ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 32
ห้าวันต่อมารถม้าคันเดิมที่เคยเดินทางมายังพรรคมังกรทมิฬตามเทียบเชิญกำลังเดินทางออกจากหุบเขาทมิฬลัดเลาะไปตามเส้นทางที่วางไว้มุ่งหน้าไปยังแคว้นหลิว เมื่อออกเดินทางมาได้สักพักใหญ่ก็ถึงจุดหมายที่เป็นป่าค่อนข้างหนาทึบแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรถม้าก็ยังสามารถเคลื่อนตัวไปได้ด้วยดี
“ท่านพ่อใกล้ถึงที่หมายแล้วขอรับ โปรดระวังตัวด้วย” หงฮุ่ยเจินเอ่ยกับบิดาด้วยความห่วงเพราะท่านก็แก่ชราลงมากแม้จะมีวรยุทธ์พอเอาตัวรอดได้แต่ก็อดห่วงมิได้อยู่ดี
“อืม เจ้าก็ระวังตัวด้วย”
“ขอรับ”
ตลอดสองข้างทางดูเงียบสงบจนผิดปกติสองพ่อลูกตระกูลหงกำชับดาบในมือแน่นอย่างเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าท่านประมุขจ้าวจะเตรียมการเป็นอย่างดีแต่ก็ประมาณไม่ได้
“ฟิ้ว!!…ฉึก!…ฮี๊!!!!…” เสียงธนูแหวกอากาศสองดอก ดอกแรกปักลงที่โคลงผ้าบนรถม้าอีกดอกปักลงที่ขาม้าจนเสียหลัก บุรุษต่างวัยทั้งสองที่ตั้งรับอยู่แล้วกระโจนออกจากรถม้าได้ทันท่วงที ก่อนจะลุกยืนขึ้นกวาดสายตารอบบริเวณ
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดจงออกมา!!…” หงฮุ่ยเจินตะโกนก้องพลางจับบิดาดันไว้ด้านหลัง หงฮุ่ยเหยียนหันหลังพิงบุตรชายเพื่อคอยระวังหลังให้อีกฝ่าย
“ฮึ…” ชายชุดดำร่างใหญ่ใบหน้าดุดันก้าวออกมาจากที่ซ่อนตัวพร้อมกับกลุ่มคนอีกสิบกว่าคนดูแล้วน่าจะเป็นความหัวหน้า
“ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าเราทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหรือไม่” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ยถามคนตรงหน้าทั้งที่รู้อยู่เต็มอก
“ขออภัยที่ข้าต้องตอบว่าไม่ แต่อย่าได้ถามอันใดอีกเลยคนที่กำลังจะตายไม่จำเป็นต้องรู้ พวกเจ้าจัดการให้เรียบร้อย” ว่าจบมันก็สั่งให้ลูกน้องสังหารทั้งสองทันที
หงฮุ่ยเจินและหงฮุ่ยเหยียนตั้งรับการโจมตีพวกมันทันทีที่คนทั้งสิบพุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันแต่ทว่าก็ไม่รวดเร็วเท่ากับบรรดาเงาที่จ้าวหยางหลงส่งมาเพื่อคอยคุ้มครองอยู่ก่อนแล้ว เสียงต่อสู้ดังติดต่อกันเกือบสามเค่อเพราะอีกฝ่ายที่ถูกจ้างวานมาถือว่ามีฝีมือไม่น้อย แต่จะสู้เงาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีได้อย่างไรศพบุรุษทั้งสิบนอนตายน่าอนาถ
ผู้เป็นหัวหน้าเมื่อเห็นเช่นนั้นก็คิดจะหลบหนีแต่ทว่าเมื่อหันหลังกับพบกับบุรุษที่คนทั้งใต้หล้าต่างเกรงกลัวไม่เว้นแม้กระทั่งตัวมันเอง หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้เขาจะไม่ปล่อยให้ความโลภบังตาเห็นแก่เงินที่อีกฝ่ายจ้างสังหารคนทั้งสองอย่างแน่นอน
“เจ้าคิดจะไปที่ใด” น้ำเสียงกดดันเอ่ยกับชายตรงหน้าที่กำลังถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว
“ขะ…ข้า…ดะ…ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยท่านประมุขโปรด” ชายชุดดำคุกเข่าโขลกศีรษะจนเลือดซึมเต็มไปหมด
“ท่านพ่อตาข้าไม่มีเรื่องบาดหมางกับเจ้า แล้วเหตุใดยังคิดจะสังหารพวกเขาอีกบอกให้ข้าหรือไม่” จ้าวหยางหลงเอ่ยอย่างผ่อนคลายจนสองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างนึกหมั่นไส้กับท่าทางของอีกฝ่าย
“ห๊า!!…ท่านพ่อตา” ชายชุดดำเบิกตากว้างด้วยไม่คิดว่าคนทั้งสองจะมีความเกี่ยวข้องกับคนตรงหน้า เหตุใดคนที่จ้างวานกับไม่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้
“ท่านทั้งสองได้โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด ข้ามิรู้จริงๆ ว่าท่านมีความเกี่ยวข้องกับท่านประมุข” ชายชุดดำถลาคลานเข่าไปหาคนทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังตน
“เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้จ้างวานเจ้าให้มาสังหารข้าและลูก” หงฮุ่ยเหยียนถามคนตรงหน้าอีกครั้ง
“คนผู้นั้นคือหงฮุ่ยหวงขอรับ แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นั้นจึงคิดสังหารท่าน” ชายชุดดำเป็นผู้เอ่ย
“ซิ่นลู่จับมันไว้เราจะไปเดินทางไปเมืองไห่” จ้าวหยางหลงสั่งการลูกน้องคนสนิท
“ซิ่นสือไปเอาม้าเร็วที่เตรียมไว้มา”
“ขอรับ”
“ท่านพ่อตา พี่ภรรยาเราจะใช้ม้าเร็วในการเดินทางประมาณหนึ่งชั่วยาม (2 ชั่วโมง) ก็น่าจะถึงเมืองไห่ปลายยามซวี (20.59 น.)” ว่าจบจ้าวหยางหลงก็กระโดดขึ้นหลังม้าทันที ตามด้วยหงฮุ่ยเหยียนและหงฮุ่ยเจิน ส่วนบรรดาเงาต่างใช้วิชาตัวเบาเพื่อไปรอคนทั้งสาม
เมืองไห่
ยามซวีจวนตระกูลหงสายรองสองพ่อลูกกำลังนั่งคุยปรึกษากันอย่างออกรสออกชาติถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลำพองใจ
“ท่านพ่อว่าแผนการที่วางไว้จะสำเร็จไหมเจ้าคะ” หงซูเจียวเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“แน่นอน คนที่พ่อส่งไปล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือจะพลาดได้เยี่ยงไร”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ถือว่าเราเป็นสายหลักอีกทั้งยังร่ำรวยขึ้นมาก”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะพ่อและหงฮุ่ยเหยียนมีกันอยู่เพียงสองคนไม่มีพี่น้องอื่นอีก หากมันตายกิจการทุกอย่างก็ตกเป็นของพ่ออย่างสมบูรณ์”
“แกร๊ก!…” เสียงเปิดประตูเข้ามาภายในห้องพร้อมกับร่างของสตรีวัยกลางคนที่ยังคงงดงาม หงซูเม่ยก้าวเข้ามาในห้องมองสองพ่อลูกที่กำลังอารมณ์ดีมีความสุข นางยืนฟังอยู่หน้าประตูอยู่นานแล้วก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา พลางย่อกายนั่งด้านข้างผู้เป็นสามี
“มีอะไรรึเม่ยเอ๋อร์” สามีเอ่ยถามผู้เป็นภรรยา
“ท่านพี่ส่งคนไปสังหารพวกเขาหรือเจ้าคะ”
“ใช่!…ทำไมอาลัยอาวรณ์มันรึ” เสียงเข้มแฝงด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเอ่ยถาม
“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ท่านพี่อยากทำอันใดก็ทำไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าแค่จะบอกว่าข้าขอตัวนางแพศยาหงเหมยหลิวได้หรือไม่”
“ทำไม?” หงฮุ่ยหวงถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากจะทรมานมันให้ตายด้วยมือข้าเอง” หงซูเม่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“ฮ่าฮ่า…ตามใจเจ้า ข้าจะหาโอกาสนำตัวนางมาให้เจ้าเอง”
“ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ” หงซูเม่ยยิ้มให้ผู้เป็นสามี
“ท่านแม่ข้าละสะใจจริงๆ พวกมันกลั่นแกล้งข้ายิ่งนังโม่ลี่ลูกรักของพวกมันลูกยิ่งแค้น หากวันหน้ามีโอกาสลูกจะแก้แค้นมันให้สาสม”
“อย่างไรรึลูกรัก” หงซูเม่ยเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“ฮึ…ในเมื่อมันใช้หน้าตาอันงดงามหลอกล่อบุรุษอย่างประมุขจ้าวได้ หากข้ามีโอกาสแก้แค้นมันเมื่อใด ข้าก็จะสงเคราะห์ให้บุรุษอื่นได้เชยชมมันให้สาแก่ใจสักสี่ห้าคืน หลังจากนั้นข้าจะเป็นผู้กรีดทำลายใบหน้าของแพศยานางนั้นอย่างไรเจ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่า…” เสียงหัวเราะสะใจของคนทั้งสามดังขึ้นต่างจากใบหน้าสีดำทะมึนไอสังหารเข้มข้นของผู้เป็นประมุขที่ถูกกล่าวถึง รวมถึงหงฮุ่ยเหยียนและหงฮุ่ยเจินต่างกำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้นหลังจากที่ได้ร่วมรับฟังก็คนทั้งสามสนทนาถึงครอบครัวของเขา
“ท่านพ่อตาข้าจะเก็บหงซูเจียวไว้ ข้าไม่ได้ขอ ข้าเพียงบอกให้ท่านฟังเท่านั้น” เสียงเข้มดุดันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดจะใส่ใจ ในเมื่อนางกล้าคิดทำลายภรรยาของเขาด้วยวิธีต่ำช้า นางก็คงจะเตรียมใจรับผลของมันแล้วกระมัง
สองพ่อลูกตระกูลหงสายหลักต่างมองหน้ากันอย่างปลงในโชคชะตาของหญิงสาวที่ภายนอกดูอ่อนหวานบริสุทธิ์แต่ทว่ากับมีจิตใจที่อำมหิตคิดทำลายศักดิ์ศรีของสตรีด้วยกัน อีกทั้งสตรีนางนั้นที่ถูกกล่าวถึงยังเป็นลูกพี่ลูกน้องเกี่ยวพันทางสายเลือด เขาไม่คิดเลยว่านางจะมีจิตใจดำมืดอำฆหิตสามารถทำได้ลงคอ
“แล้วแต่ท่านประมุขเถิด” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา จ้าวหยางหลงปรายตามองพ่อตาเล็กน้อยก่อนจะให้ซิ่นลู่ปล่อยร่างชายชุดดำลงไปเบื้องล่าง
“ตุ๊บ!!…” เสียงบางอย่างตกกระทบพื้นดังขึ้นจากด้านนอกทำให้บุคคลภายในห้องหยุดชะงัก หงฮุ่ยหวงกำชับให้ทุกคนอยู่ด้านในห้ามตามออกไปเด็ดขาด สตรีทั้งสองพยักหน้ารับรู้มองประมุขของจวนก้าวเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้สนิทเช่นเดิม หงฮุ่ยหวงเดินออกมาจากห้องมุ่งไปยังต้นเสียงทันทีก่อนยกยิ้มมุมปากเดินเข้าไปหาชายชุดดำทันที
“แผนการที่วางไว้สำเร็จหรือไม่” หงฮุ่ยหวงเอ่ยถามอย่างลำพองใจว่าคงไม่มีสิ่งใดผิดพลาด
“คะ…คือ…อึก…” ยังไม่ทันที่ชายชุดดำจะพูดจบร่างของมันก็นอนคว่ำสิ้นใจอยู่เบื้องหน้าหงฮุ่ยหวงทันทีด้วยเข็มอาบยาพิษชนิดรุนแรงที่ถูกซัดด้วยพลังปราณจากฝ่ามือท่านประมุขจ้าว
เงาร่างของสองพ่อลูกตระกูลหงสายหลักปรากฏกายขึ้นอยู่เบื้องหน้าหงฮุ่ยหวงที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจผงะถอยหลังอย่างลืมตัว เหตุใดคนที่ควรตายถึงยังไม่ตายซ้ำยังยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
“แปลกใจหรือขอรับที่เห็นเราสองพ่อลูกยังมีชีวิตอยู่” หงฮุ่ยเจินเอ่ยถามท่านอา
“พวกเจ้า!”
“ใช่พวกเราเองน้องรัก ที่เรามาที่นี่เพียงแค่อยากจะถามเจ้าเท่านั้นเหตุใดจึงคิดทำร้ายครอบครัวข้า”
“ฮ่าฮ่า…ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ข้าก็ไม่ต้องตีหน้าซื่อแสดงเป็นน้องชายที่แสนจะรักห่วงใยเจ้าเสียที รู้ไว้ด้วยว่าข้าอยากจะอ้วกทุกครั้งที่ต้องพูดมันออกไป” หงฮุ่ยหวงระเบิดความเกลียดชังส่งให้ผู้เป็นที่ชายทันที
“เป็นเพราะเจ้า…เจ้าคนเดียวไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อ ท่านปู่ต่างก็รักหวังดีกับเจ้าเพียงคนเดียว แม้กระทั่งฮูหยินข้าก็เอาแต่พร่ำเพ้อถึงแต่เจ้า ไหนจะสมบัติอีกเล่าตัวข้าก็เป็นลูกของท่านพ่อหลานของท่านปู่เช่นเดียวกับเจ้า แต่ข้ากลับไม่ได้รับความยุติธรรม ข้าผิดหรือไรที่เกิดจากฮูหยินรองหาใช่ฮูหยินเอกเช่นแม่เจ้า ต้องมาอยู่เมืองไห่ห่างไกลจากเมืองหลวงเช่นนี้ก็เพราะเจ้า…เจ้าคนเดียวหงฮุ่ยเหยียนทำไมเจ้ากับฮูหยินของเจ้าไม่ตายๆ ไปซะตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน มิเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องจมปลักอยู่ที่นี่หรอก จงรับรู้ไว้ว่าข้าเกลียดชิงชังเจ้านักหงฮุ่ยเหยียน!!” หงฮุ่ยหวงระบายความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา โดยไม่มองความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้า ในเมื่อทุกอย่างถูกแบ่งออกมาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทองกิจการร้านค้าต่างๆ ” หงฮุ่ยเหยียนอธิบายให้คนตรงหน้าได้ฟัง
“เช่นเดียวกับความรักที่ท่านพ่อและท่านปู่ต่างก็มอบให้เจ้าไปต่างจากข้า เจ้ายังไม่พอใจอะไรอีกหงฮุ่ยหวง เจ้าลองคิดทบทวนเรื่องนี้ให้ดี” หงฮุ่ยเหยียนยังคงพูดต่อพลางมองสีหน้าน้องชายเพียงคนเดียว
“หึ…แล้วอย่างไรพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา อย่างไรเสียข้าก็โกรธเกลียดชิงชังเจ้าไปเสียแล้ว และไม่คิดที่จะปล่อยเจ้าไปเสวยสุขหรอก” หงฮุ่ยหวงคิดอย่างที่ปากพูดจริงๆ ทั้งไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนทำลงไป และตัวเขาเองไม่เคยคิดว่าคนตรงหน้าเป็นพี่ชายมานานแล้วจึงมิได้รู้สึกผูกพันแม้จะเติบโตมาด้วยกันเพราะความริษยาชิงชังถูกปลูกฝังอยู่ในหัวจากผู้เป็นมารดาตั้งแต่ยังเด็ก
“เหตุใดเจ้าจึงดื้อรั้นเช่นนี้” หงฮุ่ยเจินกล่าวอย่างเหนื่อยใจ
“วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้าสองพ่อลูก ฮ่าฮ่า…” ว่าจบก็หยิบกระบี่ที่ถือติดมือมาจากในห้องพุ่งเข้าหาหงฮุ่ยเหยียนทันที
หงฮุ่ยเหยียนที่เห็นร่างน้องชายพุ่งเข้ามาหมายจะสังหารก็ยกกระบี่ในมือขึ้นรับการปะทะของอีกฝ่าย ทั้งสองโรมรันอย่างไม่มีใครยอมใครเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเลือด หงฮุ่ยเจินอยากจะเข้าไปช่วยบิดาแต่กลับถูกห้ามไว้จึงได้แต่ทนมองภาพที่สองพี่น้องต่อสู้กันอย่างเจ็บปวด เขารู้ว่าบิดารักน้องชายคนนี้มากความเจ็บปวดในใจจึงมากทวีคูณเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเอาชีวิตเขา
“เคว้ง!…ฉึก…กรี๊ดดดดดดดด” เสียงกระบี่ตกร่วงพื้นต่อมาเป็นเสียงกระบี่แทงทะลุเนื้อตามด้วยเสียงกรีดร้องของสตรีทั้งสองนางดังขึ้นพร้อมกัน
“ท่านพี่/ท่านพ่อ” เสียงเรียกประสานดังขึ้นก่อนจะวิ่งเข้ามาโอบร่างของชายวัยกลางคนที่นอนสิ้นใจอยู่บนพื้น หน้าอกตำแหน่งหัวใจถูกกระบี่แทงอย่างแม่นยำด้วยไม่อยากให้น้องชายนั้นทรมานและรับรู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคนที่เขารัก
“หงฮุ่ยเหยียนท่านฆ่าน้องชายตัวเองได้เช่นไร” หงซูเม่ยเอ่ยถามพลางมองหน้าบุรุษที่นางปักใจรัก แต่ทว่าตอนนี้นางแต่งให้กับน้องชายของเขาถึงไม่รักแต่ทว่าก็รู้สึกผูกพัน
“เจ้ายังกล้าถามข้าอีกรึหงซูเม่ย เจ้ากล้าคิดที่จะทำร้ายหลิวเอ๋อร์และลูกสาวของเจ้ายังมีจิตใจอำมหิตคิดกระทำการต่ำช้ากับสตรีด้วยกันเอง” หงฮุ่ยเหยียนตวาดมองสตรีแพศยาที่กล้าคิดลงมือกับฮูหยินและบุตรีของเขาด้วยความโมโห
“ทะ…ท่านรู้” หงซูเม่ยเอ่ยอย่างตกใจ
“ใช่!…ข้ารู้เรื่องทั้งหมด และวันนี้ตระกูลหงสายรองจะถูกลบชื่อออกจากตระกูล ท่านประมุขเชิญท่านจัดการตามที่เห็นสมควร ข้ามิอยากที่จะเหยียบอยู่ที่นี่นานนัก” ว่าจบก็ปรายตามองน้องชายด้วยความเสียใจและเจ็บปวดก่อนจะหันหลังไป หงฮุ่ยเจินเห็นเช่นนั้นก็เดินตามออกไปโดยไม่หันไปมาสตรีทั้งสองแม้แต่น้อง
“ท่านพี่เจินช่วยข้าด้วย อย่าเพิ่งไป กรี๊ดดดดดด…ท่านแม่…ฮื่อๆ ” หงซูเจียวเอ่ยอ้อนวอนหงฮุ่ยเจินด้วยรู้สึกหวาดกลัวก่อนจะเห็นมารดาของตนถูกเงาของประมุขสังหารต่อหน้าต่อตา
“ท่านประมุขได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หงซูเจียวเอ่ยขอร้องบุรุษที่นางรักปักใจ
“เหตุใดข้าต้องปล่อยคนที่คิดทำร้ายภรรยาข้า”
“ไม่จริงเจ้าค่ะ ข้ามิเคยพูดแบบนั้น อื้อ…” ยังพูดไม่จบจ้าวหยางหลงจับคางนางบีบเข้าหากันแน่น สร้างความจนเจ็บปวดให้สตรีห้องหอเช่นนาง
“สตรีจิตใจอำมหิตแพศยาเช่นเจ้าข้าคงไม่ปล่อยไว้หรอก เจ้าจำได้หรือไม่ว่าจะทำอันใดกับภรรยาข้าบ้าง” ว่าจบก็สะบัดใบหน้าสตรีนางนั้นอย่างรังเกียจ
“มะ…ไม่ๆ ข้ามิได้คิดร้ายภรรยาท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด” หงซูเจียวคุกเข่าโขลกศีรษะจนเลือดท่วมดวงตาแดงช้ำจากการร้องไห้เพื่อขอความเมตตาคนตรงหน้า
จ้าวหยางหลงมองสตรีตรงหน้าด้วยความเย็นชา แววตาโหดเหี้ยมเผยขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่สตรีนางนี้ทำให้เขาต้องโดนฮูหยินลงโทษด้วยการนอนคนเดียวถึงเจ็ดวัน อยากจะโอบกอดร่างอิ่มยังทำมิได้มันช่างทุกข์ทรมานในความรู้สึกยิ่งนัก
“ซิ่นสือเจ้าได้ยินที่นางพูดปองร้ายนายหญิงของเจ้าหรือไม่”
“ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำขอรับ”
“เช่นนั้นก็พานางไปหอนางโลมที่ชายแดน การที่นางอยู่ที่นั่นน่าจะเป็นประโยชน์เสียกว่าอยู่ที่นี่ สั่งกำชับแม่เล้าห้ามให้นางชิงฆ่าตัวตายเป็นอันขาด ข้าจะให้นางอยู่มิสู้ตายและจงปิดเรื่องนี้เป็นความลับ” ไม่เคยมีสักครั้งที่จ้าวหยางหลงคิดจะทำร้ายสตรีหากพวกนางไม่รนหาที่เองเช่นนี้ ความโหดเหี้ยมและเด็ดขาดไร้ความปรานีของท่านประมุขจึงดังไปไกลทั่วทั้งสี่แคว้น
“ขอรับท่านประมุข”
“มะ…ไม่!!!!! เฮือก” เสียงของหงซูเจียวดังได้แค่นั้นภาพเบื้องหน้าก็ดับลงพร้อมกับร่างของนางถูกแบกขึ้นหลังของซิ่นสือและหายออกไปทันที
“กลับ” จ้าวหยางหลงเอ่ยและทะยานกายออกไปด้วยวิชาตัวเบาทันทีด้วยความคิดถึงภรรยารัก
สองพ่อลูกต่างออกเดินทางกลับไปยังแคว้นหลิวเพื่อดูแลกิจการที่ทิ้งร้างมาหลายวัน หงฮุ่ยเหยียนเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยความเสียใจที่วันนี้เขาได้ลงมือสังหารน้องชายเพียงคนเดียว หงฮุ่ยเจินลอบมองบิดาด้วยความเป็นห่วงหากแต่จะให้ทำอันใดได้ หากไม่ลงมือสังหารพวกเขาในวันนี้อนาคตภายภาคหน้าก็คงจะมีปัญหาให้แก้ไม่จบสิ้น