)
โยโยกิ-ฮาจิมัน, ออฟฟิศ
หลังจากการประมูลจบลง พวกเราก็กลับมาที่พื้นโลก
ตลอดสองวันมานี้ พวกเราต้องเผชิญกับหน่วยสายลับ(น่าจะ)จากหลายๆประเทศ พวกเราเดินทางไปๆมาๆระหว่างชั้น9ถึงชั้น12เพื่อที่จะสลัดพวกเขาให้หลุด สุดท้ายที่ทางออกของชั้นต่างๆ พวกเราเจอเเคมป์ปริศนาที่ถูกสร้างโดยคนญี่ปุ่น เหมือนว่าSDFจะส่งกองหนุนมาเพื่อที่จะระบุตำเเหน่งของพวกเรา
ส่วนมากเเล้วคนน่าจะคิดว่าเราไปหาออร์บมาในวันที่1 ธันวาคม เเต่การที่พวกเรากลับมาก่อนกำหนดหนึ่งวัน น่าจะทำให้พวกที่ตามเรามาอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว
หลังจากที่กลับมาถึงออฟฟิศเเละตรวจสอบราคาประมูล ผมก็ตะโกนออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“สี่เเสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสี่สิบสองล้านเยนงั้นหรอ!!”
ว่าผมไม่ได้หรอกนะที่ตะโกนน่ะ ก็ดูตัวเลขนี่สิ
“เท่ากับงบสาธารณะของจังหวัดมิเอะกับกุนมะเลยเเต่ถ้าเเค่งบประมาณอย่างเดียว มันมากกว่าจังหวัดชิมาเนะซะอีก พอๆกับจังหวัดซากะล่ะ” มิโยชิพูด
“เธอดูใจเย็นจังนะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงเป็นราชินีการค้า ฉันเกือบจะเป็นลมอยู่เเล้ว”
“ถ้าเราใช้กฏการประมูลเเบบเดิมนะรุ่นพี่ ราคาสุดท้ายน่าจะเกินหนึ่งหมื่นล้านดอลลาได้เลยนะ”
จริงด้วย เราใช้วิธีพิเศษในการต่อเวลาใช่มั้ยนะ
“ตอนสุดท้าย คนชนะเพิ่มเงินเข้าไป 2 เเสนล้านจากราคาเดิม คู่แข่งเสนอราคาต่ำกว่าอยู่ที่ 100 ล้าน, 1 พันล้าน, 1 หมื่นล้าน และ 1 แสนล้าน ตอนนั้น เวลา 12 วินาทีก็หมดลง”
หรือก็คือคู่เเข่งยังอยากจะประมูลต่อ
“สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเรา จะหมื่นล้านหรือเเสนล้านก็ไม่ต่างกันเท่าไร ทั้สองอย่างก็เรียกรวมๆว่าเป็น ‘เงินจำนวนมหาศาล’ เเค่นั้น” มิโยชิพูด
เเบบนั้นก็ไม่ผิดซะทีเดียว
“เเล้วใครล่ะที่ชนะ”
“น่าจะเป็น…หน่วยจู่โจมดันเจี้ยน(DSF)นะ น่าเเปลกนะที่คู่เเข่งที่เเข่งกันมาตลอดคือ IDจากกรมดันเจี้ยนของอเมริกา(USDD)”
ไม่ใช่ องค์กรดันเจี้ยนของอเมริกาเเต่กลับเป็นหน่วยจู่โจมดันเจี้ยนหรอ ทีมไซมอนอะนะ เเถมพวกเขายังเเข่งกับ USDD ด้วย ทั้งสองฝั่งก็เป็นองค์กรของอมริกานี่ หรือว่าจะไม่ถูกกัน
“NATO หยุดประมูลกลางทาง พวกเขาน่าจะไปคุยกับอเมริกาอย่างลับๆ จากนั้นก็อินเดียเเละตกวันออกกลาง น่าจะมีการเจรจาเกิดขึ้นหลังฉากเเน่เลย” มิโยชิพูด
“ประเทศต่างๆทั่วโลกร่วมมือกันเพื่อชนะการประมูลงั้นหรอ”
“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าต้องใช้เงินจำนวนมากช่วงสิ้นปีก็น่าจะลำบากอยู่ ถึงจะเป็นงบประมาณระดับชาติก็เถอะ”
“เเต่ปัญหาก็คือ ชาติที่ชนะจะเเบ่งข้อมูลที่ถูกต้องให้ชาติพันธมิตรรึเปล่า”
มิโยชิยักไหล่ “ก็เหมือนกับข้อพิพาททางการทหารนั่นเเหละ เดี๋ยวก็ตกลงกันได้เอง”
ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปห่วงสินะ
เเต่ว่าเเค่เวลาสามวันนับตั้งเเต่ประกาศการประมูล มีใครบางคนเกลี้ยนกล่อมหลายๆชาติให้จับมือกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันได้งั้นหรอ คนกลางจะต้องเป็นนักเจรจามือฉมังเเน่ๆ
“เธอคิดว่าใครเป็นคนเสนอเเผนนี้กัน”
“ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นญี่ปุ่นแหละ”
“จริงดิ ทำไมคิดงั้นล่ะ”
“เพราะประเทศเราไม่ได้เสนอราคาเลยไงล่ะ”
“อืม ไม่เหมือนกับการประชุมนั่นที่จัดขึ้นที่JDAสักนิด ไม่เสนอราคาเลยสักครั้งก็น่าสงสัยจริงๆ ทำได้ดีเลยนี่ ญี่ปุ่น”
ด้วยเหตุนี้ การประมูลเเห่งศตวรรษก็สิ้นสุดลง อย่างน้อยก็ฉากหน้าล่ะนะ
“เราจะทำยังไงกับเงินพวกนี้ดีล่ะมิโยชิ อาจจะไม่ใช่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เเต่ก็เป็นเงินสดที่เยอะเกินไปสำหรับปาร์ตี้นะ”
เเถมผมก็เป็นห่วงความปลอดภัยของมิโยชิด้วย เพราะเธอเป็นคนออกหน้าให้ปาร์ตี้ของเรา ผมน่าจะคิดถึงเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้นะ
ตอนนี้มีเเค่ WDA ID ของเธอที่ประกาศให้คนอื่นรู้ เเต่ดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา จะต้องมีข้อมุลหลุดออกไปเเล้วเเน่ๆ เดี๋ยวน่าจะมีคนเเปลกๆเข้ามาตามรังควาน
“เราน่าจะไปสร้างโรงงานสำหรับสร้างเครื่องวัดสเตตัสนะ”
“พอเครื่องนั่นออกวางขายไปทั่ว พอถึงจุดหนึ่งความต้องการก็จะถึงจุดอิ่มตัวนะ หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องมาติดเเหง่กอยู่กับโรงงานที่ต้องใช้เงินจำนวนมากเเละเอาไปทำอะไรไม่ได้”
“อืม เเต่ยังไงเราก็ต้องมีพลังในระดับโรงงานนะ”
“อันนี้ก็จริง”
“หลังจากนั้นเราอาจจะไปบริจาคหรือสร้างมูลนิธิ”
“มูลนิธิงั้นหรอ?”
“สำหรับนักสำรวจก็น่าจะสมเหตุสมผลดีนะใช่ไหม”
“ก็นะ เรามีตั้ง 4 เเสนล้านนี่นา”
“นักธุรกิจที่ซื้อสินค้ามาเพื่อขายต่อมักไม่สามารถนับรายได้ทั้งหมดเป็นกำไร เนื่องจากพวกเขามีต้นทุนจากการซื้อสินค้า และหากซื้อผ่านการประมูล อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมผู้ซื้อสูงสุดถึง 10% ของราคาสินค้า”
เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย ที่ผ่านมาผมคิดเรื่องนี้จากมุมมองของเราเอง เเต่ถ้าในสถานการณ์ปกติ ปาร์ตี้ของพวกเราจะได้เงินเเค่สิบเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่กำไรมหาศาล ทำไมผมไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนนะ
“เเค่สิบเปอร์เซ็นก็เป็นเงินที่เยอะเเล้วนะ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปคิดก็เเล้วกัน”
“โอเค” มิโยชิตอบ
หลังจากนั้นสักพักโทรศัพท์ส่วนตัวของเธอก็ดังขึ้น เธอดูชื่อคนโทรเเละพูดว่า “อ๋อ นารุเสะนี่เอง”
ตอนนี้เป็นเวลาสุดสัปดาห์ตอนกลางคืน เธอน่าจะไปตรวจสอบรายชื่อคนเข้าออกดันเจี้ยนมา จริงจังกับงานน่าดูเลยนะ
“มิโยชิใช่ไหมคะ” นารุเสะพูดมาจากปลายสาย “นี่นารุเสะนะคะ สวัสดีตอนเย็น”
“อื้อ สวัสดีตอนเย็น มีอะไรหรอ”
“คือ เรื่องนั้น…”
จากที่นารุเสะบอกมา ราคาปิดประมูลนั้นสูงมากจน JDAอยากจะส่งคนมาที่นี่จนกว่าจะถึงเวลาส่งมอบออร์บ เเน่นอนว่าถ้ามีคนมาเฝ้ายามอยู่ข้างนอกบ้านก็น่าจะดี ผมก็ไม่ได้ไม่เชื่อใจJDAหรอกนะ เเต่ผมปฏิเสธที่จะให้คนคุ้มกันเข้ามาภายในบ้าน ยังไงเราก็มีสุนัขเฝ้าออฟฟิศสี่ตัวซ่อนอยู่ในเงาอยู่เเล้ว ทำให้ที่นี่อันตรายไม่เบาเลยทีเดียว
พวกอาเธอร์นั้นเเตกต่างจากเฮลฮาวด์ทั่วไป พวกมันเริ่มเวทมนตร์ทำนู่นทำนี่ ไม่ใช่เเค่เอาไว้ซ่อนเงาเฉยๆ
ยกตัวอย่างก็คือ…
“อาเธอร์ส ฟังอยู่รึเปล่า” มิโยชิถาม “หน้าที่ของพวกนายคือคอยปกป้องฉันเเละจับกุมผู้บุกรุกนะ”
เหล่าเฮลฮาวด์เห่าโดยพร้อมเพรียงกัน
ตั้งเเต่ตอนนั้น อาเธอร์สก็ใช้เวทมนตร์สามเเบบ “หลุมเงา”ที่จะเปิดรูใต้เท้าของพวกมันเเละขังเหยื่อเอาไว้ในคุกแห่งความมืด เเละก็มี “ตรึงเงา ที่ใช้เชือกแห่งความมืดมัดเหยื่อ ทำให้เกิดสถานะหลับเเละชา อย่างสุดท้ายคือเหล่าเฮลฮาวด์นั้นเริ่มที่จะเทเลพอร์ตกันผ่านเงา
เหมือนว่ามิโยนชิเป็นคนตั้งชื่อเวทมนตร์พวกนั้น
“ตอนนี้ความปลอดภัยของพวกเราไม่มีที่ติเลยล่ะ“ เธอดีใจ เเต่ทว่าผมกลัวว่าจะมีพนักงานขายตามบ้านธรรมดาหรือพวกคนชวนเข้าลัทธิตกเป็นเหยื่อพวกอาเธอร์สน่ะสิ”
เเถมพวกอาเธอร์สก็ชอบหินเวทย์ด้วย พวกมันขอหินเวทย์สเกลเลตันที่มิโยชิกำลังวิจัยอยู่เเละเอามากินกันอย่างสนุกสนาน อาหารของมนุษย์อาจจะเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับพวกมัน เเต่ว่าหินเวทย์ต่างหากที่เป็นเเหล่งสารอาหารสำคัญ เรื่องอาหารที่อาจจะทำให้เราลำบาก เพราะถึงเราอยากจะซื้อ เเต่ก็มีร้านที่ขายน้อยมาก เเถมผมก็ไม่อยากจะไปหาหินเวทย์ทุกๆวันด้วย หวังว่าพวกมันจะคิดว่าหินเวทย์เป็นเเค่รางวัลหรือของว่างนะ
โยโยกิ-ฮาจิมัน, ลา ฟอนเทน, ชั้น 4
อพาร์ตเมนต์ห้าชั้นที่ชื่อว่า ลา ฟอนเทน ตั้งอยู่ติดกับออฟฟิศของดี-พาวเวอร์ส ที่นั่นมีชายฉกรรจ์สามคนรวมตัวกันอยู่ในห้องห้องหนึ่งบนชั้นสี่
อดัมเป็นชายที่มีผมสีบลอนด์ขุ่นๆ กำลังติดตั้งอุปกรณ์เฝ้าระวังอยู่ที่ระเบียงพูดขึ้น “พวกเขากลับมาเเล้ว”
เคอร์ทิส เป็นหัวหน้ากลุ่ม ใช้กล้องส่องทางไกลมองชายเเละหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินจากรั้วไปยังส่วนออฟฟิศ “เราเพิ่งจะมาถึงห้อง เเต่ก็ดูเหมือนจะทันเวลานะ”
อดัม บีทส์เเละเคอร์ทิสได้รับคำสั่งจากชาติตัวเองให้มาสอดเเนมบ้านที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี้ อีกสองคนที่ชื่อว่าเดนเวอร์เเละเอคเล่นั้นมาญี่ปุ่นด้วยกันกับพวกเขา เเต่ว่าตอนนี้ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ที่นี่
เมื่อสองเดือนที่เเล้ว มีคนจากรัฐบาลระดับสูงชื่อว่าโทมัสได้ตามชายอินเดียคนหนึ่งมาที่ญี่ปุ่น เหมือนว่าดี-พาวเวอร์สทำเขาเสียหน้าไปมากตอนนั้น เเต่ทว่าการพยายามจะซื้ออพาร์ตเมนต์ทั้งตึกเเละสร้างฐานเพื่อจะกู้หน้าคืนนี่มันประหลาดชะมัด
เเถมเคอร์ทิสนั้นถูกส่งมาพร้อมกับทีมเล็กๆ “ฉันอยากจะให้พวกเธอรอเเละคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเบื้องบนเหมือนจะบอกมาเเบบนี้ ถ้าภารกิจนี้เป็นภารกิจทำลายล้างเต็มกำลัง จะต้องมีการส่งคนมามากกว่านี้มาก พอคิดดูเเล้วคำสั่งนี้มันก็ไม่ค่อยปะติดปะต่อกันเท่าไร”
หลังจากติดตั้งอุกกรณ์เสร็จเรียบร้อยเเล้ว อดัมก็กลับเข้าไปในห้องเเละพูดขึ้น “เเล้วอะไรอยู่ในบ้านหลังนั้นกันเเน่”
“เอาจริงดิอดัม นายหลับตอนอธิบายภารกิจรึไง” บีทส์พูด
บีทส์ที่เพิ่งจะทำตรวจสอบอพาร์ตเมนต์เสร็จ ปรากฏตัวขึ้นจากห้องที่อยู่ใกล้ทางเข้า เขามัดผมสีน้ำตาลอ่อนที่เกือบจะเป็นสีเเดงเอาไว้ พอเขาล้ออดัมเสร็จ ก็หันมาหาเคอร์ทิสเเละรายงาน
“ไม่มีเครื่องดักฟังในห้องนี้ เราปลอดภัย”
เคอร์ทิสพยักหน้า
“ฉันรู้อยู่ว่าบ้านนั่นเป็นของปาร์ตี้ที่เป็นคนเริ่มการประมูล” อดัมตอบพร้อมกับเริ่มใช้งานเครื่องดักฟังด้วยเลเซอร์ระยะไกลที่เขาเพิ่งติดตั้งเสร็จ “เเต่ว่าเอาจริงๆเเล้วเราควรจะตรวจสอบอะไรกันล่ะ”
ตอนอธิบายภารกิจนั้นค่อนข้างที่จะคลุมเครือในเรื่องเป้าหมาย
เพราะฉะนั้นในทีมของพวกเขาจึงมีสามความคิดเห็น อย่างเเรกคือพยายามหาทางรู้ให้ได้ว่าดีพาวเวอร์สสามารถจัดการประมูลสกิลออร์บได้อย่างไร สองคือพยายามเปิดโปงอะไรก็ตามที่ผิดกฏหมาย สุดท้ายคือสืบหาอะไรก็ได้ที่สามารถนำมาเเบล็คเมลล์ดีพาวเวอร์สได้ เเต่เพราะเป้าหมายของการตรวจสอบนั้นไม่ชัดเจน การที่จะกำหนดสิ่งที่จะทำต่อไปก็สามารถทำได้ยาก ไม่ว่าทางเบื้องบนจะสั่งอย่างไร
“พวกเบื้องบนก็น่าจะไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะต้องมองหาอะไร เลยทำให้พวกเขาสั่งให้พวกเรามาหาข้อมูล เพื่อที่จะใช้กำหนดเป้าหมายถัดไป” เคอร์ทิสได้ตรวจสอบเเผนที่โดยละเอียดของพื้นที่บริเวณนี้เเละพยายามหาข้อมูลเพื่อเช่าอพาร์ตเมนต์นี้ หลังจากนั้นเขาก็ออกคำสั่งที่เจาะจงมากขึ้น
“ตอนนี้เป้าหมายของพวกเราคือพยายามหาว่าดี-พาวเวอร์สจะทำอะไรบ้างในวันที่ 1 ธันวาคมนี้”
“เราตามพวกเขาไปในดันเจี้ยนไม่ได้นะ” อดัมพูด
ตอนที่เดนเวอร์กับเอคเล่ไปกับโทมัสเพื่อไล่ตามดีพาวเวอร์สไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน ดีพาวเวอร์สทำเหมือนพวกเขาเป็นคนโง่เลย
“ถ้าลงดันเจี้ยนก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยพิชิตดันเจี้ยน” เคอร์ทิสตอบ “บนพื้นโลกเราเรามีเป้าหมายคือรวบรวมข้อมูล”
“ฉันไม่อยากถูกบังคับให้ไปทำภารกิจทำลายล้างหรอกนะ” อดัมบ่น
ถึงทุกคนจะเห็นด้วย เเต่คำสั่งก็คือคำสั่ง เคอร์ทิสเเค่พยักหน้าเเละกลับมาตรวจสอบข้อมูล
บ้านของดีพาวเวอร์สนั้นมีบ้านของประชาชนขนาบอยู่ทั้งสองข้าง อีกทั้งพวกเขายังจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยด้วย ถ้าจะลอบเข้าไปก็เป็นไปได้เเต่ว่าถ้าเกิดมีอะไรผิดพลากขึ้นมาก็อาจจะส่งผลเสียกับพวกเขาทีหลัง เเละด้านหน้าของบ้านของดีพาวเวอร์สเป็นถนน อพาร์ตเมนต์หลังนี้อยู่ติดกับหลังบ้านของดีพาวเวอร์ส เป็นที่ๆหมาะมากสำหรับการสอดเเนม เเละที่เเปลกก็คือ มีคนเช่าใหม่เจ็ดรายย้ายเข้ามาในตึกนี้เมื่อเร็วๆมานี้ ทั้งๆที่ตึกนี้มีเพียงเเค่สามสิบห้องเท่านั้น
“พนันได้เลยว่าตึกนี้ต้องเต็มไปด้วยสปายเเน่ๆ” เคอร์ทิสพูด
“เราควรไปกำจัดพวกเขาไหม” บีทส์ถาม
เหมือนจะมีคนนึงหัวร้อน
“ไม่ ญี่ปุ่นอาจจะเป็นสวรรค์สำหรับสปาย เเต่กลับกัน ที่นี่เด่นในเรื่องการสืบสวนอาชญากรรม ถ้ามีคนเริ่มก่อไฟ เราสามารถไปดับมันได้ เเต่การจะเป็นคนจุดไฟเองคงจะไม่ดี” เคอร์ทิสยักไหล่ “สปายกลุ่มอื่นๆก็น่าจะคิดเหมือนกัน”
สองประเทศที่ไม่มีการขัดเเย่งกันมาก่อนพยายามที่จะทำลายกันเป็นเรื่องไร้สาระ เเต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องหาว่าสปายพวกนั้นมาจากที่ไหนบ้าง
ระหว่างที่คิดเรื่องนี้ เคอร์สทิสก็มองลงไปที่บ้านของดีพาวเวอร์ส ตัวอาคารตั้งอยู่ตรงกลางพื้นที่ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าจะแอบเข้าไปในบ้านจะต้องดูเด่นมากเเน่ๆเพราะพื้นที่ระหว่างตัวบ้านกับรั้วนั้นห่างเท่ากันหมดทั้งสี่ทิศ สปายกลุ่มอื่นๆที่จับตาดูอยู่ต้องสังเกตเห็นได้เเน่ๆ
ถ้าทีมของเคอร์ทิสไม่ซ่อนตัววาสมากจากประเทศอะไรไว้ สปายกลุ่มอื่นๆอาจจะมาเเบล็คเมลพวกเขาทีหลังได้ เเต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆเเล้วไม่ทำอะไรเลยได้เช่นกัน
พื้นที่ขนาดเจ็ดสิบฟีททั้งสี่ทิศนั้นจะกลายเป็นสนามบอร์ดเกมของพวกเรา สปายทั้งเจ็ดทีมอาจจะมาเจอกันเองในพื้นที่นั่นก็ได้
เคอร์ทิสปิดเเฟ้มที่เขากำลังดูอยู่เเละพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “งานนี้น่ารำคาญกว่าที่คิดไว้เยอะชะมัด”
ตอนเเรกทีมคิดว่างานนี้จะเป็นงานง่ายๆ เพราะว่าพวกเขาเเค่ต้องมาจับตาดูบ้านธรรมดาๆหลังนึงจากที่ไกลๆ เเต่ทุกครั้งที่ทีมของเคอร์ทิสเปิดใช้อุปกรณ์ต่างๆ พวกเขาก็รู้ถึงความจจริง บ้านหลังนี้มีอะไรมากกว่าที่พวกเขาคิดไว้เยอะเลย
อดัมที่สวมหูฟังครอบหูขนาดใหญ่ส่ายหัวด้วยท่าทางยอมเเพ้ “เลเซอร์สอดเเนมของพวกเราไม่ได้ผล”
ปกติเเล้วหน้าต่างของบ้านทั่วๆไปไม่ได้ปล่อยคลื่นระกวนการดักฟังออกมา นี่เหมือนกับดีพาวเวอร์สกำลังตะโกนว่า’พวกเรากำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ในนี้นะ’ เเต่ก็นั่นเเหละ เรื่องนั้นทีมของเคอร์ทิสรู้อยู่เเล้ว
บีทสส์ถอดหูฟังเเบบเดียวกันออก “ไมโครโฟนรวมเสียงก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน”
ดูจากภายนอกเเล้วมันก็เหมือนบ้านทั่วๆไป
“เข้าไปทางสายโทรศัพท์ได้ไหม” เคอร์ทิสถาม
อดัมส่ายศีรษะ เหมือนเขาจะลองทุกทางเเล้ว
“สุดท้ายเเล้วพวกเราคงต้องลอบเข้าไปวางเครื่องดักฟังเอาเอง” เคอร์ทิสพูด
เพื่อให้การรวบรวมข้อมูลเป็นไปได้ราบรื่น พวกเขาไม่มีทางเลือก
ไม่ว่าจะใช้ไมค์ความไวสูงหรือเครื่องดักฟัง พวกเขาต้องเข้าไปในบ้านเพื่อติดตั้ง เเต่ถ้าทำเเบบนั้น ทีมอื่นๆจะต้องเห็นพวกเขาเเน่
“ตอนนี้พวกเรามืดเเปดด้านเเล้วล่ะ ทุกอย่างเป็นเพราะไม่มีตึกอื่นที่จะสามารถไปจับตาดูพวกเขาได้อีกเเล้ว” เคอร์ทิสพูด
“พวกเราระบุพัดลมระบายอากาศ คอมเพรสเซอร์เเอร์ เเล้วก็ช่องรับหนังสือพิมพ์ เเต่ว่า….” อดัมพูด
ทั้งหมดนั่นอยู่ในจุดที่ไม่ค่อยดีนัก เหมือนกับเป็นกับดัก
“จะมืดเเล้วนะ เราจะลอบเข้าไปไหม” อดัมพูด
หลังจากคิดอยู่สักพัก เคอร์ทิสก็พยักหน้าเหมือนจะรวบรวมความกล้าได้
โยโยกิ-ฮาจิมัน ออฟฟิศ
มิโยชิวางสายที่คุยกับนารุเสะในเวลาไม่นาน
“เธอว่าไงบ้าง”
“พวกเขาจะไม่ส่งคนมาเเล้ว เเต่นารุเสะกำลังมาที่นี่”
“เดี่ยวนะ ตอนนี้เลยหรอ” ผมมองไปที่นาฬิกาของออฟฟิศ ตอนนี้เลยหกโมงเย็นไปเเล้ว “เธอจริงจังกับงานมากเลยนะเนี่ย”
“จากมุมมองของ JDA งานนี้มีมูลค่าตั้งสี่หมื่นล้านเยนเลยนี่นา”
มาคิดดู ค่าคอมมิชชั่นของJDAคือ 10% นี่นา นี่มันเยอะเกินไปหน่อยนะถ้าถามผม ระบบเเบบนี้นี่มันห่วยเเตกชะมัด
“เเต่ว่า นารุเสะดูไม่เหมือนเป็นคนที่จะคุยงานตอนกลางคืนในวันหยุดเลยนะ”
“บางทีฉันก็ไม่รู้ว่ารุ่นพี่ช่างสังเกตหรือหัวทึบกันเเน่ เธอน่าจะเป็นห่วงเเหละ” มิโยชิหัวเราะ
ผมก้คิดเเบบนั้นเหมือนกัน
“เเต่ว่าก็พอดีเลย”
“อะไรล่ะ”
“จะได้ให้เธอดูจดหมายเรดริเวอร์ไง”
“อ๋อ ใช่”
ถ้าเธอมาจะได้ถามเธอเรื่องนี้
***
“ตัวหนังสือนี่ถูกเขียนด้วยภาษาฮิบรูดั้งเดิมผสมกับอราเมอิก ตัวอักษรน่าจะเป็นฮิบรูโบราณหรือไม่ก็ฟินิเชีย” นารุเสะอธิบาย
เธอมาถึงออฟฟิศเเทบจะทันที หลังจากที่ดูรูปที่เราถ่ายมาจากจารึกเรดริเวอร์ เธอก็ติดต่อเพื่อนจากสาขาเทววิทยาของมหาวิทยาลัยหญิงโดชิฉะ
ในญี่ปุ่นนั้นมีสาขาทางวิชาการเด่นๆที่ศึกษาเกี่ยวกับภาษาในพระคัมภีร์ไบเบิลเหมือนกัน พวกเขาสอนภาษาฮิบรูกับอราเมอิกด้วย
คนที่นารุเสะติดต่อไปนั้นตื่นเต้นมากที่ได้รับการร้องขอจากJDA พวกเขาส่งคำแปลกลับมาให้ภายในเวลาไม่นาน เเต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็เกิน 5 ทุ่มไปเเล้ว
“นี่มันอะไรกันเนี่ย ยุ่งยากสุดๆไปเลย” มิโยชิพูด
“ตัวอักษรฮิบรูมีต้นกำเนิดมาจากตัวอักษรอราเมอิก ซึ่งยืมมาจากตัวอักษรฟินิเชียอีกที” นารุเสะพูด “ด้วยเหตุนั้นตัวอักษรอราเมอิกนั้นเกือบจะเหมือนกับฟินิเชียเลย เเถมตัวอักษีฮิบรูโบราณก็มีมาก่อนระบบการเขียนของภาษาปัจจุบัน ทำให้ตัวอักษรฮิบรูนั้นคล้ายคลึงกับฟินิเชีย”
“อ๋อ เลยใช้ตัวอักษรทั้งสามเเบบเขียนด้วยกันได้สินะ” ผมพูด
“ใช่ค่ะ” นารุเสะตอบพร้อมกับพยักหน้า “จากที่ฉันเข้าใจ ฮิบรูดั้งเดิมนั้นมีคำศัพท์ไม่มากนัก ทำให้ประโยคนั้นมีหลายภาษาผสมกัน”
“เเล้วทำไมถึงต้องเขียนด้วยฮิบรูโบราณด้วยล่ะ” ผมบ่น
“อาจจะเพราะเป็นภาษาของพระเจ้าก็ได้” มิโยชิตอบอย่างสบายๆ
ผมอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “คนที่สร้างดันเจี้ยนขึ้นมานี่จะเว่อร์เกินไปเเล้ว ตอนเเรกพระเจ้าอยู่บนสวรรค์ หลังจากนั้นก็มาอยู่ในอินเตอร์เน็ต ตอนนี้มาอยู่ในดันเจี้ยนงั้นเรอะ”
ระหว่างที่พูดผมก็ชี้ขึ้นฟ้า ชี้ไปที่คอมพิวเตอร์ เเละก็ชี้ลงที่พื้น
“คนแปลเจอสิ่งที่น่าสนใจเพิ่มจากข้อความพวกนี้ด้วย” นารุเสะพูด
“อะไรล่ะ”
“จากที่เขาบอกมา ข้อความนี่ให้ความรู้สึกเหมือนกับใช้ปัญญาประดิษฐ์คู่กับวรรณกรรมตะวันออกกลางโบราณเป็นครั้งเเรก เหมือนมันจะนึกว่าฮิบรูโบราณกับอราเมอิกเป็นภาษาเดียวกัน”
เอไองั้นหรอ ถ้าดันเจี้ยนสามารถคิดเองได้ ก็น่าจะเป็นอะไรทำนองนี้ล่ะมั้ง
“เเล้วบทเเปลจริงๆเป็นยังไงล่ะ” ผมถาม
“ข้อความบนเเท่นนั้นค่อนข้างกำกวมเเละอ้อมค้อม” นารุเสะตอบ “เเต่โดยสรุปเเล้ว มันบอกว่า ‘นักพเนจร จงดูถึงปัญญาของคัมภีร์ที่เเท้จริง’”
“เเล้วที่เขียนบนรั้วประตูล่ะ”
“อันนั้นเขียนไว้ว่าคฤหาสน์พเนจรค่ะ”
คัมภีร์ที่เเท้จริงน่าจะจะหมายถึง หนังสือนักพเนจรตัวต้นฉบับ เเต่ทว่าการ ดู ปัญญานั้นจะต้องเข้าใจภาษาต่างโลกนี่สิ
หน้านั่นเขียนอะไรอยู่กันเเน่นะ
“เเล้ว…คฤหาสน์ที่ว่าคืออะไรกันเเน่” นารุเสะถาม “ไม่น่าจะอยู่ในโยโยกิดันเจี้ยนนะ เท่าที่ฉันรู้ ยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
มิโยชิกับผมมองหน้ากัน เเละเริ่มเล่าให้นารุเสะฟัง
“สรุปก้คือ ถ้าทำตามเงื่อนไขจำนวนหนึ่ง คฤหาสน์พเนจรจะปรากฏขึ้นที่ชั้นนั้นๆหรอคะ” นารุเสะถาม “เเละก็จะอยู่จนกว่าจะเปลี่ยนวันหรอ”
“เป็นการคาดเดาของเราน่ะนะ”
“เเล้วคฤหาสน์นั่น-”
“ดูเอาเลยจะเร็วกว่านะ” มิโยชิพูดเเทรก
ผมเดินไปปิดผ้าผ่านที่หน้าต่างเเละมิโยชิก็เอาการ์ดความจำที่มีวีดีโอที่เธอตัดต่อเอาไว้เเล้วออกมาเชื่อมต่อกับทีวีเจ็บสิบนิ้วในบริเวณรับเเขก
“อย่าบอกนะว่า…”
“วีดีโอนี้เริ่มขึ้นหลังจากเราเข้าไปในคฤหาสน์เเล้ว เราอัดมาจากกล้องที่ติดไว้ที่หมวกน่ะ” มิโยชิพูด
ต้องขอบคุณเธอที่ลบเสียงออกจากวีดีโอ ผมไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเสียงผมตอนสติเเตก ก็มันน่าอายนี่นา
***
หลังจากที่ตะวันตกดินได้ไม่นาน ชายสองคนที่ใส่ชุดดำล้วนอย่างไม่เป็นที่สังเกตกำลังยืนอยู่ในเงาของอพาร์ตเมนต์ ทั้งสองคนนอนไม่ขยับอยู่บนพื้น ถ้าคนทั่วไปมาเห็นเข้าคงคิดว่าพวกเขาหมดสติหรือไม่ก็ตายไปเเล้ว
“นี่คืออัลฟ่า” อดัมกับวิทยุสื่อสาร “ตัววีเซิลเหมือนจะเหนื่อยเเล้ว เปลี่ยน”
“นี่คือฐาน” เคอร์ทิสตอบจากอีกฝั่งนึงของวิทยุ “ทราบเเล้ว การปิคนิคเป็นไปตามเเผน เปลี่ยน”
“ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้ใช่ไหม” บีทส์ถาม
“การฆ่าคนในญี่ปุ่นจะทำให้เราผิดแผน” อดัมตอบ “มันจะเกิดปัญหามากกว่าประโยชน์น่ะสิ ทำให้พวกเขาหลับก็พอเเล้ว”
“เข้าใจเเล้ว เอาล่ะ ถึงเวลาปิคนิคเเล้ว”
“ฐาน” อดัมพูดใส่วิทยุอีกครั้ง “นี่คืออัลฟ่า กำลังจะเริ่มปฏิบัติการเเล้ว เปลี่ยน”
“นี่คือฐาน ได้ยินชัดเจน อัลฟ่า จบการสื่อสาร”
หลังจากคุยเสร็จเเล้ว อดัมปีนข้ามรั้วในสวนโดยไม่ส่งเสียง ที่บริเวณรั่วนั้นมีต้นไม้อยู่ ทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกเห็น
อดัมที่ใส่เเว่นมองกลางคืนนั้นมองเห็นสวนอยู่ในสายตา เหมือนว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ เเต่ทว่าถ้าเขาพุ่งออกไปในที่เเจ้ง ทีมอื่นๆที่จับตามองบ้านหลังนี้อยู่ต้องเห็นเขาเเน่ เเต่ว่าถึงเห็น ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขามาจากไหน ทำให้ไม่น่าจะขัดขวางงานของกันเเละกัน
เเต่เขาไม่อยากจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เขาเลยหลบอยู่ตามต้นไม้ อ้อมด้านข้างของบ้านไป เป้าหมายเเรกของเขาก็คือกำเเพงห้องนั่งเล่น ถัดจากนั้นก็เป็นพัดลมระบายอากาศด้านข้าง หลังจากที่ติดตั้งอุปกรณ์ งานของเขาก็จะเสร็จสิ้น
ระหว่างที่อดัมรอโอกาสอยู่ ก็มีใครบางคนเข้ามาใกล้หน้าต่างห้องนั่งเล่น
“เอาล่ะ ถึงคิวฉันเเล้ว” เขาพูด
พอหน้าต่างถูกปิด เเสงที่ส่องออมาจากบ้านก็เเทบจะหายไปทั้งหมด อดัมใช้โอกาสนี้ส่งสัญญาณมือเพื่อเริ่มนับถอยหลัง เพื่อที่จะส่งสัญญาณให้บีทส์ที่อยู่ข้างหลังเขาเริ่มวื่ง
พอนับถึงศูนย์ อดัมย่อตัวลงเเละพุ่งออกไปเเละใช้ทางที่สั้นที่สุดเพื่อไปให้ถึงกำเเพง
ทันใดนั้นเอง ทุกอย่างก็มืดไปหมด
จากทางด้านหลัง บีทส์มองทุกอย่างที่เกิดขึ้นผ่านเเว่นมองกลางคืน เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขายืนอ้าปากค้างอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็ติดต่อกลับฐานทั้งที่ยังสับสนอยู่
“ฐ-ฐาน นี่คือบราโว อัลฟ่า…อัลฟ่าหายไป”
“นี่คือฐาน ที่ว่าหายไปนี่หมายความว่ายังไง” เเต่ทว่าไม่มีเสียงตอบรับจากบีทส์
ภายในอพาร์ตเมนต์ เคอร์ทิสพยายามจะเรียกเขาด้วยความตกใจ “ที่คือฐาน อัลฟ่า เฮ้ อัลฟ่า ตอบด้วย เปลี่ยน!”
มีเเค่ความเงียบเท่านั้นที่ออกมาจากวิทยุสื่อสาร