ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 18 เล่ม 1 D-Powers, เริ่มทำงานได้ (8)
- Home
- All Mangas
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 18 เล่ม 1 D-Powers, เริ่มทำงานได้ (8)
12 พฤษจิกายน 2018 (วันจันทร์)
โยโยกิ-ฮาจิมัน
ในวันนี้ รอบความกดอากาศต่ำสามลูกได้ล้อมรอบหมู่เกาะญี่ปุ่น ทำให้เกิดสภาพอากาศเลวร้ายทั่วประเทศ ในวันที่ฟ้าครึ้มอากาศเย็นทั่วโตเกียวเเบบนี้ พวกเรากำลังย้ายของไปออฟฟิศใหม่กันเเต่เช้า
พอเปิดประตูจากด้านนอกเข้ามาที่ห้องของผมบนชั้นสอง ผมก็ต้องอุทานออกมา “เเม่เจ้า นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“เค้าเรียกว่าเเสกนดิเนเวียนสไตล์” มิโยชิตอบพลางมองไปรอบๆ
ก็จริงที่เราบอกกับดีไซน์เนอร์ให้ออกเเบบเรียบๆ พวกเขาทำได้จริงๆ ทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบเเละสวยงาม
“เเต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ…”
ไฟเเขวนเพดานเหนือโต๊ะที่ดูเหมือนผีเสื้อหนอนปลอกนั่นสิ ผมอดไม่ได้ที่จะตกใจ ผมจะผ่อนคลายกับที่ๆดูไฮโซเเบบนี้ได้มั้ยเนี่ย
“เเต่ว่าบ้านมันเป็นบ้านก็เพราะตัวเราเองล่ะนะ เดี๋ยวก็คงชินไปเอง”
ผมสรุปความรู้สึกของผมเป็นคำพูดไม่กี่คำ จากนั้นก็ไปจัดของที่มีอยู่อย่างน้อยนิด มีตู้หนังสือที่กินพื้นที่ด้านนึงของห้องนั่งเล่น ตู้นั้นเต็มไปด้วยหนังสือเทคนิคที่หนาเเละหนัก ดูเท่ชะมัด เเต่ในสมัยนี้ น่าเสียดายที่ผมไม่ได้มีหนังสือเทคนิดในรูปแบบกระดาษมากนัก
เพราะของผมมีนิดเดียว การจัดบ้านก็เลยจบลงในเวลา 30 นาที ผมออกไปที่ทางเข้าเเละลงไปยังบริเวณออฟฟิศ เเต่ที่จริงผมสามารถลงไปที่ชั้นหนึ่งจากบันไดข้างในตัวตึกได้เหมือนกัน โดยมันจะอยู่ที่โถงทางเดินระหว่างตึกของผมกับมิโยชิ
“ชั้นหนึ่งนี่ดูเหมือนห้องงานอดิเรกของเธอเลยนะ”
“ดีใช่มั้ยล่ะ” มิโยชิหัวเราะ
มีตู้เก็บไวน์ยูโรเคฟ รีวีลเลชั่นสามตู้ตั้งเรียงกันอยู่ในห้องทานข้าว เเต่น่าจะยังไม่มีไวน์…
เดี๋ยวก่อนนะ มีไวน์ใส่เเล้วเรอะ
“ฉันคิดว่าเธอจะเอาตู้พวกนี้ไปไว้ที่ห้องกินข้าวของตึกเธอซะอีก”
“มีผู้หญิงคนไหนที่จะเก็บไวน์มากขนาดนี้ไว้ในห้องตัวเองกันเล่า”
“เเล้วเธอจะมานั่งดื่มในห้องกินข้าวออฟฟิศงั้นหรอ” ผมอยากจะถามออกไปอยู่หรอก เเต่การเก็บเรื่องพวกนี้ไว้ในใจถือเป็นกุญเเจสำคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นนี่นะ ผมเรียนรู้มาโดยประสบการณ์จริงเเล้วล่ะ
พอมองไปที่ห้องนั่งเล่น ส่วนนั้นก็ถูกจัดให้เป็นเหมือนออฟฟิศเรียบร้อยเเล้ว มีโต๊ะรูปตัวเเอลตัวใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลังห้องพร้อมกับจอมอนิเตอร์ขนาด 30 นิ้วสามตัว มีโน๊ตเขียนด้วยมือแปะกระจัดกระจายเต็มไปหมด
โต๊ะของผมเองก็ถูกติดตั้งเรียบร้อยเเล้วเหมือนกัน ผมลองนั่งดู เก้าอี้นั่งสบายชะมัด
“รุ่นพี่จัดของเสร็จเเล้วหรอ”
“ใช่ ฉันมีเเค่หนังสือกับเสื้อผ้านี่”
“หา เเล้วพวกเครื่องครัวกับของจุกจิกล่ะ”
“ฉันทิ้งเอาไว้ที่ห้องเก่าน่ะ”
“ห้องเก่าหรอ รุ่นพี่จะทำยังไงกับที่นั่นกัน”
“ฉันขี้เกียจก็เลยกะจะทิ้งมันไว้เเบบนั้นเเหละ”
“โอ้โห คนรวยเค้าทำกันอย่างนี้สินะ”
ก่อนที่จะขายออร์บ ผมพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะย้ายอพาร์ตเมนต์ ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน ตึกนั่นมันสภาพเเย่ก็จริง เเต่ค่าเช่าก็ยังเเพงมาก ถึงจะถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับตึกอื่นๆก็เถอะ
“มาฟังนี่ก่อนสิ มิโยชิ ฉันเป็นอวตารเเห่งความสงบจากภายใน”
“รุ่นพี่เเค่ขี้เกียจเเหละ”
เถียงไม่ออกเลย
“งั้นเธอล่ะ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“ฉันย้ายของเรียบร้อยเเล้วนะ”
“หา ฉันสาบานได้ว่าไม่เห็นเธอย้ายอะไรเลย”
“ฉันจ้างบริการย้ายของน่ะสิ ตอนที่คุณกำลังพักผ่อนอยู่เฉยๆ ข้าวของก็ถูกจัดเก็บเเละส่งอย่างลึกลับ เเละภายในพริบตา ของก็ถูกจัดออกมาอยู่ในสภาพเดิม บริการย้ายบ้านหรือบริการคนกลาง พวกนี้เหมือนเป็นเวทมนตร์ของโลกนี้จริงๆ”
“ว้าว อะไรที่มันสะดวกขนาดนั้นมีอยู่จริงๆรึเนี่ย”
“โลกนี้มันง่ายชะมัดสำหรับคนรวยอย่างพวกเราๆ ฉันเริ่มมองเห็นความหวังเเล้วล่ะ”
“ปั๊ดธ่อเว๊ย งั้นฉันจะพยายามย้ายของออกทีละน้อยๆ พอย้ายหมดก็จะคืนห้องเเล้วกัน”
“ฉันคิดว่ารุ่นพี่ต้องจ่ายค่าห้องนั้นไปตลอดนั่นเเหละ”
“เงียบน่า”
ระหว่างที่เราคุยกันอยู่นั้น เสียงออดก็ดังขึ้น
“นารุเสะล่ะ” มิโยชิพูดพลางมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ เหมือนว่าเธอจะเชื่อมต่อหลายๆอย่างในบ้านเข้ากับคอมพิวเตอร์
พอเปิดประตูไป ผมก็เจอนารุเสะยืนถือเเจกันดอกกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ดูท่าทางจะหนัก ปกติเเล้วของพวกนี้เขาให้คนอื่นเอามาส่งให้ไม่ใช่หรอ
“ยินดีด้วยกับการย้ายบ้านนะคะ นี่เป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่ค่ะ” นารุเสะทักทาย
เอ่ออ พวกกล้วยไม้นี่มันดูเเลยากมากเลยไม่ใช่รึไง
ผมคิดอะไรหยาบคายในระหว่างที่รับเเจกันมาเเละพูดว่า “มันน่ารักมากเลย ขอบคุณนะครับ”
***
“เอาล่ะ พวกคุณย้ายบ้านกันเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ฉันเลยมีอะไรอยากจะขอในฐานะของผู้ดูเเลส่วนตัว”
หลังจากที่ได้ทักทายกันตามมารยาทเเละกิน ‘โซบะย้ายบ้าน’ ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่พร้อมดื่มชาในมือ นารุเสะก็เปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องงาน
พอเห็นว่านารุเสะค่อนข้างเกร็ง มิโยชิจึงตอบกลับตรงๆ “ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรที่สามารถช่วยได้ พวกเราก็จะช่วย”
“ความจริงก็คือ…ฉันอยากให้ช่วยตามหาออร์บชนิดหนึ่ง”
“ตามหาออร์บงั้นหรอ” ผมถาม
ผมกับมิโยชิมองหน้ากัน นี่มันเรื่องอะไรกันเเน่
“เเล้วมอนเตอร์ตัวไหนที่ดรอปออร์บนี้ล่ะ”
“ไม่รู้ค่ะ”
“อะไรนะ”
“เเต่ เอ่อ ออร์บนี้มีดรอปในโยโยกิใช่ไหม” มิโยชิเเทรกขึ้นมา
“อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“เอาจริงดิ…”
“ออร์บนี้คือออร์บสกิลแปลภาษาต่างโลก มันเคยดรอปมาเเล้วครั้งนึงในดันเจี้ยนเคอร์ยาสคูลเยแกนของรัสเซีย เเต่นอกเหนือจากนี้ มอนเตอร์ที่ดรอปมันไม่ได้ถูกประกาศออกมา”
แปลภาษาต่างโลกหรอ ชื่อออร์บนี่น่าเหลือเชื่อชะมัด
“เเล้วทำไมถึงต้องการออร์บนี้ล่ะ” ผมถาม
นารุเสะถอนหายใจ เเละหลังจากที่พวกเราสาบานว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เธอก็เริ่มอธิบาย
“สรุปก็คือ มีใครบางคนใช้สกิลนี้แปลจารึกที่เจอในดันเจี้ยน เเต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเนื้อหาที่แปลมาเป็นเรื่องจริงหรือโกหก มีเท่านี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ เพื่อที่จะยืนยันเนื้อหาของบทเเปลนั้น ทั่วโลกกำลังตามหาออร์บนี้อยู่”
ราชินีการค้าลุกขึ้นยืน ดวงตาของเธอกลายเป็นรูปเงิน “รุ่นพี่ เราต้องหาเงินจากเรื่องนี้ได้เยอะเเน่ๆ”
“เธอว่างั้นหรอ ถ้าเกิดเราหาขึ้นเจอขึ้นมาจริงๆ เอามันออกประมูลคงไม่ใช่เรื่องฉลาดนักหรอกนะ”
“ก็จริง…”
“โดยส่วนตัวเเล้ว ฉันจะขอบคุณมากถ้าพวกคุณมอบออร์บนี้ให้กับJDA”
“ในระบบการค้าเสรี จะบังคับให้พวกเราทำเเบบนั้นก็คงจะยากหน่อยนะ” ผมตอบพร้อมกับหัวเราะ “เเต่ว่า เธอรู้รึปล่าวว่ามอนเตอร์ในดันเจี้ยนคูยาสอะไรนั่นมีอะไรบ้าง เเล้วมีที่โยโยกิด้วยไหม”
โยโยกิดันเจี้ยนนั้นกว่างใหญ่มาก เเละถ้าพูดถึงเเง่สิ่งเเวดล้อมเเละมอนเตอร์ ดันเจี้ยนนี้เป็นหนึ่งในดันเจี้ยนที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก เเค่ชั้นเดียวก็ยังมีสิ่งเเวดล้อมหลายๆเเบบเเยกกันไปตามพื้นที่ เเถมนอกจากจะมีบอสประจำชั้นเเล้วก็ยังมีบอสประจำพื้นที่ด้วย
นารุเสะพยักหน้าเเละส่งรายการมอนเตอร์ของดันเจี้ยนเคอยาสมาให้ “เกือบทั้งหมดได้รับการยืนยันเเล้วค่ะ”
มิโยชิกับผมอ่านรายการนั่น
“พวกเรากำลังตามหาออร์บเเปลภาษา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าจะเจาะจงไปที่มอนเตอร์ที่มีสติปัญญาสูงหน่อย” มิโยชิเสนอ
“ประมาณพวกเเวมไพร์งั้นหรอ” ผมถาม
“ใช่ นั่นเเหละ”
เเต่บังเอิญว่า ยังไม่มีมีการพบเเวมไพร์ในดันเจี้ยนจนมาถึงตอนนี้ เเต่มิโยชิน่าจะพูดถูกเเหละ
ผมชี้ไปที่มอนสเตอร์ตัวนึง “น่าจะเป็นตัวนี้นะ”
บลัดเเคลนชาเเมน เป็นมอนสเตอร์มนุษย์เเพะระดับสูง
บางที มอนสเตอร์ที่สื่อสารกันรู้เรื่องอย่างเช่นมนุษย์แพะจะอยู่รวมตัวกันเป็นเผ่าในพื้นที่หนึ่งๆ ในเผ่านั้น ชาเเมนจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้
มิโยชิทำหน้าสงสัย “ทำไมรุ่นพี่ถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“เธอไม่สังเกตเห็นอะไรเเปลกๆของมอนเตอร์ในดันเจี้ยนพวกนี้หรอ”
“เเปลก? ยังไงล่ะ”
“นารุเสะ เธอรู้ไหมว่าใครเป็นคนตั้งชื่อมอนสเตอร์พวกนี้”
“สำหรับมอนเสตอร์ทั่วๆไปส่วนมากเเล้ว สถาบันระดับนานาชาติ หรือว่าคนที่ค้นพบคนเเรกจะเป็นคนตั้งชื่อ หลังจากนั้น WDA ก็จะประกาศชื่ออย่างเป็นทางการ เเต่พอมอนเตอร์นั้นดรอปอะไรมา ไอเทมพวกนั้นส่วนมากก็จะมีชื่อมอนสเตอร์เขียนอยู่ด้วย ถ้าเป็นเเบบนั้นก็จะมีการแก้ชื่อให้ตรงกับชื่อที่เขียนอยู่บนไอเทม”
“นั่นไงล่ะ” ผมพูด
“หมายความว่าไง”
“ส่วนมากมอนสเตอร์พวกนี้จะถูกตั้งชื่อตามตำนานของโลกเราทั้งนั้นเลย หรือไม่ก็จากเกมที่เอาตำนานพวกนั้นมาอ้างอิง
“ใช่ค่ะ ส่วนมากจะเป็นเเบบนั้น”
“คือดันเจี้ยนจะเป็นคนตั้งชื่อให้กับมอนสเตอร์ ถึงกับเขียนชื่อลงในไอเทมเลยด้วย ออร์บที่ดรอปจนมาถึงตอนนี้ก็ตรงตามลักษณะหรือคุณสมบัติของมอนสเตอร์นั้นๆ”
“ก็…จริงอยู่”
“เเล้วเธอคิดว่าทำไมมอนสเตอร์ถึงดรอปออร์บที่ ’เรา’ คิดว่าตรงกับลักษณะของมันล่ะ”
พอผมเห็นรายการของออร์บที่สไลม์สามารถดรอปได้ ผมก็สงสัยขึ้นมา เพราะว่ารายการนั้นดูคล้ายกับพวกเรานักสำรวจเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง สิ่งมีชีวิตปริศนา-ที่น่าจะมาจากต่างโลก- กลับมีชื่อว่าสไลม์ ทำไมทั้งชื่อเเล้วก็คุณลักษณะของมันกลับตรงกับสไลม์ในเกมJRPGล่ะ
“ใครก็ตามที่เป็นคนสร้าง ‘เกม’ นี่ ต้องเข้าใจวัฒนธรรมของโลกเราดีเเน่ๆ บอกได้เลยว่าพวกเขาต้องเข้าใจอย่างถ่องเเท้เลยล่ะ”
พอฟังสิ่งที่ผมคิด นารุเสะก็ทำหน้าทึ่ง
ผมยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “เพราะงั้น ฉันเลยคิดสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมาสามอย่าง อย่างเเรกคือความบังเอิญล้วนๆ”
ซึ่งผมคิดว่าเป็นไปได้น้อยมาก
“อย่างที่สอง สิ่งนี้อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ทฤษฏีโลกเเห่งเเบบของเพลโต ที่บอกว่า สิ่งที่เราเห็นในโลกนี้ทั้งหมดล้วนเป็นของเลียบเเบบของมโนคติ”
เเต่ว่าเรื่องที่ชื่อตรงกันเป๊ะขนาดนี้ก็ทำให้ผมสงสัยเหมือนกัน
เเล้วตัวหนังสือที่เขียนบนดันเจี้ยนการ์ดที่เขียนด้วยภาษาของเจ้าของก็ด้วย ชื่อมอนสเตอร์ก็อาจจะเป็นผลที่เกิดมาจากการรับรู้ของพวกรา
“อย่างที่สาม คนสร้างดันเจี้ยนพวกนี้อาจจะมาจากโลกของเราเอง”
“เเต่นั่นมัน…เป็นไปไม่ได้” นารุเสะเเย้ง
“เธอคิดอย่างนั้นหรอ?” ผมหัวเราะพลางจิบกาแฟไปด้วย “ข้อนี้ดูจะเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับฉัน ในตำนานมากมายในโลกนี้ โดยเฉพาะตำนานของชาวเซลติค การใช้ภาษาเเละตัวอักษรนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับเวทมนตร์”
“งั้นในจำนวนมอนสเตอร์ที่อยู่กันเป็นกลุ่ม ตัวที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้นั้นอาจจะมีสกิลที่เกี่ยวข้องกับภาษาหรืออักษรเขียนงั้นหรอ”
“ถูกต้อง จากรายการเเล้ว มอนสเตอร์ที่พอจะสร้างเผ่ากันได้ก็มีเเค่พวกมนุษย์เเพะ”
นารุเสะดูรายการมอนสเตอร์ในโยโยกิอีกทีเเละพูดขึ้น “เเต่โชคร้ายที่มอนเสตอร์มนุษย์เเพะนั้นไม่มีอยู่ในโยโยกิ เเต่ว่ามีมอนเตอร์เผ่าจันทราเเทน”
เผ่าจันทรา เป็นอีกคลาสของมนุษย์เเพะ อาศัยอยู่ลึกลงไปในโยโยกิชั้น 14 เป็นส่วนที่คนไม่ค่อยนิยมไปเพราะอยู่ตรงข้ามกับทางลงไปชั้น 15
“เเต่ว่านะรุ่นพี่ ในเผ่านึงจะมีชาเเมนหลายตัวรึปล่าว”
โดยทั่วไป หนึ่งเผ่าก็จะมีชาเเมนเเค่ตัวเดียว หรืออย่างมากก็จะมีไม่กี่ตัวเท่านั้น
“ตรงนั้นก็น่าเป็นกังวลเหมือนกัน เเต่พอชาเเมนทุกตัวตายหมด ก็น่าจะมีมนุษย์เเพะตัวอื่นมาเป็นชาเเมนเเทน”
“รุ่นพี่มีหลักฐานเรื่องนั้นรึปล่าว”
“ไม่มีหรอก เเต่เรื่องประมาณนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยในโลกเรานะ”
เเต่ไม่ใช่กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้นเอง
“เเล้วก็ จะไปกลับระหว่างทางเข้ากับชั้น14น่าจะเสียเวลามากเลย”
“ถ้าเป็นทางปกติเเละสั้นที่สุดจะใช้เวลาประมาณ 2 วันค่ะ” นารุเสะยืนยัน
“ควรจะสร้างเบสที่ไหนสักที่เเล้วใช้เป็นการเดินทางสำรวจเเทนไหม”
คำว่า การเดินทางสำรวจ นั้นเดิมทีเป็นศัพท์จากการปีนเขา ถ้าใช้วิธีนี้ อย่างเเรกพวกเราจะต้องสร้าง เบสขึ้นมาในดันเจี้ยนเพื่อใช้เป็นฐาน พอปาร์ตี้เดินทางลงไปชั้นล่างสักพักนึง ก็จะต้องสร้างฐานอีกที่นึงที่ชั้นนั้น สุดท้ายก็จะต้องมีสมาชิกสนับสนุกที่คอยเดินทางระหว่างฐานเหล่านี้เพื่อส่งอาหารเเละสิ่งของ เพื่อช่วยในการสำรวจ ซึ่งตรงกันข้ามกับรูปแแบบการผจญภัย ที่ลงดีันเจี้ยนกันด้วยสมาชิกในปาร์ตี้ไม่กี่คน
“ไม่ล่ะ ฉันคิดว่าใช้เเบบการผจญภัยจะดีกว่า” ผมตอบ
“อะไรนะคะ จะทำเเบบนั้นจริงๆหรอ” นารุเสะดูตกใจ
ผมหันไปหาเธอ พยายามที่จะทำกลบเกลื่อนไม่ตอบ “ยังไงก็ตาม พวกเรายินดีรับคำขอของเธอ จะลองไปหาออร์บนี้ดูสักหน่อย”
“เอ่อ…อย่าฝืนตัวเองมากไปนะคะ”
“เเน่นอน ความฝันของฉันคือเป็นคนขี้เกียจอันดับหนึ่งของโลก เเต่ว่าเรามีของที่จะต้องเตรียมหลายอย่าง ถ้าเธอไม่มีอะไรเเล้ว พวกเราขอตัวได้ไหม”
“ได้ค่ะ ฉันจะกลับไปที่JDAก่อนตอนนี้ จะต้องกลับไปรายการหัวหน้าฝ่าย”
“อ้อ เเต่ว่าอย่าพึ่งเอาสิ่งที่ฉันคิดเรื่องชาเเมนไปรายงานนะ ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากน่ะ”
“เข้าใจเเล้วค่ะ ฉันจะบอกหัวหน้าฝ่ายไซกะเเค่ว่าพวกคุณรับข้อเสนอเเล้ว”
“บอกไปว่าอย่าตั้งความหวังมากเกินไปล่ะ”
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ” มิโยชิเสริม
พวกเราบอกลานารุเสะที่กลับไปที่JDAจากทางประตูหน้า ที่จริงเธอสามารถรายงานผลทางโทรศัพท์ก็ได้ เเต่อาจจะมีสถานการณ์อะไรบางอย่างทำให้เธอไม่ทำเเบบนั้น
“รุ่นพี่จะไปชั้น14 จริงๆหรอ เเค่ชั้น2เรายังไม่เคยไปกันเลยนะ”
“เอาน่า น่าจะไหวอยู่หรอก”
“จริงด้วย รุ่นพี่เป็นนักสำรวจเเรงค์หนึ่งนี่นา ลืมไป ก็ดูเเล้วไม่มีออร่าอะไรเเบบนั้นเลย”
“ว้าว เธอนี่หยาบคายชะมัด เเต่ฉันก้ไม่คิดว่าตัวเองเป็นเหมือนกัน หึๆ”
พวกเรามองหน้ากันเเล้วหัวเราะ
“ก็ถ้าเกิดฉุกเฉินขึ้นมา เดี๋ยวฉันจะหนีกลับมาบ้านก็เเล้วกัน อีกอย่างคือ…”
ผมขอให้มิโยชิเตรียมอะไรบางอย่างให้ เธอตกลงเเม้ว่าจะดูประหลาดใจก็ตาม
“เเล้วก็…” ผมหยิบออร์บ4ลูกออกมาจากวอล์ท : สโตเรจ สุดยอดฟื้นฟู เวทย์น้ำ เเละต้านทางกายภาพ
“รุ่นพี่ พวกนี้มัน…”
“ยังไงก็ตาม พวกเราต้องลองทดสอบสโตเรจกับสุดยอดฟื้นฟูอยู่เเล้ว สโตเรจนั้นต้องรออีกสักพักถึงจะเลือกได้ใหม่ เเต่ถ้าเป็นสุดยอดฟิ้นฟูก็น่าจะหาได้อีกลูกตอนประมาณกลางเดือนพฤจิกายน ฉันมีวอล์ทเเล้ว เธอเอาสโตเรจไปใช้ละกัน”
“เข้าใจเเล้ว เเต่ว่าที่เหลือล่ะ”
“นอกจากสี่ลูกนี้ เรายังมี สุดยอดฟื้นฟูอีกสองลูก เวทย์น้ำสามลูก เเล้วก็ ต้านทานกายภาพอีกเจ็ดลูก”
“ถ้าไม่ระวัง สไลม์พวกนั้นจะดรอปต้านทานกายภาพวันละลูกได้เลย”
“พวกเราสองคนควรจะใช้ออร์บทุกลูกอย่างละครั้ง นอกจากนั้นก็เอาไปขายให้หมด สุดท้ายเเล้วราคาน่าจะตกลงไปพอสมควร”
“ฟังดูดีเลย งั้นครั้งหน้าฉันจะเอา ต้านทานกายภาพ3ลูกกับสุดยอดฟื้นฟูหนึ่งลูกไปประมูล เเล้วรอดูว่าจะเอายังไงต่อ”
“เดือนละ8ลูกงั้นหรอ ไม่เลวนี่”
“รุ่นพี่ ปีที่เเล้วมีออร์บเเค่4ลูกเองนะที่ประกาศว่าดรอปจากโยโยกิ”
จริงด้วย นายสี่เหลี่ยมเดินได้ชื่อไซกะพูดอะไรประมาณนี้ไว้นี่นา
“อะ-เอาน่า ถ้าเธอจะไปชั้น14ด้วยกันก็ใช้ออร์บพวกนั้นเลย รู้สึกเป็นยังไงก็บอกด้วย”
มิโยชิยิ้มเเห้งๆเเละสัมผัสไปที่ออร์บสโตเรจ “เหมือนเรากำลังทดสอบเลยว่าจะสามารถมีสกิลได้กี่สกิลเลย”
“ตอนที่เธอจะใช้ออร์บครั้งเเรก จะต้องตะโกนว่า ‘ฉันจะเลิกเป็นมนุษย์เเล้ว!’ ด้วยนะ มันเป็นกฏ”
“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า!”
ออร์บนั้นจางหายกลายเป็นละอองเเสง เเละมาห้อมล้อมมิโยชิ เริ่มจากมือเธอข้างที่ถือออร์บ จากนั้นมันก็ถูกดูดเข้าไปในร่างกาย นี่เป็นครั้งเเรกเลยที่ผมเห็นคนอื่นใช้ออร์บ ไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรเเบบนี้ขึ้น
“รู้สึกเป็นไง”
“อืมมม รู้สึกแปลกๆ เหมือนร่างกายของฉันถูกสร้างขึ้นมาใหม่”
ใช่ เหมือนที่ผมรู้สึกเป๊ะ
“รุ่นพี่จะใช้ออร์บด้วยรึปล่าว”
“คิดไว้ว่าอย่างนั้นนะ” ผมหยิบต้านทานกายภาพ เวทย์น้ำ กับฟิ้นฟูสุดยอดออกมา
“หวังว่าหัวฉันจะไม่ระเบิดเพราะมีสกิลมากเกินไปนะ”
“เอามาจากเเสกนเนอร์งั้นหรอ! เเต่ฉันขอร้องล่ะ อย่าระเบิดเลยนะ มันจะทำให้ห้องสกปรก”
“เธอห่วงตรงนั้นเองเรอะ!”
หลังจากนั้น พวกเราสองคนก้ใช้ออร์บที่เหลือ โชคดีที่หัวของพวกเราไม่ได้ระเบิด..