ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 9
เช้าวันรุ่งขึ้นจางโม่ลี่ก็ยังหุงหาอาหารทำความสะอาดเรือนปฏิบัติดูแลสองตายายชราดั่งเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้นางมิต้องไปยังตลาดเพื่อเปิดร้านขายขนม เพราะเมื่อท่านยายทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็คัดค้านไม่ให้นางเดินทางไปยังตลาดเพียงลำพังบอกเพียงว่าให้หยุดพักสักวัน หลังจากอาการปวดเมื่อยของตาและยายดีขึ้นค่อยกลับไปเปิดร้าน ตากับยายอยู่เป็นเพื่อนป้องกันการเกิดเหตุร้าย จางโม่ลี่ไม่ปฏิเสธเพราะรู้ดีว่าท่านทั้งสองเป็นห่วงตนมากเพียงใด
“คุณชายข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือหลานสาวข้าจนตนเองได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ข้ามิรู้จะตอบแทนท่านเช่นไรดี” ท่านยายเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มตรงหน้าที่มีหน้ากากปิดอยู่ครึ่งซีกทันทีหลังจากที่รับมื้อเช้าและของว่างเป็นที่เรียบร้อย
“ท่านยายอย่าได้คิดมาก ตัวข้านั้นมิได้ต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน” หยางหลงเอ่ยอย่างเสแสร้งทั้งที่ในใจอยากจะบอกเหลือเกินว่าสิ่งที่ต้องการคือหลานสาวท่าน แต่เขาจำต้องเก็บไว้ไม่แสดงออกให้หญิงชรารับรู้ แค่เรียกนางอย่างสนิทสนมจางหลี่เจี้ยนก็ตากระตุกแล้ว
“หากเป็นเช่นนั้นหญิงชราเช่นข้าก็สบายใจ เชิญคุณชายพักผ่อนเถิดหรือจะเดินออกไปชมบรรยากาศด้านนอกก็ได้วันนี้อากาศดียิ่ง” ท่านยายกล่าวออกมาหลังจากมองบุรุษตรงหน้าว่ามิได้เสแสร้งอันใดก็คลายใจ
“ขอบคุณ” หลังจากหญิงชราจากไปเขาก็ออกไปดูนางที่นั่งทำงานอยู่ด้านนอก
จ้าวหยางหลงเห็นนางกำลังทำบางสิ่งด้วยความตั้งใจจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างแม้กระทั่งเข้ายืนอยู่ข้างนางแล้วนางก็ยังมิรู้สึกตัว จนเวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ (15 นาที) นางจึงหยุดมือกับงานตรงหน้า
“กำลังทำอันใดอยู่รึลี่เอ๋อร์” จ้าวหยางหลงเอ่ยอย่างสงสัยหลังจากที่นางละมือจากงานตรงหน้า
“อะ…อ้าวพี่หลงนั่นเองข้าตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ เหตุใดมาไม่ให้สุ้มเสียงเช่นนี้ แล้วมานานหรือยังเจ้าคะ”โม่ลี่ตกใจไม่นานที่เห็นเขายืนอยู่ข้างตนระยะประชิด
“หนึ่งเค่อ (15 นาที) เห็นจะได้ ข้าเห็นเจ้าทำเจ้านี่อยู่เลยมิอยากรบกวน” หยางหลงหยิบก้อนแป้งที่ถูกปั้นคล้ายกับลูกฟักทองยืนให้หญิงสาวดู
“อ๋อ ข้าปั้นไว้เพื่อทำขนมบัวลอยสำหรับของหวานมื้อกลางวันเจ้าค่ะ” ว่าจบนางก็ก้มบรรจงตัดใบเตยเป็นท่อนพอประมาณ
“อืม” จ้าวหยางหลงรับคำสั้นๆ พลางมองนางอย่างค้นหา เขาอยากพิสูจน์อะไรบางอย่างให้แน่ชัด
“ดอกแก้ว” เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาแต่ร่างบางที่กำลังง่วนกับงานตรงหน้าเป็นต้องชะงัก มือบางเกร็งค้างจนใบเตยร่วงลงสู่พื้นด้านล่าง
“พะ…พี่หลงว่าอะ…อันใดนะเจ้าคะ” โม่ลี่เงยหน้ามองบุรุษผู้มีหน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่ครึ่งซีกอย่างลุ้นระทึก เพื่อความแน่ใจว่านางหูฝาดหรือไม่จึงเอ่ยถามคนตรงหน้าอีกครั้ง
“ดอกแก้ว” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับเจ้าของภาษาทำเอาหญิงสาวเบิกตากว้างมองอีกฝ่ายอย่างตะลึง
จ้าวหยางหลงเอ่ยทวนให้อีกฝ่ายได้ยินอีกครั้ง เกือบ 8 ปีแล้วนับจากวันนั้นเขาพยายามพร่ำฝึกพูดสำเนียงตามที่ได้ยินบุรุษวัยกลางคนเรียกนามของนางในสถานที่นั้นยามที่ตนหลับใหล เหตุที่เขาพร่ำฝึกอยู่ทุกเมื่อ อาจเป็นเพราะสวรรค์เมตตาให้เขาพบเจอนางในยามนิทราที่ยาวนานถึง 7 ปี แล้วจะผิดอันใดเล่าหากเขาจะเข้าข้างตนเองโดยการคาดหวังว่าในสักวันเขาอาจจะได้มีโอกาสพบเจอกับนาง
“หะ…เหตุใดท่านจึงรู้จักนามนี้” โม่ลี่ถามอีกฝ่ายตะกุกตะกัก ก่อนจะชะงักเมื่อนึกถึงบางสิ่งได้
จางโม่ลี่นึกย้อนไปตอนที่ได้พบกับท่านเทพแห่งชะตาในตอนท้ายก่อนที่ตนจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ ท่านเทพได้กล่าวไว้ว่า “ที่นั่นยังมีคนที่รอเจ้าอยู่” จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นเขา โม่ลี่ยังคงครุ่นคิดสับสนจนคิ้วขมวดเข้าหากันไม่รู้ตัว
จ้าวหยางหลงหลังจากที่เห็นใบหน้าของนางเขาก็มั่นใจแต่ยังคงมีความลังเลอยู่บ้าง เพราะในแผ่นดินนี้มีฝาแฝดที่มีใบหน้าคล้ายกันอยู่มิน้อย เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ให้กระจ่างด้วยการเรียกนามนั้นหากมิใช่ถึงแม้จะเหมือนนางมากเพียงใดแต่หากมิใช่คนที่เขาเฝ้ารอคอยเขาจะไปจากที่นี่ทันที แต่ปฏิกิริยาของนางทำเอาเขาสั่นสะท้านไปทั้งกายหัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึก “จบสิ้นเสียทีกับการรอคอยที่แสนยาวนานของข้า” จ้าวหยางหลงคิดในใจ
“ลี่เอ๋อร์เจ้าอยากรู้หรือเหตุใดข้าถึงได้รู้จักนามนี้”หยางหลงถามร่างบางตรงหน้าเพื่อดึงสติ
“เจ้าคะ?” โม่ลี่หลุดจากภวังค์มองอีกฝ่ายอย่างค้นหาความรู้สึกคุ้นเคยปลอดภัยเกิดขึ้นเมื่อเจอเขาตั้งแต่แรกพบอย่างน่าประหลาดเกิดเป็นความเชื่อใจมากน้อยเพียงใดก็มิอาจรู้ได้ นางรับรู้ตามสัญชาตญาณว่าบุรุษผู้นี้จะไม่มีวันทำร้ายนาง มันเร็วไปหรือไม่กับความรู้สึกเช่นนี้
“ข้าว่าเจ้าทำธุระให้เสร็จเสียก่อนเถิด เมื่อว่างจากงานพี่จะเล่าให้เจ้าฟัง”
“เจ้าค่ะ ” นางรับคำสั้นๆ ก็เร่งมือจัดการงานตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าใดนักเพราะในหัวมัวแต่คิดสะเปะสะปะหยิบจับอันใดก็ผิดพลาดไปเสียหมด จนต้องหลับตาสงบสติของตนเองตัดความคิดวุ่นวายในหัวให้หมดก่อนจะทำหน้าที่ตนต่อไป
หลังจากใช้เวลาครึ่งชั่วยาม (1 ชั่วโมง) นางก็จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็จะทำความสะอาดใบหน้าและมือก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนแคร่หน้ากระท่อม
“เสร็จแล้วหรือ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามพลางมองนางที่ดูกระวนกระวายไม่น้อย
“เสร็จหมดแล้วเจ้าค่ะพี่หลง” โม่ลี่ยิ้มบางๆ ทั้งที่ดูวิตกกังวล
“งั้นมานั่งเสียเถิด เรื่องที่ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังมันอาจจะดูแปลกไปเสียหน่อย แต่ข้ายืนยันว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริงทุกประการหาได้โป้ปดมดเท็จไม่”
“เจ้าค่ะ” โม่ลี่ตอบก่อนจะมองไปยังภายในกระท่อม เพื่อมองหาท่านตาท่านยายแต่ก็ไม่พบก็รู้สึกวางใจ หากท่านทั้งสองรับรู้เรื่องราวของนางๆ กลัวว่าทั้งสองจะรังเกียจตน ก่อนจะหย่อนกายนั่งบนแคร่ข้างชายหนุ่มโดยเว้นระยะห่างไว้พอควร
จ้าวหยางหลงจึงเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ย้อนไปตั้งแต่เมื่อ 7 ปีก่อนที่เขาได้พบนางครั้งแรกในห้วงฝันให้นางฟัง แต่ในขณะที่เขากำลังเล่าก็สัมผัสถึงการมีอยู่ของบุคคลผู้หนึ่งแต่เขาก็ยังเล่าต่อทั้งจงใจเพิ่มน้ำหนักเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยินหลังจากที่ฟังจ้าวหยางหลงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ จนจบ นางก็ได้แต่อึ้งเพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตนางเมื่อครั้งยังอยู่ที่ภพนั้น มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับนางและเขา ในโลกใบนี้จะมีอะไรที่แปลกกว่านี้อีกหรือไม่
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ” โมลี่เอ่ยแผ่วเบาแต่ก็มิอาจรอดพ้นหูของคนฝึกยุทธ์เช่นเขา
“ใช่ ไม่น่าเชื่อว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ แต่หลักฐานก็คือเจ้าที่กำลังนั่งอยู่ข้างข้า เจ้าคือคนที่ข้าฝันมาตลอด 7 ปี”หยางหลงมองนางอย่างสื่อความหมายมันไม่ได้จาบจ้วงไม่ใช่สายตาหลงใหล แต่เป็นสายตาแห่งการรอคอยความอ่อนโยนโหยหา จนโม่ลี่ต้องแสร้งหลบหันไปทางอื่น
“แล้วเจ้ามิคิดจะเล่าให้ข้าฟังบ้างหรือ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้” จ้าวหยางหลงเอ่ยถามนางบ้าง
“หากพี่หลงอยากทราบข้าก็จะเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ”
“หลังจากที่ข้าได้ตายลงจากภพนั้น ก็เจอกับเทพแห่งชะตาท่านได้กล่าวว่าที่จริงแล้วข้าเป็นคนของภพนี้ แต่เกิดความผิดพลาดขึ้นบางอย่างทำให้ดวงจิตของข้าหลุดไปยังภพที่ข้าจากมา และเมื่อถึงเวลาเทพแห่งชะตาจึงดึงดวงจิตข้ากลับมาอยู่ในกายเนื้อที่แท้จริงที่กำลังจะหมดลมเจ้าค่ะ สิ่งที่ข้ารู้คือร่างนี้เป็นเพียงกำพร้าออกเดินทางไปทั่ว ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับบิดามารดาแม้แต่น้อย” นางเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้คนตรงหน้าฟัง ยกเว้นเรื่องที่ท่านเทพกล่าวกับนางในตอนท้ายให้เขาได้รับรู้
“แล้วเจ้ามิอยากรู้หรือว่าบิดามารดาเป็นใครมาจากไหน” จ้าวหยางหลงขบคิดหากกายเนื้อของนางถือกำเนิดที่นี่เพื่อรอดวงจิตกลับมา ด้วยหน้าตาและผิวพรรณดูเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แล้วเหตุใดคนพวกนั้นถึงได้ทิ้งนางไว้เพียงลำพัง
“อยากรู้สิเจ้าคะ ทั้งยังอยากรู้ว่าเพราะสาเหตุใดพวกเขาจึงทอดทิ้งข้าไว้เช่นนี้” นัยน์ตาเศร้าเผยออกมาเล็กน้อยทั้งภพนู้นและภพนี้นางก็ถูกทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร
“หากเจ้าอยากรู้ข้าสามารถช่วยเจ้าสืบหาตัวตนของเจ้าได้” จ้าวหยางหลงอดที่จะสงสารนางมิได้เหตุใดสวรรค์จึงรังแกนางนัก
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้ามีท่านตาท่านยาย ท่านทั้งสองรักและเอ็นดูข้ามิต่างจากลูกหลานแท้ๆ แค่นี้ข้าก็มีความสุขแล้วเจ้าค่ะ” โม่ลี่ยิ้มถึงดวงตานางมิได้เสแสร้งแกล้งทำ นางรักและเทิดทูนทั้งสองอย่างจริงใจ
“ลี่เอ๋อร์”
“เจ้าคะ?” โม่ลี่สงสัยเอียงคอมองอีกฝ่ายว่าจะพูดสิ่งใด
“แทนตัวเองว่าลี่เอ๋อร์”หยางหลงมองคิ้วที่ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ก่อนที่จะไขปัญหาให้นาง
“เออ…เจ้าค่ะ” โม่ลี่รับคำใบหน้ามีรอยแดงจางๆ
“พี่หลงเจ้าค่ะ ลี่เอ๋อร์มีเรื่องจะขอร้อง” โม่ลี่นึกบางอย่างได้จึงขอร้องคนตรงหน้า
“มีอันใดจะขอร้องข้ารึ บอกมาเถิดข้ายินดีทำเพื่อเจ้า” เสียงทุ้มแต่อ่อนโยนเอ่ยขึ้น
“ลี่เอ๋อร์อยากให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราได้ไหมเจ้าคะ หากเรื่องนี้หลุดรอดออกไปเกรงว่าชาวบ้านจะตื่นกลัว คิดว่าลี่เอ๋อร์เป็นปีศาจเอาได้” ด้วยสมัยนี้มีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจไม่น้อยจึงทำให้นางนึกกลัว
“ย่อมได้” หยางหลงยิ้มรับ แต่นางคงไม่รู้ว่าในระหว่างสนทนามีผู้รับรู้เรื่องราวของนางเพิ่มมาอีกคนและเป็นเขาที่จงใจให้อีกฝ่ายได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เพราะเขาแน่ใจว่าเรื่องนี้มิมีทางจะแพร่ออกไปให้ผู้ใดได้ยิน
ความจริงเขาไม่อยากเร่งรัดนางนักแต่เขาก็ไม่ไว้ใจบุรุษหน้าไหนให้เข้าใกล้นางดังนั้นเมื่อสัมผัสว่ามีบุคคลอื่นร่วมรับฟังจึงคิดแผนบางอย่าง และจงใจเปิดเผยเรื่องนี้ให้กับตาของนางได้รับรู้หากว่าชายชราผู้นั้นเกิดความกลัวและคิดนำไปบอกชาวบ้านเขาก็จำเป็นที่จะต้องลงมือเงียบๆ มิให้นางได้ระแคะระคายแน่นอน
เขาไม่อยากรออีกแล้ว มันควรจบสิ้นสักทีกับการรอยคอยที่ยาวนาน เขากลัวว่าจะมีมือมาฉุดกระชากนางไปเพราะกว่าจะได้พบได้พูดคุยได้เห็นหน้านางเช่นนี้ก็ราวกับปาฏิหาริย์ เขาจะมิยอมให้ผู้ใดพรากนางไปจากเขาแน่นอน หากมีผู้ใดกล้าเขานี่แหละจะเป็นผู้สังหารมันกับมือ
“รู้หรือไม่ว่าครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นเจ้าอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ข้ารู้สึกเช่นไร” หยางหลงเริ่มไล่ต้อนเจ้ากระต่ายน้อยทันทีที่รู้ว่าเป็นนางมิผิดตัว
“เอ่อ…มะ…มิรู้เจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำพูดที่ชายหนุ่มกล่าวออกมาจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าใบหน้าเห่อร้อนจนต้องก้มหน้าแนบอกตนเอง
“ข้าเห็นเจ้าในสภาพนั้นทั้งโลหิตที่ไหลออกมามากมาย ความรู้สึกนั้นทำให้ข้ารู้จักคำว่ากลัวเป็นครั้งแรกกลัวว่าในยามหลับข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีกข้าพยายามตะโกนเรียกสติเจ้าที่กำลังจะหลับ ทั้งยังขอความช่วยเหลือแต่ก็มิมีผู้ใดได้ยิน”ดวงตาคมรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นอกซ้ายยังคงสั่นสะท้านจนต้องยกมือขึ้นจับตำแหน่งหัวใจตนเอง
“ข้าสะดุ้งตื่นกลางดึกคืนนั้นและสิ่งที่ข้ากลัวก็เป็นจริง หลังจากนั้นข้าก็มิได้ฝันถึงเจ้าอีกเลย จนเมื่อห้าเดือนที่แล้วข้าฝันถึงเจ้าอีกคราแต่ครั้งนี้เป็นสถานที่ๆ ข้าคุ้นเคยมันทำให้ข้ามีความหวัง แม้ความหวังนั้นจะเต็มไปด้วยหมอกควันเลือนรางแต่ข้าก็หวังว่าจะได้พบเจ้าในสักวัน ได้พูดคุยกับเจ้าได้ดูแลเจ้า” จ้าวหยางหลงส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความโหยหาสื่ออารมณ์ที่ผ่านมาอย่างจริงใจ
จางโม่ลี่ได้แต่เขินอายนางมิเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เพราะในแต่ละวันได้แต่มุ่งอยู่กับเรียนและทำงานเพื่อจะได้รีบกลับไปดูแลแม่และน้องๆ มิเคยที่จะคิดถึงเรื่องสัมพันธ์ชายหญิงมาก่อนนางจึงทำตัวมิถูกในสถานการณ์เช่นนี้
“เอ่อ พี่หลงนี่ก็ได้เวลารับมื้อกลางวันแล้ว เดี๋ยวลี่เอ๋อร์ไปตามท่านตาท่านยายก่อนนะเจ้าคะ” หลังพูดจบนางก็รีบเดินออกไปทันที สร้างความขบขันเอ็นดูให้ชายหนุ่มไม่น้อย
“ฮึฮึ…ลี่เอ๋อร์อีกไม่นานหรอก เจ้าจะไม่มีโอกาสเดินหนีข้าเช่นนี้อีกแล้ว” จ้าวหยางหลงหัวเราะในลำคอ
จางหลี่เจี้ยนหลังจากที่แอบฟังทั้งคู่สนทนาจนจบ เขาก็เดินออกมาอย่างเหม่อลอยความคิดตีกันให้วุ่น เรื่องราวน่าอัศจรรย์ของหลานสาวบุญธรรมตัวน้อยอีกทั้งเรื่องราวของบุรุษผู้นั้นที่ตนได้รับฟังเพราะความบังเอิญ ต่างก็เชื่อมโยงตัวเขาและนางให้ได้พบเจอแม้นางจะอยู่ดินแดนแสนไกล“หรือนี้จะเป็นบุพเพของคนทั้งคู่” จางหลี่เจี้ยนได้แต่คิดในใจ ทั้งปลงตกอีกมินานนางก็คงจากพวกเขาตายายไปอยู่ในอ้อมอกของบุรุษนั้นตามบัญชาสวรรค์เป็นแน่
“รายงานมา”
“มันสารภาพว่าผู้จ้างเป็นสตรีออกเรือนนางหนึ่งนามว่าอวี้ซูฮวาขอรับ”
“พวกนางมีเรื่องกันรึ” หยางหลงขมวดคิ้วไม่คิดว่านางจะไปมีเรื่องกับผู้ใดได้ ด้วยนิสัยของนางมักจะไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนัก
“เรื่องนี้ซิ่นหวากำลังตามสืบอยู่ขอรับ อีกมินานคงจะมารายงานท่านประมุข” หลังจากที่มันสารภาพพวกเขาก็พยายามเค้นคอมันถึงสาเหตุจ้างวานทำร้ายว่าที่นายหญิง แต่มันบอกเพียงไม่รู้ มันแค่รับเงินแล้วทำตามคำสั่งเท่านั้นพวกเขาจึงให้ซิ่นหวาไปสืบเรื่องราวเพิ่มเติมเพื่อรายงานผู้เป็นนาย
“ข้าจะให้มันทรมาน อยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ได้” จ้าวหยางหลงเค้นเสียงเหี้ยมปล่อยไอสังหารรอบตัวปรากฏขึ้นทำเอาบรรดาเงาลอบเหงื่อตก สะบัดมือเพียงครั้งบรรดาเงาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ความโหดเหี้ยมและโทสะสว่างวาบขึ้นในดวงตาคมเข้มดั่งรัตติกาล หากวันนั้นเขาไปช่วยนางไม่ทันเจ้าเดรัจฉานพวกนั้นคงกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีนางไม่เหลือชิ้นดี แค่คิดก็ทำเอาเขาเจ็บร้าวไปทั้งใจแต่เชื่อเถอะถึงแม้จะเป็นสตรีเขาไม่มีทางที่จะปล่อยมันไปให้ย้อนกลับมาทำร้ายนางอีกครั้ง สตรีอสรพิษเช่นนั้นเขาได้เตรียมบทลงทัณฑ์ที่บังอาจคิดทำร้ายล่วงเกินนางอย่างสาสมกับความผิดแน่นอน