ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 6
ณ. หุบเขาทมิฬห่างไกลจากเมืองหลวงแคว้นเฟิงแม้จะอยู่ในเขตพื้นที่ของแคว้นเฟิงก็ตาม แต่มิมีผู้ใดกล้าบุกรุกเข้าไปภายในหุบเขาด้วยเป็นที่ตั้งของพรรคมังกรทมิฬด้วยกลัวประมุขพรรคที่ขึ้นชื่อเรื่องโหดร้ายไร้เมตตา แม้กระทั่งฮ่องเต้ของแคว้นยังยำเกรงถึงสามส่วนด้วยประมุขของพรรคมีวรยุทธ์เป็นหนึ่งในใต้หล้าหาผู้ใดเปรียบ แต่ก็ยังมีพวกริอาจลองดีอย่างเช่นขุนนางบางรายที่หมั่นเพียรส่งบุตรีหวังมัดใจเจ้าของหุบเขา เพราะหากสำเร็จแล้วไซร้อำนาจมากมายจะอยู่ที่ใดได้หากมิใช่พวกเขา แต่ยังมิทันเข้าภายในหุบเขาก็เป็นอันกระจัดกระเจิงกันเสียทุกราย
เฮือก!!! ภายในห้องนอนชายหนุ่มรูปงามคิ้วหนาได้รูปดุจกระบี่ ดวงตาคมกล้าริมฝีปากไม่หนาไม่บางเกินไป จมูกโด่งรับกับใบหน้าหล่อเหลาเรือนร่างเต็มไปด้วยมัดกล้ามได้รูปสวยงามผิวพรรณขาวเนียนสะดุ้งตกใจตื่นจากฝัน ภายในห้วงฝันเขาเห็นสตรีคนเดียวกันกับเมื่อสามเดือนก่อนแต่ถึงจะดูอ่อนวัยกว่าแต่ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ยังคงเป็นสตรีคนเดียวกันกับที่เขาเฝ้าคิดถึงห่วงใยไม่สบายใจพานหงุดหงิดยิ่งนักที่มิรู้ว่าปานนี้นางจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้าง
นี่เป็นคืนแรกที่เขาฝันเห็นนางอีกครั้งหลังจากผ่านค่ำคืนนั้นมาแรมเดือน ความฝันครานี้ช่างแตกต่างจากทุกๆ ครั้งด้วยสถานที่อันคุ้นตาและอาภรณ์ที่นางสวมใส่ช่างเหมือนกับที่นี่นัก จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นนางความคิดสับสนปนเปไปหมดจนมิสามารถจะนอนได้อีกต่อไป จึงลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือกางกระดาษขาวเต็มโต๊ะก่อนจะจรดปลายพู่กันวาดภาพอิสตรีนางหนึ่ง
“ซิ่นลู่ ซิ่นสือ” หยางหลงเสียงเข้มเอ่ยสองนามของเงาจันทราผู้คอยทำหน้าที่องครักษ์
จ้าวหยางหลงมอบม้วนกระดาษขาวทั้งสั่งการเงาเสียงเข้ม นัยน์ตาคมกล้าบ่งบอกเป็นเชิงหากไม่สำเร็จห้ามกลับมาโดยเด็ดขาด เงาทั้งสองคลี่ม้วนกระดาษจนปรากฏภาพวาดสตรีงดงามประดุจเทพเซียนจำแลงมิปานสร้างความตกตะลึงให้กับเงาทั้งสองอย่างมาก ทั้งสองสบตากันโดยมิได้นัดหมายพลางคิดอย่างจนปัญญาว่า “นางเป็นคนธรรมดาเดินดินใช่หรือไม่”
“จงตามหาสตรีนางนี้ให้พบ ไม่ว่าหนทางจะลำบากเพียงใดพวกเจ้าต้องทำให้สำเร็จ เมื่อพบนางพวกเจ้าหนึ่งคนต้องรีบกลับมารายงานข้าโดยเร็วที่สุด ส่วนอีกคนทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองนางอย่างเงียบๆ ห้ามให้บุรุษใดเข้าใกล้นางเกิน สิบก้าวเข้าใจที่ข้าสั่งหรือไม่” เสียงเยียบเย็นแต่หนักแน่นช่วยให้หวาดผวายิ่ง
“ท่านประมุขข้าน้อยขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่านางคือผู้ใด” ซิ่นสือทำใจกล้าเอ่ยถามอย่างผิดวิสัยด้วยข้องใจท่านประมุขมิเคยสนใจใคร่ดีกับสตรีนัก
“หึหึ…นางคือว่าที่นายหญิงของพรรคมังกรทมิฬ ถ้าหายข้องใจก็ไปทำงานของพวกเจ้าได้แล้ว” จ้าวหยางหลงตอบ
“ขอรับท่านประมุข” เงาทั้งสองเอ่ยจบและพลิ้วกายหายไปในความมืด
ปลายยามเหมา (5.00-6.59 น.) สามชีวิต 2 บุรุษต่างวัย 1 สตรีรูปงามที่วันนี้ก็ยังปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีขาวผืนบาง ถึงแม้ว่านางจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเห็นแล้วให้ระคายผิวที่ขาวราวหยกเนื้อดี แต่เมื่อมองแล้วก็ไม่สามารถปิดบังรูปโฉมงดงามของนางไม่ เพราะในสายตาของบุรุษต่างวัยกลับมองว่านางก็ยังงดงามอยู่ดี ทั้งตาและโม่ลี่ต่างถือห่อผ้าที่บรรจุสิ่งต่างๆ ไว้ในนั้นอย่างถนอม ส่วนชายหนุ่มกำยำเป็นผู้ที่ถือหม้อขนมขนาดกลางไว้ในมือทั้งคอยระวังไม่ให้ของเหลวในนั้นหกลงพื้นขณะก้าวเดินไปยังตลาดตลอดทางโม่ลี่ออกอาการตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดสร้างรอยยิ้มเอ็นดูให้สองบุรุษยิ่งนัก
“ลี่เอ๋อร์…ไยเจ้าถึงได้ตื่นเต้นนัก”
“โธ่!!…ท่านตาอย่าเพิ่งตำหนิหลานเลยนะเจ้าคะ ก็หลานตื่นเต้นจริงๆ มิรู้ว่าขนมที่หลานทำจะถูกปากบรรดาชาวบ้าน และขบวนคาราวานที่ผ่านเส้นทางนี้หรือไม่นี่เจ้าคะ” โม่ลี่ออดอ้อนชายชรา
“ฮ่าฮ่า…หลานตาถึงเจ้าจะตื่นเต้นเพียงใด แต่เจ้าควรสำรวจกิริยาเสียบ้างเถิด เจ้าเป็นสตรีใครมาพบเห็นเข้ามันจะไม่งาม” หลี่เจี้ยนหัวเราะเอ่ยอย่างอารมณ์ดีทั้งเตือนหลานสวยถึงกิริยาที่ไม่เรียบร้อย
“เจ้าค่ะท่านตา” โม่ลี่ยิ้มถึงดวงตา
“แม่นางจาง ข้าเชื่อว่าขนมที่เจ้าทำต้องเป็นที่ถูกปากแน่นอน แต่ข้าไม่มั่นใจนักว่าจะมีคนกล้าซื้อหรือไม่ เพราะขนมของเจ้าแปลกใหม่ยิ่งนัก” หยงเป่าให้กำลังใจหญิงสาวแต่ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่แน่ใจบางอย่าง
“เรื่องนี้ไม่ยากเจ้าค่ะ ข้าคิดไว้แล้วประเดี๋ยวถึงตลาดข้าจะบอก”โม่ลี่ตอบและทิ้งปริศนาให้ชายทั้งสองงงงวย
ทั้งสามเมื่อมาถึงตลาดก็ต่างกันช่วยหยิบจับนั่นนู่นนี่ประดับร้านให้ดูน่าสนใจแตกต่างจากแผงร้านขนมอื่น ชาวบ้านที่พบเห็นต่างพากันมองด้วยความสนใจ ทั้งสามก็ยังเป็นลูกมือให้หญิงสาวไม่ห่าง
ยามเหม่า (5.00-6.59 น) ภายในจวนหัวหน้าหมู่บ้าน “กรี๊ดด!!…” มีเสียงสตรีคุ้นหูกรีดร้องออกมาจากเรือนรับรองที่ใช้ตอบรับแขกกิตติมศักดิ์
“กรี๊ดด!!…ออกไป๊!!…เหตุใดจึงเป็นเจ้า!!…” อวี้ซูฮวากรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อชายหนุ่มตรงหน้ามิชายคนที่ตนหมายปอง
เรียกให้ทุกคนที่กำลังหน้าที่ของตนรีบปล่อยมือจากงานตรงหน้าที่ทำอยู่ ต่างพากันวิ่งไปยังหน้าประตูเรือนรับรองแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดเข้าไปข้างในว่าเกิดอะไรขึ้น ฝีเท้าก้าวอย่างเร่งรีบของอวี้จิ้นอันและสาวรับใช้ส่วนตัวเจ้าของเสียงกรีดร้องวิ่งตรงมายังเป้าหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน
อวี้จิ้นอันกวาดตามองรอบบริเวณก่อนที่จะไล่บ่าวไพร่ 3-4 คนที่อยู่หน้าเรือนรับรองแยกกันไปทำงาน ยกเว้นเพียงเสี่ยวเหมาสาวใช้คนสนิทของบุตรี หลังจากที่ไล่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจนหมด อวี้จิ้นอันพยายามคุมสติอารมณ์ของตนก่อนจะใช้มือหนาที่กำลังสั่นเทากำบานประตูก่อนจะชากออกให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน
“ทะ…ท่านพ่อ…ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ มันข่มเหงลูก…ฮือ…ฮือ…”อวี้ซูฮวาร้องไห้อยู่บนเตียงพลางกำชับผ้าไว้แน่น
“มิใช่นะขอรับ เป็นคุณหนูที่มาดึงรั้งข้าไว้ตั้งแต่เมื่อคืน” บ่าวชายหน้าตาดีพูดขึ้นด้วยความสัตย์จริง
อวี้จิ้นอันกำหมัดแน่นพยายามควบคุมสติที่กำลังขาดผึงจ้องมองสภาพบุตรีและบ่าวที่ทำหน้าที่รับใช้ท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นคนที่เขาส่งมาเพื่อดูแลระหว่างที่พำนักอยู่ที่จวน เขามองจ้องบุตรีด้วยความเสียใจเหตุใดนางถึงเข้ามาอยู่ในห้องนี้ที่เป็นห้องรับรองแขก ขออย่าให้เป็นดั่งที่เขาคิดแต่แล้วดวงตาเจ้ากรรมก็สะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งที่ถูกว่าไว้ในที่ลับตา อวี้จิ้นอันหลับตาข่มโกรธความเสียใจ และรู้สึกผิดหวังในตัวบุตรีจนสองมือแกร่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดออกมา เมื่อตั้งสติได้เขาก็พูดสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่ามันทำให้บุตรีเจ็บช้ำน้ำใจ
“อวี้ซูฮวาอีกสามวันข้างหน้าข้าจะจัดงานมงคลให้เจ้า” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป ใครจะรับรู้บ้างกว่าที่เขาจะกล่าวคำที่ทำร้ายใจบุตรีออกไปหัวใจดวงนี้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่านางซะอีก
“มะ…ไม่…ไม่นะท่านทำแบบนี้ไม่ได้…ฮืออ…” อวี้ซูฮวาตะโกนเสียงดัง ใบหน้าซีดเผือดน้ำตาไหลนองหน้า
เสี่ยวเหมาได้แต่นั่งอยู่ด้านข้างคอยลูบหลังอย่างปลอบประโลมคุณหนูของตนพลางนึกเวทนาในใจ หากคุณหนูเชื่อนางสักนิดคงไม่เป็นเช่นนี้ นางคงโดนลูกหลงของธูปราคะไปด้วยจึงตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวังว่าคุณหนูคงต้องทำใจยอมรับชะตากรรมให้ได้ ส่วนนางอาจจะถูกทำโทษตามกฎของจวนเพราะสายตาเมื่อครู่ที่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมองมานางก็พอรู้ แต่ที่ท่านปล่อยนางไปก่อนคงเพราะอยากให้อยู่เป็นเพื่อนกับคุณหนูเป็นแน่นางคิดในใจ
ภายในตลาดตอนนี้มีเสียงหวานใสเอ่ยเรียกบรรดาผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของที่เริ่มมากขึ้นเพราะเริ่มมีขบวนคาราวานบรรทุกเกวียนเข้ามาภายในหมู่บ้านบ้างแล้ว
“เชิญเข้ามาเจ้าขนมหวานอร่อยๆ ลองชิมก่อนได้นะเจ้าคะ”
“ลี่เอ๋อร์…เราให้เขาลองชิมก่อนแบบนี้เราจะไม่ขาดทุนก่อนรึ” หลี่เจี้ยนสงสัย
“ไม่หรอกเจ้าค่ะท่านตา วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด และเป็นจุดขายที่ดีเพราะขนมที่หลานทำแปลกตาเป็นที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าซื้อกิน เราจึงต้องให้ลูกค้าลองชิมก่อนเจ้าค่ะ ถ้าถูกปากเขาอาจจะซื้อกลับบ้านก็เป็นได้”
“ก็จริงของเจ้าแม่นางจาง” หยงเป่าเห็นด้วย หากเป็นเขาเห็นขนมสีสันแปลกตาถึงจะสวยแต่คงไม่กล้ากินเป็นแน่
“อืม…” หลี่เจี้ยนครางรับ
ไม่นานก็เกิดเหตุชุลมุนเมื่อบรรดาลูกค้าและขบวนคาราวานที่ผ่านมาได้ลองชิมต่างถูกอกถูกใจ ซื้อกลับไปฝากคนในขบวนและคนในจวนกันอย่างเนืองแน่นจนขนมที่นำมาหมดไปอย่างรวดเร็วจนโม่ลี่อดที่จะดีใจมิได้
แผงขนมของนางค่อยๆ เติบโตเพราะชื่อเสียงทั้งเรื่องความสวยงามและความแปลกตาทั้งรสชาติอร่อยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ด้านในร้านมีพื้นที่ในการตระเตรียมทำขนม โดยจะออกจากกระท่อมพร้อมท่านตาและท่านยายตั้งแต่ก่อนไก่โห่เพื่อมาทำขนมออกขายในตอนเช้า ส่วนท่านแม่ทัพได้เดินทางกลับเมืองหลวงหลังจากวันนั้นหนึ่งวัน โดยบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเขาเมื่อมีเวลาว่างจากงาน
จากวันเป็นเดือนเงาทั้งสองต่างแยกกันติดตามหาสตรีในภาพวาดโดยใช้นกพิราบในการติดต่อสื่อสารถึงจะขัดกับคำสั่งประมุขที่ให้ทั้งคู่ออกตามหาพร้อมกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ใช้เวลานานเกินไปเพราะขนาดพวกเขาแยกกันออกตามหาก็ใช้เวลาเกือบสามเดือน
พวกเขาเริ่มจากหมู่บ้านชนบทจึงถึงหัวเมืองต่างๆ ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใดราวกับว่านางมิมีตัวตน ซิ่นลู่อยากจะกลับไปถามท่านประมุขยิ่งนักว่าท่านไปเจอสตรีงามราวเทพเซียนนี้จากที่ใด แต่ถ้าหากซิ่นลู่รู้คำตอบคงได้กระอักออกมาเป็นเลือดแน่
วันนี้ซิ่นลู่นัดพบกับซิ่นสือที่โรงเตี้ยมขนาดกลางในหมู่บ้านอวี้ฟงแห่งนี้ เพราะเป็นเมืองผ่านสายหลักที่จะเข้าไปยังเมืองหลวงแคว้งเฟิงเพื่อตามหาว่าที่นายหญิง ไม่นานคนที่รอก็เดินเข้าด้วยท่าทีเร่งรีบด้วยความเหนื่อย
“ซิ่นลู่…ข้ามาแล้ว”ซิ่นสือตวัดตามองสหายตัวดีที่ส่งสารให้เขารีบมาอย่างแค้นเคือง
“มาๆ ดื่มชาก่อน” ซิ่นลู่เอ่ยยื่นน้ำชาให้สหาย ทำเป็นไม่สังเกตดวงตาคมที่จ้องมาอย่างเอาเรื่อง
“เหตุใดเจ้ารีบเร่งข้าเช่นนี้ ข้ายังค้นหาหมู่บ้านนั้นไม่ทั่วเลย หากว่าที่นายหญิงอาศัยอยู่ที่นั่นเล่า” หลังจากดื่มชาดับกระหาย ซิ่นสือก็โวยวายทันที
“เฮ้ย!!…ใจเย็นๆ น่า ข้าเพิ่งจะนึกอะไรออกนางน่าจะอาศัยอยู่เมืองหลวงไม่ผิด ด้วยใบหน้างดงามราวเทพเซียนข้าว่าต้องเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ตระกูลใดตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงแน่นอน” ซิ่นลู่ออกความคิดเห็น
“เจ้าว่าอะไรนะ!!…โถ่!!…ไอ้สหายบัดซบแกใช้คำว่าเพิ่งนึกออกได้ไม่อายปากสามเดือนๆ เลยที่ข้าต้องเสียเวลาเป็นโจรเด็ดบุปผาแอบเข้าเรือนสตรีทุกคืน แล้วเจ้ามาบอกข้าว่าเพิ่งนึกออก” ซิ่นสือหน้าดำมืดก่อนจะตบเข้าที่กบาลของสหายสนิททันทีที่พูดจบ
“โอ๊ย!!..ข้าเจ็บนะโว้ยซิ่นสือ” ซิ่นลู่ลูบหัวตัวเองปรอยๆ
“เออ ก็ตบให้เจ็บอย่างไรเล่า เจ้านี่มันรู้สึกตัวช้ารู้ตัวหรือไม่ เจ้าเป็นเงาให้ท่านประมุขได้เยี่ยงไร รึว่าเจ้ายัดเงินให้ผู้คุมกฎใช่หรือไม่”
ในตอนแรกซิ่นสือจะเอ่ยปากให้เข้าไปยังเมืองหลวงเป็นอันดับแรก แต่เจ้าสหายตัวดีกับบอกให้แยกกันออกตามหาดีกว่า โดยตามหาในหมู่บ้านใกล้เคียงเสียก่อนเมื่อพูดจบคนตรงหน้าก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวออกไปเสียแล้วทิ้งให้เขายืนทำปากพะงาบๆ อยู่ด้านหลัง
“อ้าว…เฮ้ย…เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ” ซือลู่เริ่มโวยวาย
“เฮ้อ…ข้าว่าเราสั่งอะไรมากินรองท้องก่อนออกเดินทางจะดีกว่าเถียงกันไปมีแต่จะเสียเวลา” ซิ่นสือถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับสหายตนเรื่องฝีมือไม่เป็นสองรองใคร แต่สมองมันนี่เฮ้ย…คิดแล้วก็กลุ้ม
โรงเตี๊ยมที่ทั้งสองกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่ด้านล่างตรงข้ามกับร้านขนมชื่อดังในหมู่บ้านมีหญิงสาวกำลังวุ่นอยู่กับการขายขนมเป็นพัลวันด้วยลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงใสกังวานฟังรื่นหูกล่าวขอบคุณลูกค้าที่มาอุดหนุนอยู่เนืองๆ ซิ่นลู่กับซิ่นสือเองก็หันมองอยู่เป็นพักๆ ประจวบกับมีช่วงเวลาหนึ่งที่มีลมพัดอย่างแรงทำให้ปลายผ้าปิดบังใบหน้าปลิวไปตามแรงลมและตกลงมาที่เดิม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากแต่ก็ไม่พ้นสายตาคู่นึง
“แกร๊ง!!…” เสียงตะเกียงตกกระทบพื้นเรียกสติสหายอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ซิ่นสือเจ้าเป็นอันใด”
“ซิ่นสือ…ซิ่นสือ…” ซิ่นลู่พยายามเรียกอีกฝ่ายก็ไม่รู้สึกตัวจึงหันหน้าไปตามทางที่สหายมองก่อนจะหันกลับมามองสหายตนอีกครั้ง
“ซิ่นสือ!!…หากเจ้ามองนางขนาดนี้ ข้าให้ท่านประมุขมาสู่ขอนางให้เจ้าดีหรือไม่” ซิ่นลู่เอ่ยเสียงดังกังวานจนอีกฝ่ายสะดุ้ง
“เจ้าว่าอะไรนะ?…แล้วเหตุใดต้องเสียงดังขนาดนั้น” ซิ่นสือมองอีกฝ่ายอย่างงงๆ
“ข้าบอกว่า…หากเจ้ามองนางขนาดนี้ ข้าให้ท่านประมุขมาสู่ขอนางให้เจ้าดีหรือไม่” ซิ่นลู่เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ก่อนที่ใบหน้าจะปะทะถูกหมัดลุ่นๆ ของอีกฝ่ายกระแทกจนล้มลงจากโต๊ะ
“โครม!!…เฮ้ยเจ้ามาต่อยข้าด้วยเหตุใดซิ่นสือ”
“เจ้าอยากให้ข้าตายอย่างทรมานเป็นศพไร้ที่ฝังรึ ถึงกล้าขอให้ท่านประมุขมาสู่ขอนางให้ข้า”
“ก็เจ้ามองนางขนาดนั้น ข้าเรียกเท่าไรเจ้าก็ไม่ได้สติ ข้าก็นึกว่าเจ้ารักปักใจนางเข้าเสียแล้ว”
“เจ้าไม่เห็นรึ?” ซิ่นสือถาม
“เห็นอะไรของเจ้า?…ข้าหิวข้าวจะตายอยู่แล้วเพราะมัวแต่รอเจ้ามิสนใจบรรยากาศภายนอกหรอก”
“ไอ้เห็นแก่กิน”
“อ้าวก็ข้าหิวนี่…แล้วเจ้าเห็นอันใดเล่าถึงได้นั่งทื่อเป็นหุ่นไม้”
“หึหึ…ข้าว่าพวกเราไม่ต้องไปเมืองหลวงแล้วละ” ซิ่นสือยิ้มเลศนัย
“ซิ่นสือ…นะ…นี่เจ้ากล้าขัดคำสั่งท่านประมุขรึเมื่อสองวันก่อนมีสารจากท่านประมุขท่านแจ้งว่าให้เวลาอีกหนึ่งเดือนหากยังหาไม่พบจะส่งเงามาแทน และให้พวกเรากลับไปรับโทษที่พรรคนะโว้ย”
“ซิ่นลู่…แกเข้าใจความหมายที่ข้าสื่อหรือไม่”
“เหตุใดข้าจะไม่เข้า ถ้าเราไม่ต้องเข้าเมืองหลวงก็แปลว่าเราเจอว่าที่นายหญิงแล้วอย่างไรเล่า แต่พวกเรายังไม่เจอนางเลยแม้แต่เงาเลยนะ”
“ใครบอกเจ้าว่าไม่เจอ”
“ก็ข้าอย่างไรเล่า หรือว่าจะ…เจ้า” ซิ่นลู่ดีดตัวขึ้นอย่างตกใจ
“ใช่ข้าเจอนางแล้ว”
“ไหน…นางอยู่ไหน” ซิ่นลู่พุ่งตัวไปที่หน้าต่างมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นเต้น
“เจ้ามองไปที่ใดกัน นางอยู่ตรงหน้าเจ้าด้านล่างอย่างไรเล่าสหายรัก”
ซิ่นลู่มองตรงไปยังสตรีที่มีผ้าปิดบังใบหน้าก็ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายวาวตาเคลือบแคลงสงสัยเหตุใดซิ่นสือจึงมั่นใจนักทั้งที่มีผ้าปิดอยู่
“ไม่ต้องสงสัยข้าเห็นเต็มสองตาถึงแม้จะเพียงชั่วครู่แต่สายตาข้าแต่ไม่ผิดตัวแน่นอน นางคือว่าที่นายหญิงตัวจริง” ซิ่นสือแก้ความสงสัยให้อีกฝ่าย
“ซิ่นลู่เจ้าไปรายงานท่านประมุขว่าพบนายหญิงแล้ว เจ้าจงเร่งออกเดินทางข้าจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มครองนายหญิง” หลังจากจ่ายค่าอาหารทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน