ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 7
สองเดือนผ่านไปหลังจากที่นางเริ่มทำขนมขายให้บรรดาชาวบ้านและขบวนพ่อค้าที่ผ่านมาได้ลองชิม หลังจากวันนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของนางและท่านตาท่านยายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านตาท่านยายดูมีความสุขกับการที่ช่วยนางทำนู่นนี่นั้นไปเรื่อย กิจการเล็กๆ จากร้านแผงลอยข้างถนนกลายเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่พอจะสามารถมาทำขนมที่ร้านได้สะดวกกว่าเมื่อก่อนที่ต้องแบกขนหม้อขนมจากกระท่อมที่พักอาศัย
ขนมของนางเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นจากปากต่อปากของลูกค้าที่มาลองชิมและซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่จวนหรือขบวนเดินทาง แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่สบายใจนักเพราะสตรีที่นางเคยพบเป็นคนเดียวกันกับที่กล่าวหาว่านางไร้ยางอายที่ยั่วยวนท่านแม่ทัพเมื่อสองเดือนก่อนมารู้ทีหลังว่าเป็นบุตรีของหัวหน้าหมู่บ้าน
สตรีนางนั้นมักจะสร้างเรื่องวุ่นวายให้นางอยู่เสมอครั้งนั้นก็จ้างนักเลงมาพังแผงขนมจนได้รับความเสียหาย จนรู้ไปถึงหูอวี้จิ้นอันต้องมารับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายและขอโทษขอโพยท่านตาอยู่ยกใหญ่ ครั้งที่สองหลังจากที่มีข่าวว่านางออกเรือนกับชายหนุ่มที่นางพึงพอใจตามที่ชาวบ้านพูดกันปากต่อปากก็ยังไม่วายส่งคนมาสร้างข่าวลือว่าเขามาซื้อขนมร้านนางแล้วเกิดท้องเสียอย่างรุนแรงทำให้มีผลกระทบกับร้านของนางไม่น้อยดีที่ท่านตามีความรู้เรื่องสมุนไพรสามารถทำให้เรื่องราวคลี่คลายไปได้ด้วยดี แต่นี่แม่นางเงียบไปราวสองเดือนแล้วมิได้มาวุ่นวายกับนางไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก อยากรู้เหลือเกินว่าตัวเองไปทำอะไรให้นางไม่พอใจกัน
พรรคมังกรทมิฬ
ซิ่นลู่ใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเดินทางด้วยวิชาตัวเบาโดยไม่คิดจะหยุดพักรีบเร่งเดินทางกลับพรรคมังกรทมิฬเพื่อรายงานต่อท่านประมุขว่าพบว่าที่นายหญิงแล้ว จนในที่สุดเขามาหยุดที่หน้าประตูบานใหญ่สีดำก่อนจะรีบเร้นกายหายเข้าไปเข้าพบนายเหนือหัว
จ้าวหยางหลงประมุขพรรคหันหลังมองดวงจันทร์ยามค่ำคืน ยามนี้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากบรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือก เงาทำหน้าที่สืบหาตัวนางล่าช้านักสามเดือนแล้วที่เขาเฝ้ารอข่าวของนางแต่ก็ไร้วี่แวว“หรือว่าสิ่งที่เขาเห็นในฝันจะไม่ใช่เรื่องจริง ไม่สิมันต้องเป็นความจริงเช่นนั้นฟ้าดินคงมิให้ข้าพบเห็นนางอีกครา”เขาคิดในใจ ก่อนจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้
“ว่ามา!!”เสียงเข้มทรงอำนาจเอ่ยทันทีที่รู้ว่าเป็นผู้ใดบรรยากาศกดดันจนผู้มาใหม่เหงื่อตก
“รายงานท่านประมุข ข้าน้อยซิ่นลู่และซิ่นสือพบว่าที่นายหญิงแล้วขอรับ” ซิ่นลู่รีบรายงานทันทีเมื่อผู้เป็นนายอนุญาต
ดวงตาคมวาวขึ้นอย่างยินดีอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำราวกับจะหลุดออกมาเสียให้ได้ เมื่อได้รับข่าวดีจากเงาที่ให้ไปสืบหานาง ใบหน้าคมสันหล่อเหลาดั่งชายชาตรีเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อีกคราบรรยากาศภายในห้องคลายความกดดันที่เกิดจากร่างที่ยืนหันหลังให้กับผู้มาใหม่
“เจ้าแน่ใจนะว่ามิผิดตัว”จ้าวหยางหลงถามเพื่อความแน่ใจ
“เอ่อ…” ซิ่นลู่ชะงักมิกล้าตอบเพราะเขามิได้เห็นสตรีนางนั้น แต่เป็นสหายของเขาที่เป็นคนพบนาง “ให้ตายเถอะ ไยต้องเป็นข้าที่ต้องมาพบท่านประมุขกัน” ซิ่นลู่โอดครวญในใจ
“ข้าถามไยเจ้าไม่ตอบ!!!…” หยางหลงรอฟังรายงานใจจดจ่อแต่กับพบความอึกอัก จึงหันมาเผชิญหน้ากับเงาที่นั่งก้มหน้าชันขาข้างหนึ่งลงพื้น ดวงตาดำมืดบรรยากาศตึงเครียดกดดัน
“ขออภัยท่านประมุข ซิ่นสือเป็นผู้บอกกับข้าน้อยว่าพบนายหญิงแน่นอนมิผิดตัวแน่ขอรับ” ซิ่นลู่รีบรายงานทันที
“พวกเจ้าพบนางที่ใด”
“หมู่บ้านอวี้ฟงขอรับ ซิ่นสือทำหน้าที่คุ้มครองว่าที่นายหญิงตามคำสั่งท่านประมุขขอรับ”
“อืม…ข้าจะไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าใช่นางหรือไม่ หากมิใช่นางพวกเจ้าสองคนเตรียมรับโทษทัณฑ์ได้เลย บ่อร้อยอสรพิษมิค่อยได้ใช้งานเท่าใด เห็นทีคราวนี้ข้าอาจต้องไปเยี่ยมเยียนพวกมันพร้อมกับอาหารชิ้นโตเสียหน่อยแล้ว” หยางหลงกล่าวเสียงเหี้ยม
“ขะ…ขอรับ” ซิ่นลู่แทบจะกระอักเลือดออกมาจากบรรยากาศกดดันเสียให้ได้ แต่ที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกขนชันออกมาไม่ได้ก็เมื่อได้ยินบ่อร้อยอสรพิษ ขึ้นชื่อว่าอสรพิษจะเป็นอะไรได้หากไม่ใช่งูพิษหลายร้อยชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในหลุมบ่อขนาดใหญ่ หากใครตกลงไปก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา“ซิ่นสือเจ้าสหายสารเลวไยเจ้าถึงไม่มารายงานเองเล่า ข้ากลัวท่านประมุขจะแย่อยู่แล้วเจ้ารู้หรือไม่” ซิ่นลู่โอดครวญในใจอีกครั้ง
“เจ้าจงอยู่ที่นี่ดูแลความเรียบร้อยในพรรคแทนข้าระยะหนึ่ง มีอะไรก็ส่งนกพิราบสื่อสารมาแจ้งข้า”
“ขอรับท่านประมุข”
จ้าวหยางหลงเดินไปหยิบหน้ากากสีดำสลักลวดลายมังกรสีทองขึ้นใส่ปิดบังใบหน้าด้านขวา ก่อนจะทะยานตัวออกไปราวสายลมทิ้งให้ซิ่นลู่ที่ตอนนี้นั่งแมะลงกับพื้นอย่างน่าเวทนา
ซิ่นสือคอยดูแลคุ้มครองว่าที่นายหญิงอยู่ห่างๆ บางครั้งแฝงตัวปะปนอยู่ชาวบ้านและขบวนพ่อค้าที่มายืนรอซื้อขนม เขานั้นได้ลิ้มลองขนมนายหญิงแล้วรสชาติเป็นเลิศในใต้หล้าจริงๆ
ย้อนกลับไปเมื่อวานหลังจากที่แยกกับซิ่นลู่ชายหนุ่มผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สีดำสนิทเป็นชุดที่เหมือนกับบรรดาชาวบ้านเพื่อลองชิมฝีมือว่าที่นายหญิงว่ารสชาติและความแปลกแต่สวยงามจะเหมือนอย่างที่ชาวบ้านร่ำลือหรือไม่ จนเขาถึงคิวของเขาๆ เลือกที่จะซื้อขนมทุกอย่างที่อยู่ภายในร้านในทั้งหมดเพราะถือว่าอุดหนุนที่ว่าที่นายหญิงเขาอยากให้นางกลับไปพักผ่อนดูแลตนเองรอท่านประมุขปรากฏตัว สาเหตุเพราะอะไรนะเหรอก็ “ไอ้พวกบุรุษน่าตาย” พวกนี้นะสิ ทำเขาคันมือคันไม้อยากจะบั่นคอมันเสียให้ได้ขนาดว่าที่นายหญิงปิดบังใบหน้าพวกมันยังจ้องกันตาเป็นมันน่าเอานิ้วควักลูกตานัก
“มิทราบว่าคุณชายซื้อขนมจำนวนมากไปทำไมเจ้าคะ” โม่ลี่ถามอย่างสงสัย
“เอ่อ…ข้าชอบทานขนมหวานมากนะขอรับ” ซิ่นสือเอ่ยตอบด้วยไม่คิดว่านางจะถาม
“ข้ามิเคยเห็นคุณชายมาก่อน ท่านมาจากขบวนพ่อค้ารึเจ้าคะ”
“มิใช่ๆ ข้าเดินทางมาคนเดียวเพื่อจะไปเมืองหลวงระหว่างทางข้าเลยเข้าพักที่โรงเตี๊ยมนะขอรับ”
“เจ้าค่ะ…ข้าขออภัยด้วยที่ขายขนมให้ท่านทั้งหมดไม่ได้ หนึ่งเพราะท่านเดินทางมาคนเดียวคงทานไม่หมดเหลือทิ้งเสียเปล่าเป็นการเสียทรัพย์โดยใช้เหตุอันควร และอีกอย่างผู้อื่นจะได้ซื้อไปฝากคนในครอบครัวได้ไม่เหลือทิ้ง สองทานขนมหวานมากไปก็ไม่ดีนะเจ้าคะทำให้เสียสุขภาพด้วย” โม่ลี่เอ่ยอย่างมีเหตุผล
“ขออภัยแม่นางข้ามิทันได้คิด เอาเป็นว่าข้าเอาทุกอย่างเหมือนเดิมเอาอย่างละ 5 อีแปะ” ซิ่นสือตอบ “โธ่!!…นายหญิงข้าไม่กลัวเสียทรัพย์ แต่ที่ข้ากลัวคือท่านประมุข หากนายท่านมาเห็นบุรุษจ้องมองว่าที่นายหญิงของเขาด้วยสายตาหวานเชื่อมแบบนี้ ข้าต้องตายแน่ๆ ที่บกพร่องต่อคำสั่งห้ามให้บุรุษเข้าใกล้นางเกินสิบก้าวแต่นี่….” ซิ่นสือได้แต่คิดในใจ หางตาเหลือบมองบุรุษรอบด้านอย่างแค้นเคือง
“ได้เจ้าค่ะ” โม่ลี่ยิ้มรับก่อนจะตักขนมให้คุณชายด้านหน้าก่อนที่เขาจะหันหลังเดินจากไปโรงเตี๊ยม
ณ. ปัจจุบัน ซิ่นสือนั่งอยู่บนโรงเตี๊ยมเฝ้านายหญิงอยู่ห่างๆ พลางคิดในใจหลังจากที่ซิ่นลู่แจ้งว่าท่านประมุขออกเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานคาดว่าท่านประมุขน่าจะมาถึงวันนี้แต่ไม่รู้ว่ายามใด
“ลี่เอ๋อร์วันนี้ยายกับตากลับบ้านก่อนนะ”
“ท่านตาท่านยายเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ ต้องตามหมอมาหรือไม่” โม่ลี่ละจากงานตรงหน้าทันทีที่ได้ยินท่านตากล่าว
“ตากับยายมิได้เป็นอันใดหรอกไม่ต้องตามหมอ เพียงรู้สึกปวดเมื่อยเท่านั้น”จางหลี้เจี้ยนบอกให้หลานสาวคลายกังวล
“ท่านตาท่านยายไปพักเถิดเจ้าค่ะ หลานอยู่ขายขนมอีกสักพักก็คงกลับเหมือนกันเจ้าค่ะ”
“อย่าเกินปลายยามเซิน (15.00-16.59 น.) เดี๋ยวจะถึงบ้านมืดค่ำเสียก่อน มันอันตรายนะลี่เอ๋อร์” จางเจียวฉือกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าค่ะท่านตาท่านยาย” หลังจากโม่ลี่รับคำทั้งสองตายายก็เดินทางกลับบ้าน
มีใครบางคนบังเอิญได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสามที่พูดคุยกัน ดวงตาที่เต็มไปแล้วแรงโทสะ ความแค้นฝังแน่นในจิตใจที่มันทำไว้กับนางจะได้สะสางกันเสียที หากมิใช่มันท่านแม่ทัพคงรักข้า หากมิใช่มันข้าคงมิต้องใช้วิธีสกปรกเช่นนั้น และหากมิใช่มันข้าคงได้แต่งเป็นฮูหยินเอกหรือไม่ก็ฮูหยินรองให้ท่านแม่ทัพไปแล้ว มิใช่มาแต่งกับอดีตบ่าวไพร่ในเรือนตนเองเช่นนี้ อวี้ซูฮวาได้แต่กล่าวโทษสตรีอีกนางในใจ โดยไม่นึกถึงการกระทำขอตนที่ผ่านมา โดยไม่รู้เลยว่าครั้งนี้นางได้พาตนเองไปสู่ความตายอย่างทรมาน ก่อนรีบตรงไปยังสถานที่หนึ่งที่ไม่ไกลมากนักนางได้ว่าจ้างคนกลุ่มหนึ่งไว้ด้วยเงินจำนวนมากและนี้เป็นโอกาสดีที่นางจะได้ทำตามแผนเสียที
“พวกเจ้าต้องทำให้นางอยู่มิสู้ตาย เสพสมจนพวกเจ้าพอใจ หลังจากนั้นทำลายโฉมหน้าของนางเสีย อย่าให้ออกมาสู้หน้าผู้คนได้อีกเลยยิ่งดี ฮ่าฮ่า…” อวี้ซูฮวาเอ่ยอย่างสะใจคิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“รับรอง ข้าจะทำงานให้คุ้มกับเงินที่เจ้าจ่ายมาอย่างงามเลยละ” เสียงบุรุษหนึ่งในห้าเอ่ยอย่างหื่นกระหาย“สตรีก็เหมือนดอกไม้มีพิษ ความอิจฉาริษยาของสตรีไม่ว่าจะสูงส่งเช่นไรก็มีให้เห็นอยู่ทุกเมื่อ ซ้ำสตรีพวกนี้บางคราช่างน่ากลัวนักขนาดว่าจ้างทำลายศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายและฆ่าให้ตายทั้งเป็น” แต่เขาก็หาสนใจไม่ งานที่ได้ทั้งเงินและความสุขเช่นนี้เขากลับชื่นชอบนัก
“ดีๆๆ ฮ่าฮ่า…ข้าจะคอยฟังข่าวดีจากพวกเจ้า” อี้ซูฮวาหัวเราะสะใจก่อนจะเดินออกจากที่นั่น
จางโม่ลี่กำลังเก็บข้าวของภายในร้านจนเรียบร้อยก่อนจะเงยหน้ามาฟ้าที่เริ่มมืด จึงรู้สึกตัวว่านางทำงานเพลินจนลืมดูเวลา ก่อนจะปิดประตูรีบก้าวเท้ากลับกระท่อมที่มีท่านตาท่านยายรออยู่ ป่านนี้คงเป็นห่วงนางแย่แล้วโดยไม่รู้ตัวเลยว่าวันนี้ชีวิตนางจะผันเปลี่ยนไปตลอดกาล
“โอ๊ยมาปวดหนักอะไรตอนนี้วะ” ซิ่นสือเอ่ยอย่างโมโหตัวเองที่ดันปวดหนักตอนนี้ ก่อนจะมองนายหญิงที่เดินทางกลับกระท่อม
“ซี๊ด!!… ข้าไปถ่ายหนักเสียก่อนดีหรือไม่ คงมิมีอันใดหรอกมั้งประเดี๋ยวค่อยตามไป” ซิ่นสือถามตนเองก่อนรีบวิ่งไปทำธุระส่วนตัว โดยเขาไม่เห็นบุรุษห้าคนสะกดรอยตามนางไป
จางโม่ลี่เดินออกมาได้สักพักก็รู้สึกถึงความผิดปกติเหมือนมีคนตามนางมา จึงหยุดเดินหันไปทางทิศทางที่ตนเองรู้สึกก็ไม่พบสิ่งใดผิดสังเกต แต่ในวินาทีที่หน้าหันกลับไปเพื่อจะเดินทางต่อก็พบเข้ากับบุรุษรูปร่างใหญ่ห้าคนยืนดักอยู่ด้านหน้า จนนางต้องก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ
“จะรีบไปไหนรึแม่นาง” หนึ่งในห้าถามนางด้วยสายตาโลมเลีย
“ขะ…ข้ากำลังจะกลับบ้านรบกวนพี่ชายหลบทางให้ได้หรือไม่เจ้าคะ” โม่ลี่พยายามข่มความกลัวในใจ
“แม่นางพวกข้านั่นมิอยากได้น้องสาว แต่อยากได้เมียสักคนเจ้าเห็นว่าเช่นไร”บุรุษคนเดิมเป็นผู้ตอบและเดินก้าวเข้าหานางด้วยสายตาหื่นกระหาย
จางโม่ลี่เห็นท่าไม่ดีจึงหันหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งหนี แต่ทว่ามือหนาขว้างเข้าที่ข้อแขนบาง แล้วดึงกระชากผ้าปิดหน้าออกทำให้พวกมันเห็นรูปโฉมที่แท้จริงจนอดตะลึงมิได้
“โอ้!!!…มิน่าเชื่อว่าข้าจะมีเมียทั้งทีกลับสวยราวเทพเซียนเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงไปขัดตาผู้อื่น”
“ใช่ลูกพี่…เร็วๆ เข้าเถิด พวกข้าอยากจะเสพสมกับนางจะแย่แล้ว ในชีวิตข้ามิเคยเห็นใครงามเท่านางมาก่อน” บรรดาลูกน้องของชายที่จับข้อมือบางต่างพูดขึ้นสายตาโลมเลียไปทั่วใบหน้า
จางโม่ลี่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือดดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตาไหลนอง ทั้งพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนอันโสโครกทั้งกลิ่นตัวเหม็นสาบ ปากร้องเรียนผู้คนให้ช่วยเหลืออยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล สองมือตบเข้ากับใบหน้าของมันอย่างแรงจนชายหนุ่มกักขฬะเกิดโทสะเงื้อมือหวังตบหญิงสาวตรงหน้า
“ฉัวะ…” เสียงบางอย่างดังขึ้นตามมาด้วยเสียงร้องเหมือนหมาถูกเฉือดที่ตอนนี้กุมมือที่ขาดของตนเอง
“จะ…เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาทำร้ายข้า” ชายบาดเจ็บเอ่ยถามด้วยความแค้น โดยไม่รู้เลยว่าประตูนรกกำลังเปิดรอมันแต่กว่าจะถึงประตูนรกวิญญาณมันก็แทบจะสลายเสียให้ได้
ดวงตาทมิฬดำมืดมองบุรุษทั้งห้าอย่างลุแก่โทสะเกินจะระงับไฟแค้นในอกที่กำลังแผดเผาไปทั้งใจ ระหว่างกำลังเร่งเดินทาง เขาได้ยินเสียงสตรีร้องขอความช่วยเหลือโดยบังเอิญทั้งรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงเปลี่ยนเส้นทางย้อนกลับไปดูเขาก็พบกับบุรุษทั้งห้าคนกำลังพูดจากโลมเลียสตรี โดยมีชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากำลังยื้อยุดฉุดกระชากผ้าปิดหน้าของสตรีนางนั้น
แสงนวลจากดวงจันทร์ส่องสว่างทำให้เขาตกตะลึง สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำเขาแข็งค้างทันที สตรีที่เขาให้เงาเที่ยวออกตามหาแรมเดือน ตอนนี้นางอยู่ที่นี่ตรงหน้าเขา แต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เส้นเลือดภายในกายเดือดพล่าน เมื่อรู้ว่าพวกมันคิดจะทำอันใดกับนาง ถ้าเขาไม่บังเอิญผ่านมาได้ยินเสียงนางแล้วย้อนกลับมาไม่แคล้วคงโดนพวกมันกระทำย่ำยี
ตอนนี้เขาจำต้องระงับโทสะที่มีด้วยกลัวว่านางจะตื่นตกใจกับแรงโทสะของเขาที่มีอยู่ตอนนี้ จ้าวหยางหลงไม่ได้ใส่ใจจะตอบพวกมัน เขาช้อนตัวนางขึ้นอย่างอ่อนโยน นางที่เขาคะนึงหามาตลอดหลายปีก่อนจะใช้วิชาตัวเบาพานางไปนั่งพักหลังต้นไม้ใหญ่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุนัก
ความรู้สึกอบอุ่นเกิดขึ้นในใจของโม่ลี่อย่างไม่รู้ตัวทั้งรู้สึกปลอดภัยกลิ่นกายอ่อนๆ ของเขา ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่นางมิกล้าแม้กระทั่งมองใบหน้าผู้มีพระคุณที่มาช่วยนาง เพราะตอนนี้นางกลัวและขวัญเสียอย่างมาก ด้วยทั้งชีวิตทั้งภพที่แล้วและภพนี้ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางกลัวเสียจนห้ามกายที่กำลังสั่นเทาไม่อยู่
“แม่นางไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก เจ้ารอข้าที่นี่สักครู่ได้หรือไม่” จ้าวหยางหลงเอ่ยเสียงนุ่มปลอบโยน พลางถอดเสื้อคลุมสีดำคลุมให้นางแทน
“ดะ…ได้เจ้าค่ะ” โม่ลี่เอ่ยเสียงสั่น
“หันหลังพิงต้นไม้หลับตา และปิดหูเสียให้แน่นเจ้าทำได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ” โม่ลี่ทำตามที่ชายผู้มีพระคุณของนางทันทีที่เขากล่าวจบ
จ้าวหยางหลงเห็นดังนั้นก็ให้ยกยิ้มมุมปากไปจนถึงดวงตานางช่างน่ารักนัก ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนไปเป็นความโหดเหี้ยมชนิดที่มิเคยมีผู้ใดเห็นตัวตนด้านนี้มาก่อนแม้กระทั่งเงา สิ่งที่ผู้คนร่ำลือกันว่าเขาโหดเหี้ยมเลือดเย็น แต่นั่นมันไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำกับตัวตนอีกด้านของเขา