ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 4
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินเข้มหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าที่มีผ้าขาวบางปิดซ่อนความงามเอาไว้ แต่ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาเขาขณะที่นางกำลังจะล้มลงไปเป็นเขาที่เข้าประคองไว้ได้ทันจนผ้าที่ปิดบังใบหน้าปลิวขึ้นมา เขามิได้ตาฝาดเป็นแน่นางนั้นงดงามราวเทพธิดา จนเขาตะลึงราวต้องมนต์สะกด ลำแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามมัดยังมิคลายออกกลิ่นหอมจากกายนางชวนให้หลงใหลจนเผลอสูบดมอีกครั้งบรรยากาศรอบตลาดเงียบบุรุษต่างพากันมองชายหนุ่มชุดน้ำเงินอย่างไม่พอใจ
“เอ่อ…คุณชายปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” โม่ลี่เรียกสติบุรุษตรงหน้าที่ตอนนี้มองนางไม่กะพริบ
“ขออภัยแม่นางด้วย” ชายชุดน้ำเงินเอ่ยพลางคลายอ้อมแขนใบหน้าบุรุษมีรอยแดงจางๆ
“มิได้เจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ต้องขออภัยคุณชายที่เดินมิดูทาง และต้องขอบพระคุณที่ช่วยข้าไว้มิเช่นนั้นข้าคงร่วงลงไปกองกับพื้นแล้วเป็นแน่”โม่ลี่เอ่ยพร้อมย่อกาย
“เกิดอะไรขึ้นรึเจ้าคะท่านแม่ทัพ”อวี้ซูฮวากล่าวปรายตามองไปยังสตรีด้านข้างท่านแม่ทัพอย่างเหยียด
อวี้ซูฮวาเป็นบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้านนางมีนิสัยเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจอีกทั้งหลงใหลในรูปโฉมของตนเองมั่นใจว่าไม่มีใครงดงามเท่านาง ชาวบ้านต่างเอือมระอากับพฤติกรรมนาง
“ไม่มีอันใดหรอกแม่นางอวี้”
“จะไม่มีอันใดได้อย่างไร ก็ข้าเห็นนางพยายามยั่วยวนท่านแม่ทัพนี่เจ้าคะ ช่างเป็นสตรีที่ไร้ยางอายยิ่ง”ซูฮวาเอ่ยอย่างดูถูกหันมองหน้าโม่ลี่อย่างเอาเรื่อง
“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ามิได้มีเจตนาแอบแฝงอันใดทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น” โม่ลี่พยายามบอกด้วยเหตุผล
“หึ…ข้าจะเชื่อเจ้าได้เช่นไร ในเมื่อข้าเห็นเต็มตาว่าเจ้ากำลังใช้มารยายั่วยวนท่านแม่ทัพ” ซูฮวาเบะปาก
“ข้าขอบอกตามตรง ข้ามิเคยรู้จักหรือเคยพบกับท่านแม่ทัพมาก่อนไม่ เหตุใดข้าต้องยั่วยวนท่านแม่ทัพด้วยเจ้าคะ”โม่ลี่พยายามทำใจเย็น
“หยุดเถอะแม่นางอวี้ ข้ามิรู้ว่าเจ้าเห็นอันใดแต่มันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น เหตุใดเจ้าถึงได้พูดจาว่าร้ายนางเช่นนั้น เจ้ากลับจวนไปเถิด ข้าอยากจะเดินคนเดียว”แม่ทัพหนุ่มรู้สึกโมโหอวี้ซูฮวายิ่งนัก นางเกาะติดเขาราวกับตุ๊กแกช่างรำคาญยิ่ง ทั้งคำพูดคำจามิน่าฟังสักนิด
อวี้ซูฮวากำหมัดแน่นด้วยความเสียใจและรู้สึกเสียหน้าที่ถูกท่านแม่ทัพที่นางแอบรักตั้งแต่แรกเห็นตำหนิตนเป็นที่อับอายแก่ชาวบ้าน แต่นางต้องรักษาภาพพจน์ของนางต่อหน้าท่านแม่ทัพจำต้องข่มกลั้นไว้
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ เช่นนั้นข้าขอตัว” อวี้ซูฮวาพูดเสียงอ่อนแสร้งว่าสำนึกผิดพลางช้อนสายตาให้ท่านแม่ทัพก็ไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงในแววตาท่านแม่ทัพใบหน้ายังคงเย็นชาเช่นเดิมปรายตามองหญิงสาวอีกคนอย่างมุ่งร้าย “แค้นนี้ข้าต้องชำระความกับเจ้าให้ได้”
สตรีตรงหน้าปรายตามองนางราวกับศัตรูใจรู้สึกไม่สู้ดีกับสายตาที่มองมาก่อนที่สตรีนางนั้นจะหันหลังเดินจากไป
“ขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น มิทราบว่าเป็นเจ้ามีนามว่าอะไรรึ” หลี่หยงเป่าเอ่ยถาม
“ข้ามีนามว่าจางโม่ลี่เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
“ข้ามีนามว่าหลี่หยงเป่า ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางจาง” หยงเป่าเอ่ยแนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักท่านแม่ทัพเช่นกันเจ้าค่ะ มิทราบว่าท่านมาทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ” โม่ลี่สงสัยเป็นแม่ทัพเหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่หมู่บ้านแห่งนี้
“ข้ากำลังจะเดินทางกลับเมืองหลวง ผ่านมาทางนี้จึงคิดพักอยู่ที่นี่สัก2-3 วันทั้งสำรวจความเป็นอยู่ของชาวบ้านไปด้วย”หยงเป่าเอ่ยพร้อมสำรวจใบหน้าหญิงสาวอีกครั้ง หัวใจแม่ทัพหนุ่มถึงกับสะดุดเมื่อสบกับดวงตาหญิงสาวตรงหน้า
“แล้วไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพพักอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ” โม่ลี่ถามอย่างใคร่รู้เพราะดูเหมือนบุรุษหนุ่มจะรู้จักกับสตรีเมื่อครู่
“หัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าข้าจะผ่านมาจึงเชิญเข้าพักที่จวนของท่าน”
“ดียิ่งเป็นบุญนักที่แคว้นเฟิงมีข้าราชบริพารที่ดูแลห่วงใยประชาชนตาดำๆ เยี่ยงพวกเราเช่นนี้”
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแม่ทัพแล้วขอตัวเจ้าค่ะ”หยงเป่าพยักหน้ารับโม่ลี่จึงย่อกายเคารพให้บุรุษตรงหน้าก่อนจะรีบกลับไปหาท่านตาทันทีด้วยออกเที่ยวเล่นมานานแล้ว
“หวังว่าข้าจะได้พบกับเจ้าอีก” หยงเป่าเอ่ยเบาๆ สายตายังคงมองไปทางสตรีที่สนทนาเมื่อครู่ พลางนึกเขาได้รับสั่งจากองค์ฮ่องเต้ให้ออกปราบกลุ่มกองโจรที่แข็งข้อตามชายแดนทำให้ประชาชนทุกข์ยากอยู่กันอย่างหวาดผวาเขาใช้เวลาถึง 3 ปีในการปราบกลุ่มกองโจรจนสำเร็จและนำทหารช่วยเหลือชาวบ้านจนเกิดความสงบสุขอีกครั้ง และเมื่อ 3 วันก่อนเขาก็ได้รับพระราชโองการให้กลับไปประจำการยังเมืองหลวง
ในมุมตลาดไม่ห่างกันมากนักมีสายตาริษยามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างแค้นเคือง นางพบท่านแม่ทัพก่อนสตรีอื่นทั้งที่รูปโฉมนางงดงามกว่าสตรีในหมู่บ้านไยท่านแม่ทัพถึงไม่สนใจนางเหมือนกับสตรีไร้ยางอายนางนั้นที่เจอเพียงครู่กับสนทนาเป็นนานสองนานยิ่งคิดยิ่งแค้นใจนักสองมือกำกระโปรงแน่น
“ข้าคงทำอะไรสักอย่างเสียแล้วก่อนที่ท่านแม่ทัพจะกลับเมืองหลวง ว่าที่ฮูหยินต้องเป็นของข้าเท่านั้น” ซูฮวาคิดลอบมองบุรุษหนุ่มทางนางปักใจตั้งแต่แรกเห็น
โม่ลี่เดินไปหาท่านตาที่กำลังเก็บของเพื่อเตรียมกับบ้านพอดี นางจึงช่วยหยิบจับเก็บด้วยอีกคนนางมีเรื่องปรึกษาท่านตาท่านยายไม่น้อย เพราะหลังจากที่เดินตลาดได้รู้ว่าที่นี่มีโรงเตี๊ยมรวมถึงเปิดเป็นห้องพักสำหรับนักเดินทางเพราะเป็นเส้นทางหลักที่ไปยังเมืองหลวงหลังฤดูหนาวผ่านไปที่นี่จะเริ่มมีผู้คนสัญจรมากขึ้นเรื่อยๆ เหมาะแก่การหารายได้ช่วยท่านตาท่านยายอีกทางเพราะยามนี้ท่านทั้งสองก็ชรามากแล้ว
“ท่านตาออกมาขายของทุกวันเลยหรือเจ้าคะ”
“ไม่หรอกถ้าหากวันใดขึ้นเขาแล้วหาของมาขายไม่ได้ก็ต้องหยุด เจ้ามีอะไรรึ”
“หลานมีความคิดดีๆ เจ้าค่ะ แต่รอให้ถึงบ้านเสียก่อนจะได้ปรึกษาท่านตาท่านยายพร้อมกัน” โม่ลี่ยิ้มหวาน
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็กลับมาถึงกระท่อม
จวนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สมฐานะหัวหน้าหมู่บ้านตอนนี้มีแขกกิตติมศักดิ์ร่วมสำรับมื้อเย็นบรรยากาศภายในมีเสียงเจื้อยแจ้วดั่งนกแก้วดังอยู่ตลอดเวลาชวนให้ชายหนุ่มเริ่มหมดความอดทนกับเสียงที่ได้ยิน
“ท่านแม่ทัพลองทานปลาทอดดูเจ้าค่ะ ข้าลงมือทำเองเลยนะเจ้าคะ” อวี้ซูฮวาใช้เสียงหวานที่แสร้งดัดเอ่ยเอาใจท่านแม่ทัพ
“แม่นางอวี้พอเถอะข้าดูแลตัวเองได้ เชิญแม่นางทานอาหารจะดีกว่า” หยงเป่าเริ่มรำคาญกับการที่นางเอาอกเอาใจเขาเกือบครึ่งเค่อแล้ว
“ได้อย่างไรกันเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ท่านเป็นแขกมาพักที่จวน ข้าเป็นบุตรีของหัวหน้าหมู่บ้านก็ต้องตอบแทนน้ำใจที่ท่านแม่ทัพเป็นห่วงพวกเราชาวบ้าน”
“มันเป็นหน้าที่ แม่นางอย่าได้คิดมาก ข้ารู้สึกเหนื่อยคงต้องเสียมารยาทกับท่านหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว” หยงเป่าหันไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน
“มิได้ๆ เชิญท่านแม่ทัพพักผ่อนตามสบายเถิด”
“ขอบคุณขอรับ” หย่งเป่าเอ่ยค้อมตัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปยังเรือนรับรอง
หัวหน้าหมู่บ้านหันมาหาบุตรีของตนที่สร้างความไม่พอใจให้กับแขกของเรือน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าบุตรีของเขาชอบพอในตัวบุรุษหนุ่มผู้นั้น แต่นางคงได้แค่เพียงฝันเพราะท่านแม่ทัพหาได้ใส่ใจบุตรีเขาไม่
“ฮวาเอ๋อร์พ่อรู้ว่าเจ้าคิดอันใด เราเป็นเพียงคนธรรมดาหาได้มียศมีเกียรติไม่ บุรุษผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ตระกูลของเขาก็คงกำลังเตรียมหาว่าที่สะใภ้จากตระกูลใหญ่ที่เพียบพร้อมไว้ให้เขาเช่นกัน เจ้าจงหักใจเสียแต่ตอนนี้เถิดอย่าได้ถลำลึกจนยากจะแก้ไข” อวี้จิ้นอันเอ่ยปลอบบุตรีของตนที่ยังคงดื้อรั้นไม่ฟังเขา
“แล้วอย่างไรข้าหาได้สนใจไม่ แทนที่ท่านพ่อจะเข้าข้างข้าแต่ท่านกับห้ามปราม หากท่านแม่ยังอยู่ท่านแม่คงเห็นดีเห็นงามกับข้าเป็นแน่”อวี้ซูฮวากล่าวจบก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจบิดาที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“เฮ้อ…ฮวาเอ๋อร์ไยเจ้าถึงไม่เชื่อฟังพ่อบ้าง” จิ้นอันกล่าวอย่างเหนื่อยใจ เขาอยากจะบอกนางเหลือเกินว่าหากมารดาของนางยังอยู่ก็คิดเช่นเดียวกับเขา เหตุใดนางถึงได้มีนิสัยแตกต่างจากบิดามารดานัก หรือเป็นเพราะเขาตามใจนางมากเกินไปด้วยที่นางกำพร้ามารดาแต่เด็ก ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษตัวเอง
หลังจากที่อวี้ซูฮวาเดินออกมาก็มุ่งหน้าไปยังเรือนของตนอย่างรีบร้อนเพราะนางวางแผนบางอย่างไว้ในคืนนี้ คุณหนูตระกูลใหญ่แล้วอย่างไรใครจะสน ยังไงท่านแม่ทัพก็ต้องรับข้าเป็นฮูหยินแน่นอน นางนั่งรอสักพักจนได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งดังเข้ามา
“คุณหนูเรื่องที่ให้ไปทำเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหมาสาวใช้เพียงคนเดียวของนางกล่าวขึ้น
“ดี” อวี้ซูฮวาเอ่ยอย่างดีใจ
“มันจะดีหรือเจ้าคะที่ทำแบบนี้ มันไม่ถูกต้องคุณหนูเป็นสตรีในห้องหอมิควรกระทำการไร้ยางอายเยี่ยงนี้นะเจ้าคะ” เสี่ยวเหมาพูดเพื่อเตือนสติคนตรงหน้าหวังให้ล้มเลิกแผนการนี้
นางนั้นไม่เห็นด้วยแต่ต้องฝืนใจทำเพื่อตอบแทนหัวหน้าหมู่บ้านที่ช่วยเหลือนางจากเหตุการณ์ไฟไหม้เป็นสาเหตุให้บิดามารดาจากไปตอนนั้นนางอายุเพียง 5 หนาวไร้ที่พึง ท่านหัวหน้าหมู่บ้านจึงรับนางไว้เพื่อเป็นเพื่อเล่นและคอยดูแลคุณหนูเพราะด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน
“เพี๊ยะ!!… เป็นแค่บ่าวรับใช้กล้าดียังไงสะเออะมาสั่งสอนข้า” อวี้ซูฮวาตวาดลั่น
“ตะ…แต่…” เสี่ยวเหมาหน้าชาไปซีกเพราะแรงตบของอีกฝ่าย
“ออกไป…ข้าบอกให้ออกไป๊!!!…”อวี้ซูฮวาไล่เสี่ยวเหมาผ่านไปราวสองเค่อ (30 นาที) อวี้ซูฮวาหลังจากสงบสติได้แล้วนางก็เหลือบมองท้องฟ้าที่ตอนนี้มืดสนิทเห็นเพียงแสงจันทร์ ก็ก้าวออกจากเรือนอย่างแผ่วเบาโดยอาศัยความมืดอำพรางกายลอบเข้าเรือนรับรอง ป่านนี้ธูปราคะคงออกฤทธิ์แล้วริมฝีปากลอบยิ้มออกมา
ภายในเรือนรับรองชายหนุ่มบนเตียงอยู่ในท่าทางกระสับกระส่ายใบหน้าแดงก่ำ ความร้อนภายในกายแผดเผาเขาแทบเป็นจุณด้านล่างปวดหนึบไปหมดและยังทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นบางอย่างปะทะเข้ากับจมูก “ธูปราคะรึ ใครมันบังอาจทำเรื่องน่าอายเช่นนี้” หยงเป่าคิดในใจ เพราะเวลาต่อมาสติที่มีเหลืออยู่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาเขาจึงเปิดตามองผู้บุกรุกจนเห็นสตรีคุ้นหน้า
“จะ…เจ้า…ที่แท้เป็นเจ้าเองรึ”
“อะไรรึเจ้าคะ ข้าทำไมหรือ ข้าแค่เขามาดูท่านขาดเหลืออันใดหรือไม่เท่านั้น” อวี้ซูฮวาคงกล่าวหน้าตาเฉยทั้งที่รู้ว่าแม่ทัพหนุ่มกล่าวถึงอะไร พลางเดินเข้าหาชายหนุ่มช้าๆ
“หยุด…อย่าเข้ามา…” หยงเป่ากัดฟันห้ามมิให้นางเข้าใกล้เขา
“ทำไมรึเจ้าคะ ใยน้ำเสียงท่านแปลกไปเช่นนั้น ไม่สบายตรงไหนให้ข้าช่วยท่านดีหรือไม่” นางยังคงเดินอ้อยอิ่งเข้าหาเขาช้าๆ
“หึ…เป็นสตรีในห้องหอเสียเปล่าแต่กับกระทำเรื่องไร้ยางอาย ราวกับหญิงคณิกาช่างน่าสงสารบิดาเจ้าเสียจริง ที่มีบุตรีเยี่ยงเจ้า” หยงเป่าเริ่มหาทางออกหากปล่อยไว้เช่นนี้คงไม่พ้นต้องแต่งแน่เข้าจวนเป็นแน่
“ท่าน…” อวี้ซูฮวาราวกับถูกตบหน้าคำพูดของบุรุษร่างสูงใหญ่เฉียดแทงใจหน้าอย่างแรง
“แล้วอย่างไรในเมื่ออีกไม่นานท่านก็ต้องรับข้าเข้าจวนอยู่แล้วอย่าได้ชักช้าเลยเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”