ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 8
หลังจากได้ยินเสียงฝีก้าวออกไป จางโม่ลี่นั่งอยู่ในท่ากอดเข่าหน้าผากมนซบลงบนหัวเข่าตนหลับตาสองมือยกขึ้นมาปิดหูแน่น นางทำตามที่เขาบอกอย่างเคร่งครัดมิกล้าที่จะมองดูเหตุการณ์ด้านหลังว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ใบหน้างามยังคงซีดเผือดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าจนเปียกอาภรณ์บริเวณนั้น ร่างบางยังคงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ขอบคุณเทพยดาที่ยังไม่ทอดทิ้งนางให้เจอกับชะตากรรมอันโหดร้าย ทั้งนึกขอบคุณบุรุษผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือนางซ้ำไปซ้ำมา
เสียงคมดาบปะทะตามด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังเพียงครู่ก็เงียบสงบลงร่างบุรุษกักขฬะสี่คนนอนดิ้นรนอยู่บนพื้นแต่กับไร้เสียงออกมาให้ได้ยินเพราะพวกมันทั้งสี่คน โดนควักลูกตาโทษฐานที่ใช้สายตานั้นมองนางโลมเลียหื่นกระหายและตัดลิ้นที่บังอาจกล้าพูดจาหยาบคายกับนาง และกลัวว่าพวกมันจะส่งเสียงดังจนทำให้นางกลัวมากขึ้นไปอีก
จ้าวหยางหลงสัมผัสถึงผู้ที่กำลังมาก็หยุดนิ่ง ก่อนจะปรายตาคมมองไปยังบุรุษผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ปล่อยแรงกดดันจนซิ่นสือหายใจไม่ทั่วท้องและกระอักเลือดออกมา
ซิ่นสือที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็รีบเร่งติดตามว่าที่นายหญิงทันทีตามที่ท่านประมุขสั่ง แต่ระหว่างทางเกิดได้ยินเสียงปะทะเขาจึงเร่งใช้วิชาตัวเบามุ่งไปยังทิศทางนั้นด้วยกลัวว่าที่นายหญิงจะมีอันตราย เมื่อไปถึงภาพที่เขาเห็นทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น
“ซิ่นสือ เจ้าไปอยู่ที่ใดมาเหตุใดจึงมิดูแลนางให้ดี ปล่อยให้สัตว์เดรัจฉานพวกนี้เข้าใกล้นานได้” เสียงเยียบเย็นดังขึ้น
“ขออภัยท่านประมุข…เป็นข้าที่บกพร่องต่อหน้าที่”
“ข้าถามว่าเจ้าไปอยู่ที่ใดมา!!!…” จ้าวหยางหลงเค้นคออีกฝ่ายอย่างกดดัน
“เอ่อ…ข้า…”ซิ่นสือมิกล้าตอบใครจะไปกล้าบอกเรื่องน่าอายเช่นนั้น
“ตอบ!!….” เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเอ่ยพลางปล่อยพลังกดดัน
“ขะ…ข้าน้อยไปถ่ายหนักมาขอรับ” ซิ่นสือได้แต่ร้องไห้ในใจถึงจะน่าอายเพียงใดแต่เวลานี้ไม่สนแล้ว ต้องเอาชีวิตรอดไว้ก่อน
เมื่อจ้าวหยางหลงได้ยินคำตอบน่าปวดหัวและชวนน่ากระทืบให้จมดินก็ต้องชะงักคลายพลังลงส่วนหนึ่ง“มารดามันเถอะ เฮ้อ…” จะโทษมันก็ไม่ถูกใครจะไปรู้ว่ามันจะมาตอนไหน แต่ความผิดมันก็ยังคงอยู่
“กลับไปที่พรรคและรับโทษตามกฎซะ และเรียกซิ่นลู่มาหาข้า ให้ซิ่นหม่าดูแลพรรคไปสักระยะ”
“ขอรับ” ว่าจบซิ่นสือก็คำนับและหายไปกับความมืด
“ออกมา”จ้าวหยางหลงพูดจบกลุ่มเงาจำนวนหนึ่งก็ปรากฏกายออกมาจากความมืด หากไม่ได้รับคำสั่งผู้เป็นนายก็ไม่สามารถปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นได้
“นำพวกมันทั้งสี่โยนลงบ่อร้อยอสรพิษ”
“ส่วนสัตว์เดรัจฉานตัวนี้” จ้าวหยางหลงเอ่ยเสียงคมปรายตาคมกริบมองชายสารเลวแขนกุดที่นั่งสั่นอยู่บนพื้นด้วยความกลัว
“เค้นคอมันออกมาให้หมด ข้าอยากรู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจ้างวานมาทำร้ายนาง”
“อีกอย่าง…จงดูแลมันให้ดีอย่าให้มันรีบตาย หากเห็นมันเริ่มทนไม่ไหวก็เรียกหมอมาดูอาการ รอให้ข้าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ข้าจะไปสะสางด้วยตัวเอง” จ้าวหยางหลงสั่งเสียงเหี้ยม
“ขอรับ” เสียงตอบรับสั้นๆ และทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ
จ้าวหยางหลงออกเดินไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ที่ตนพานางไปนั่งพัก เขาหยุดมองนางนิ่งแววตาที่เคยแข็งกร้าวพลันอ่อนลง เขาลงนั่งข้างนางเอามือลูบหลังปลอบประโลมนางให้คลายความหวาดกลัว สายลมพัดผ่านปะทะเข้ากับเนื้อนวลจนได้กลิ่นหอมหวานของดอกโม่ลี่จางๆ ให้รู้สึกสดชื่น อกซ้ายที่เพิ่งสงบลงกลับมาเต้นกระหน่ำอีกครั้งความรู้สึกโหยหาอยากพบนางสัมผัสนาง อยากดูแลนางต่อไปนี้คงมิใช่เพียงแค่มองผ่านความฝันอีกแล้ว เขาสามารถสัมผัสนางพูดคุยกับนางได้แล้วใช่หรือไม่
“ไม่เป็นไร พวกมันไปหมดแล้ว เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยปลอบ
จางโม่ลี่รู้สึกตัวตั้งแต่ที่ได้กลิ่นกายจากผู้มีพระคุณนั่งลงและลูบหลังนางอย่างปลอบขวัญ นางก็มิกล้าที่จะขยับเพราะยังกลัวเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนางจึงค่อยๆ หันไปยังต้นเสียงทันทีที่หันไปทั้งคู่ราวกับต้องมนต์สะกดเหมือนเวลาหยุดเดินบรรยากาศมีกลิ่นอายอบอุ่นให้รู้สึกสบายใจ
นัยน์ตาคมหวานอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างของบุรุษสวมหน้ากากขึ้นซีกทำเอาหัวใจดวงน้อยกระตุกสั่นไหวทั้งยังรู้สึกปลอดภัยและคุ้นเคยอย่างประหลาด
หนึ่งบุรุษรูปงามถึงแม้จะปิดบังใบหน้าก็มิอาจกลบรัศมีความหล่อเหลาแม้แต่น้อย หนึ่งสตรีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียน สองร่างนั่งอยู่เคียงคู่กันภายใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่แสงนวลของดวงจันทร์กระทบใบหน้าให้เกิดเป็นภาพที่งดงามยากจะลืมเลือน บรรดาเงาที่แฝงเร้นกายยังอดตะลึงกับภาพตรงหน้ามิได้
“ขะ…ขออภัยเจ้าค่ะ” โม่ลี่ขอโทษคนตรงหน้า ตอนนี้ใบหน้าแดงไปด้วยความอายที่เผลอมองหน้าเขาอยู่นาน
“ไม่เป็นไรอย่าได้คิดมาก เจ้ากำลังไปที่ใด อีกทั้งสตรีตัวคนเดียวมิควรเดินทางเพียงลำพังเจ้ารู้หรือไม่มันอันตรายเพียงใด ดีที่ข้าบังเอิญผ่านมาทางนี้จึงช่วยเจ้าได้ทันการ” จ้าวหยางหลงยิ้มบางๆ แต่ก็อดตำหนินางเล็กน้อยไม่ได้
“ข้ากำลังเดินทางกลับบ้านเจ้าค่ะ ปกติจะมีท่านตาท่านยายมาด้วย แต่วันนี้ท่านทั้งสองรู้สึกไม่สบายตัวนักจึงกลับบ้านไปก่อน” โม่ลี่มิได้โกรธอีกฝ่ายที่ตำหนินาง แต่กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายเจตนาดีเอ่ยเตือนนางเท่านั้น
“อืม…เป็นเช่นนั้นเอง เอาเป็นว่าข้าจะเดินไปส่งเจ้าที่บ้านและห้ามปฏิเสธเชียว” หยางหลงลอบมองใบหน้าเงียบๆ นางกำลังนึกอะไรบางอย่างก่อนที่จะโพล่งออกมาจนเขาสะดุ้งเล็กน้อย
“จริงสิเจ้าค่ะท่านผู้มีพระคุณ ข้ายังมิได้ขอบคุณท่านเลยช่างเสียมารยาทยิ่งนัก”
“ข้าน้อยจางโม่ลี่ ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือข้าน้อยไว้ บุญคุณครั้งนี้ข้ามิรู้จักตอบแทนท่านเช่นไร โปรดบอกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะว่าพอมีสิ่งใดที่ข้าน้อยจะตอบแทนให้ท่านได้บ้าง” จางโม่ลี่กำลังคำนับอีกฝ่ายแต่ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายยกมือห้ามไว้
จ้าวหยางหลงยกมุมปากยิ้มนิดๆ มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “ฮึฮึ…นางก็ยังคงเป็นนางเช่นเดิมไม่ว่าที่นี่หรือที่นางจากมา นางช่างน่ารักนัก” บรรดาเงาที่แฝงตัวอยู่อ้าปากค้างด้วยไม่เคยเห็นมุมนี้ของท่านประมุขเลยสักครั้ง จนต้องพากันหันมองว่าที่นายหญิงในอนาคตด้วยสายตานับถือจากใจ
“ข้ามีนามว่าจ้าวหยางหลง เรียกข้าว่าพี่หลงก็ได้” หยางหลงบอกนามของตนให้อีกฝ่ายรับทราบ
“เอ่อ…จะดีหรือเจ้าคะ” โม่ลี่เริ่มสับสนกับบุรุษตรงหน้าเพราะนางและเขาเพิ่งจะรู้จักกัน มิได้สนิทสนมรู้จักกันมาก่อนไม่
“ดีสิ ข้าอนุญาต ข้าจะเรียกเจ้าว่าลี่เอ๋อร์แล้วกัน” เสียง “ตุ๊บ” ดังขึ้นทันที เรียกสายตาสนใจของนางให้เพ่งมองที่มาของเสียง
“เสียงอะไรหรือเจ้าคะ” โม่ลี่ถามอย่างตกใจทั้งผวาจับอาภรณ์ชายหนุ่มด้านหลังไว้แน่น กลัวว่าพวกนั้นจะกลับมาอีก
“ไม่ต้องสนใจหรอก พี่ว่าคงเป็นพวกหมาแมวหรือไม่ก็ลิงไม่กลัวตายวิ่งซุกซนอยู่แถวนี้” หยางหลงเสียงเย็น แทนตัวเองว่าพี่อย่างแนบเนียน ดวงตาคู่คมมองฝ่าความมืดไปยังต้นเสียง บรรดาเงาต่างเหงื่อตกพลางเหลือบมองสหายที่นอนแผ่อยู่ด้านล่างอย่างฝากไว้ก่อน
“รีบไปเถิดลี่เอ๋อร์พี่จะเดินไปส่ง” แต่ก่อนที่จะเดินออกไปจ้างหยางหลงนำมีดพกของตนเฉือนเข้าบริเวณต้นแขนตนเองในระหว่างที่นางหันหลังให้ “โอ๊ย…” เล่นเอาบรรดาเงาตาค้างอีกรอบปากอ้าพะงาบๆๆ แต่มือยังเหนี่ยวยึดกับต้นไม้ไว้แน่น
โม่ลี่รีบหันกลับมาตามเสียงครางที่ออกมาจากบุรุษด้านหลังก็ต้องตกใจที่เห็นเขาบาดเจ็บมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล
“ท่านบาดเจ็บ เหตุใดจึงไม่บอกข้าเจ้าคะ” โม่ลี่อารามตกใจรีบเร่งเท้าไปหาเขาทันที
“เจ้าเรียกพี่ว่าอันใดนะ” หยางหลงถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“เอ่อ…พี่หลงบาดเจ็บเหตุใดมิบอกข้าเจ้าคะ” โมลี่รู้สึกตามอารมณ์คนตรงหน้าไม่ทัน ทั้งรู้สึกกระดากอายที่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าพี่
“พี่ก็เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อตอนขยับลุกเมื่อครู่” หยางหลงเอ่ยอย่างอารมณ์ดีที่อีกฝ่ายเรียกตนอย่างที่เขาปรารถนาจะได้ยิน
“พี่หลงเดินไหวหรือไม่เจ้าคะ บ้านข้าไม่ไกลจากที่นี่มากนัก”
“พอไหวเจ้านำทางเถอะ” หยางหลงเอ่ย
ทั้งคู่จึงพากันเดินออกไปแต่บรรดาเงาที่ยังเหลืออยู่ต่างงุนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ “อันใดคือได้รับบาดเจ็บ อันใดคือเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อครู่” ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าท่านประมุขเป็นคนทำร้ายตัวเองชัดๆ และไหนจะเสียงอ่อนเสียงหวานที่ชวนให้คลื่นเหียนอาเจียนชวนขนลุกนั้นอีกมันเกิดอันใดขึ้นกับท่านประมุข
“ลี่เอ๋อร์เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ไยเจ้าถึงได้กลับมืดค่ำเช่นนี้ นี่ตากำลังจะไปตามเจ้ากลับบ้าน และ…แล้วบุรุษท่านนี้คือ” หลี่เจี้ยนกำลังจะออกจากกระท่อมเพื่อไปรับนางหลังจากที่ภรรยาคู่ใจหลับไปแล้ว แต่หลานสาวกลับมาก่อนจึงไต่ถามด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่จะสังเกตว่ามีบุรุษสวมหน้ากากให้เห็นเพียงครึ่งหน้า แต่ทว่าใบหน้าที่ไร้ซึ่งหน้ากากปดปิดออกจะซีดเซียวเดินตามหลังนางมา
“ท่านตาอย่าเพิ่งถามอันใดหลานเลย รีบช่วยพี่หลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” โม่ลี่เอ่ยอย่างเร่งรีบ
“พะ…พะ…พี่หลง” จางหลี่เจี้ยนเอ่ยตกใจหันไปหาหลานสาวเสียจนคอแทบเคล็ด เหตุใดหลานสาวคนงามถึงเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม
“เจ้าค่ะท่านตา พี่หลงเลือดออกเยอะมากเลยทำแผลก่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวหลานจะเล่าให้ฟัง”
“อืม…” ท่านตาทำแผลให้กับบุรุษตรงหน้าที่นั่งหน้าซีดเผือด ระหว่างทำแผลก็มองสลับกับบุรุษรูปงามกับหลานสาวของเขาที่กำลังเล่าเหตุการณ์ที่เกินขึ้น
“แผลท่านค่อนข้างลึกและเสียเลือดมาก จำเป็นต้องพักผ่อนหากท่านไม่รังเกียจกระท่อมเก่าๆ หลังนี้ ข้าก็ขอเชิญท่านพักรักษาบาดแผลสักสองสามวัน” หลี่เจี้ยนเอ่ย
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา”
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น เป็นข้าเสียอีกที่ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหลานสาวของตายายแก่ๆ เช่นพวกเราไว้ มิเช่นนั้นแล้วไม่รู้ยัยหนูจะพบเจอกับอะไรบ้าง” จางหลี่เจี้ยนขอบคุณชายตรงหน้าอย่างจริงใจ
“เฮ้อ…เป็นเวรเป็นกรรมอันใดของนางกัน เกิดมาเป็นกำพร้ามิมีบิดามารดาก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังมีคนหวังปองร้ายอีก” หลี่เจี้ยนถอนหายใจให้กับโชคชะตาของนาง
โม่ลี่หลังจากที่เห็นท่านตาทำแผลเสร็จ นางก็ขออนุญาตออกมาจัดแจงเครื่องนอนเพื่อให้ชายหนุ่มได้พักอาศัยในระหว่างที่รักษาอาการบาดเจ็บ และออกไปทำข้าวต้มหมูสับร้อนๆ และต้มยาบำรุงตามที่ท่านตาสั่ง
“ขออนุญาตเจ้าค่ะ พี่หลงทานข้าวต้มร้อนๆ ก่อนทานยานะเจ้าคะ”
“ขอบใจเจ้ามากลี่เอ๋อร์” หลังจากฟังคำพูดเรียกขานอีกฝ่ายของคนทั้งคู่หลี่เจี้ยนถึงกับคิ้วกระตุก เหตุใดหลานเขาถึงได้เรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมแถมบุรุษผู้นี้ยังพึงพอใจมิน้อยถึงขนาดเรียกหลานสาวของเขาว่าลี่เอ๋อร์อีก
จางหลี่เจี้ยนสำรวจคนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนอีกครา บุรุษผู้นี้มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา นัยน์ตารัตติกาลคู่นั้นล้ำลึกจนเกินจะคาดเดาอีกทั้งนามของเขาก็คุ้นหูยิ่งแต่นึกเท่าไรก็นึกมิออกจนคร้านจะใส่ใจ
“ลี่เอ๋อร์เจ้าดูแลเขาแทนตาด้วย ร่างกายสังขารนับวันยิ่งไม่เหมือนเก่านั่งนานๆ ก็พาลจะปวดเมื่อยเอาคงต้องไปพักเสียหน่อย” หลี่เจี้ยนเอ่ยฝากฝังอีกฝ่ายกับหลานสาว ใจจริงมิได้อยากปล่อยคนทั้งคู่อยู่กันตามลำพังเช่นนี้ แต่ตอนนี้อาการปวดร้าวตามแผ่นหลังกลับมาเล่นงานเข้าเสียแล้วจะฝืนอยู่ก็คงไม่ไหว หลังจากที่ดูท่าทีของชายหนุ่มก็มิมีอันใดให้กังวลใจนักอย่างไรเสียเขาก็เป็นคนช่วยนางเอาไว้
“เจ้าค่ะท่านตา เดี๋ยวอีกสักพักหลานจะตามเข้าไปเจ้าค่ะ”
“อืม” ชายชรารับคำสั้นๆ ก่อนจะหันหลังกลับเรือนนอนของตนกับภรรยา จ้าวหยางหลงมองตามชายชราไปก่อนที่จะหันหน้ามองนางอีกครั้งทั้งยังมองข้าวต้มที่นางยกมาเพียงถ้วยเดียว
“เจ้าไม่หิวรึลี่เอ๋อร์”
“ข้าทานมาก่อนแล้วเจ้าค่ะ พี่หลงรีบทานเถิดเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“ได้ข้าจะทานให้หมดเลยละ” จ้าวหยางหลงก็ทานข้าวต้มที่นางยกมาจนหมดเกลี้ยงเอ่ยชมนางไม่ขาดปากว่ารสชาติอร่อยยิ่ง ก่อนที่จะดื่มยาบำรุงที่นางนำมาให้
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยนางก็เดินนำไปยังเรือนนอนของตน ก่อนที่จะให้ชายหนุ่มได้พักผ่อนร่างกาย โดยไม่ลืมกำชับว่าหากกลางดึกรู้สึกป่วยไข้ก็ไปเรียกนางได้ที่เรือนนอนของท่านตาท่านยายและเดินออกมาปิดประตูเพื่อให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน
หลังจากที่จางโม่ลี่ออกไปแล้วเขาก็เดินสำรวจรอบห้องภายในห้องเล็กคับแคบหาได้มีของประดับตกแต่งห้องมากนักมีเพียงแค่โต๊ะเก้าอี้เล็กหนึ่งชุด ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโม่ลี่กระจายวนเวียนอยู่ทั่วทั้งห้องพาให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายหลังจากใช้วิชาตัวเบารีบเร่งมามิได้หยุดพัก เขามองไปยังเตียงเล็กที่มีฟูกสีขาวปูอยู่ก่อนจะนำพาตนเองนอนราบไปกับที่นอนจนได้กลิ่นเจ้าของเรือนนอนหลังนี้ น่าแปลกนักเมื่อเข้าใกล้นางมากเท่าไรกลิ่นกายหอมหวานก็ชัดเจนขึ้นมาก มันมิได้ฉุนดั่งสตรีทั่วไปทั้งที่เอวนางก็มิได้มีถุงหอมผูกไว้เช่นสตรีนางอื่น “โม่ลี่หรือนามนี้เหมาะกับนางยิ่งนัก” จ้าวหยางหลงคิดในใจ ยังไงซะคืนนี้เขาไม่ต้องกระทำเยี่ยงโจรเด็ดบุปผาแล้วจากที่คิดจะมาดูหน้านางเพื่อความแน่ใจว่าใช่นางหรือไม่ กลับเกิดเหตุขึ้นเสียก่อนแผนที่วางไว้เลยต้องพับเก็บ ทั้งยังต้องสร้างสถานการณ์บาดเจ็บเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้นางแผลแค่นี้คุ้มยิ่งนัก ก่อนจะผล่อยหลับไปอย่างสบาย
บรรดาเงาที่แฝงตัวอารักขาผู้เป็นประมุขและว่าที่นายหญิงก็ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แต่กระนั้นสีหน้าของแต่ละคนกับแสดงออกแตกต่างกันออกไปทั้งมึนงง สับสน ตกตะลึงกับสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าในชีวิตนี้พวกเขาจะได้เห็นมุมที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน บุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเหี้ยมโหดที่สุดในใต้หล้า ทั้งเย็นชามิสนใจสิ่งใดมิชอบพูดจาถ้าไม่จำเป็นจะเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ต่อหน้าว่าที่นายหญิงช่างเป็นบุญตาของพวกเขายิ่งนัก