ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 31
หงซูเจียวใช้เวลาเดินทางกลับมายังจวนสกุลหงสายรองเพียง 7 วันเนื่องจากเมืองไห่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาทมิฬมากนัก ต่างจากสกุลหงสายหลักที่ใช้เวลาถึง 10-15 วันในการเดินทาง เมื่อกลับมาถึงจวนหงซูเจียวที่มีสภาพบาดเจ็บแขนถูกพันด้วยผ้าสีขาวก็รีบก้าวเท้าไปหาผู้เป็นมารดาที่ยืนรออยู่หน้าจวน
“ท่านแม่…ฮือ…” หงซูเจียวโอบกอดมารดาด้วยมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บร้องห่มร้องไห้อย่างนัก
“เกิดอะไรขึ้น!…ใคร…ใครมันกล้าทำร้ายลูกแม่ โธ่…เจียวเอ๋อร์หยุดร้องนะลูกเราไปคุยกันด้านในเถิด” เสียงเกรี้ยวกราดดังออกมาจากปากของสตรีวัยกลางคน ก่อนจะเอ่ยปลอบใจบุตรีคนเดียวที่ตนรักและทะนุถนอมแววตาเคียดแค้นเมื่อเห็นบุตรีของตนต้องได้รับบาดเจ็บเช่นนี้
หงซูเม่ยสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางให้ไปแจ้งประมุขของจวนว่าบุตรสาวกลับมาแล้วพร้อมกับอาการบาดเจ็บ ก่อนจะประคองบุตรสาวเดินไปยังห้องโถงเพื่อรอการมาของสามี
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเจียวเอ๋อร์”
“ท่านแม่เป็นพวกมันที่รวมหัวกันกลั่นแกล้งข้าเจ้าค่ะ”
“พะ…” แต่ยังไม่ทันที่หงซูเม่ยจะกล่าวอันใดจบประตูห้องก็เปิดขึ้นด้วยฝีมือของคนประมุขจวน
บุรุษรูปร่างหล่อเหลาแม้ว่าจะอายุปาเข้าไปเลขสามก็มิได้บั่นทอนความหล่อเหลานั้นแม้แต่น้อยถ้าไม่ติดว่าใบหน้านั้นดูเสเพลและเจ้าเล่ห์คงจะเป็นคนที่น่าคบหาไม่น้อย
“ปัง!…เจียวเอ๋อร์ใครทำร้ายเจ้าบอกพ่อมาเดี๋ยวนี้” หงฮุ่ยหวงรีบเอ่ยถามบุตรสาวที่เขารักด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้จะว่าดูบุรุษผู้นี้จะดูเสเพลเจ้าเล่ห์ไปบ้างแต่ใครจะรู้ว่าเขารักบุตรีคนนี้มากที่สุด นางเป็นบุตรีที่เกิดจากสตรีที่เขารักแม้จะรู้ว่านางมิเคยรักเขาในใจนางมีแต่หงฮุ่ยเหยียนก็ตาม และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาคิดแค้นพี่ชายมาโดยตลอด
“ท่านพ่อ…ลูกเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ” หงซูเจียวเอ่ยกับบิดาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดพลางสะอื้นหากผู้อื่นที่เห็นคงต่างพากันสงสาร เว้นเสียแต่บ่าวไพร่ในจวนที่รู้ถึงความร้ายกาจของคุณหนูสกุลหงสายรองเท่านั้น
“ใครทำเจ้าบอกพ่อได้หรือยังหือ…ลูกรัก” เสียงอ่อนทุ้มเอ่ยออกมาพลางลูบศีรษะบุตรีอย่างแผ่วเบา
“เป็นพวกมันเจ้าค่ะท่านพ่อที่รวมหัวกันกลั่นแกล้งทำร้ายลูกจนบาดเจ็บเช่นนี้”
“เหตุใดมันจึงกล้าทำร้ายใจกันในเมื่อพวกมันออกจะเอ็นดูเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
“ก็เพราะพวกมันพบกับบุตรีที่หายสาบสูบไปยังไงเล่าเจ้าคะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ มันเจอตัวนางเด็กนั่นรึ”
“เจ้าค่ะ นามของมันคือโม่ลี่แถมตอนนี้มันเป็นถึงฮูหยินของพรรคมังกรทมิฬ”
“ห๊ะ!…” เสียงตกใจประสานของสองสามีภรรยาดังขึ้นพร้อมกัน
“มันเป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่ามันควรตายไปนานแล้วหรือ” หงซูเม่ยเอ่ย
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงบาดเจ็บเยี่ยงนี้” หงฮุ่ยหวงเอ่ยถามบุตรี
“ท่านพ่อเป็นเพราะฮูหยินจ้าวและครอบครัวของพวกมันเจ้าค่ะ”
“ยังไงเล่าให้แม่ฟังสิเจียวเอ๋อร์ เรื่องมันเป็นมาอย่างไร”
“ท่านประมุขเกิดต้องตาต้องใจลูก แต่ฮูหยินจ้าวสตรีแพศยานางนั้นมีจิตใจคับแคบ เมื่อรู้ว่าลูกและท่านประมุขพึงพอใจกันและกันจึงเกิดความริษยา นางจึงรวมหัวกับครอบครัวของมันวางแผนทำร้ายกลั่นแกล้งข้าจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ค่ะ” หงซูเจียวแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อหวังล้างแค้นที่กำลังโหมกระหน่ำภายในจิตใจ
“คะ…คุณหนู…” เสียงของลี่หลินดังขึ้นแต่ทว่าหงซูเจียวใช้แววตาจ้องมองให้เป็นเชิงให้เงียบเสีย อย่าได้พูดอันใดออกมา
ลี่หลินที่อยู่ด้านหลังมองคุณหนูอย่างไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน เหตุใดจึงปั้นแต่งเรื่องเช่นนี้ก็รู้กันอยู่ว่าผู้ใดเป็นคนผิดแทนที่จะสำนึกกับนำภัยมาสู่ครอบครัวเสียแล้ว ผู้ใดก็รู้ว่าประมุขผู้นั้นโหดเหี้ยมเพียงใด
“ปัง!…เห็นที่เราจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เสียแล้วหงฮุ่ยเหยียน” เสียงตบโต๊ะดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงโกรธแค้นความคับแค้นใจถูกระเบิดออกมา
“ท่านพ่อจะทำเช่นไรเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอกเจียวเอ๋อร์ เรื่องนี้ปล่อยให้พ่อจัดการเอง เจ้ามาเหนื่อยๆ จงไปพักเถิด” หงฮุ่ยหวงเอ่ยกับบุตรสาว
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” ว่าจบนางก็เดินออกไปโดยมีลี่หลินประคองอยู่ด้านข้าง
“ท่านพี่คิดจะทำอันใดเจ้าคะ” หงซูเม่ยเอ่ยถามผู้เป็นสามี
“หึ…เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ว่าจบก็เดินออกไปโดยไม่สนใจผู้เป็นภรรยาที่อยู่เบื้องหลัง
หงฮุ่ยหวงออกจากจวนเพื่อไปยังสถานที่หนึ่งเพื่อติดต่อเจรจา เขาใช้เวลากว่า 2 ชั่วยาม (4 ชั่วโมง) ในการปรึกษาหารือร่วมกันว่าแผนการอย่างรัดกุม จึงมุ่งหน้าไปยังหอนางโลมชื่อดังเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่ยังคงขุ่นมัว
พรรคมังกรทมิฬ
ผู้เป็นประมุขอยู่ดูแลภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิดภายในศาลาสวนดอกไม้ มือบางกำลังจิบน้ำเปล่าชื่นชมบรรยากาศอันเงียบสงบ
“ลี่เอ๋อร์วันนี้พี่ให้คนไปซื้อเฉ่าเหมย (สตรอเบอรี่) ไว้จะทานหรือไม่” จ้าวหยางหลงเอ่ยเอาใจด้วยรู้ว่าตั้งแต่นางตั้งครรภ์มักจะชอบทานจุกจิก
“ก็ดีเจ้าค่ะ”
“พ่อบ้านให้คนไปเอาเฉ่าเหมยจัดใส่จานมาที่นี่ที”
“ขอรับท่านประมุข”
“จริงสิ น้องจะถามว่าเหตุใดท่านพี่จึงระงับมิให้ท่านพ่อและท่านพี่เจินออกเดินทางเจ้าคะ” โม่ลี่เอ่ยถามอย่างสงสัย
“พี่สังหรณ์อะไรบางอย่าง เลยมิให้ท่านพ่อตาและพี่ชายของเจ้าออกเดินทางรอให้ทุกอย่างแน่ชัดเสียก่อนพี่ หากเรื่องไม่เป็นอย่างที่พี่คิดก็คงให้พวกเขาออกเดินทางได้” จ้าวหยางหลงตอบ
“ทะ…” ยังไม่ทันที่จะถามต่อจ้าวหยางหลงก็เอ่ยขัดขึ้นเสียงก่อน
“ลี่เอ๋อร์เดี๋ยวพี่ไปทำธุระสักครู่เจ้าอยู่กับซิ่นหวาก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่มา” หางตาเหลือบไปเห็นเงาที่ให้ติดตามหงซูเจียวกลับมาก็รีบเอ่ยขอตัวทันที
“เจ้าค่ะ”
“ว่ามา” เสียงเข้มเอ่ยทันทีหลังจากเดินออกมาไกลพอควร
“เรียนท่านประมุขเป็นไปดั่งที่คาดการณ์ไว้ ทางนั้นเริ่มเตรียมการและรอโอกาสลงมือแล้วขอรับ”
“ปล่อยข่าวออกไปตามแผนที่วางไว้”
“ขอรับ” เมื่อเงาหายไปแล้ว จ้าวหยางหลงก็เดินกลับมาภายในศาลาสวนดอกไม้ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“ท่านพี่มีอะไรไม่สบายใจหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม นิดหน่อยเห็นทีคราวนี้พี่คงตอบคำถามเจ้าเมื่อครู่ได้แล้วละ แต่เดี๋ยวรอครอบครัวเจ้ามาให้พร้อมก่อนจะดีกว่า”
“พ่อบ้านให้คนไปแจ้งท่านพ่อตาแม่ยายและพี่ภรรยาทีว่ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบ”
“ขอรับ”
ราวหนึ่งเค่อ (15 นาที) ทุกคนก็มาพร้อมกัน จ้าวหยางหลงจึงเล่าเรื่องราวที่ให้เงาไปสืบมาอย่างละเอียดไม่มีตกหล่นให้ชายต่างวัยทั้งสองได้รับฟัง ทั้งคอยเหลือบมองสตรีทั้งสองที่สีหน้าต่างวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด จางโม่ลี่และหงซูเม่ยต่างคิดไปในทางเดียวกันว่าเหตุใดคนสายเลือดเดียวกันถึงคิดฆ่าแกงกันได้ลงคอ
“พวกท่านคิดจะจัดการอย่างไร” จ้าวหยางหลงเอ่ยถามความคิดเห็นของอีกฝ่าย
หงฮุ่ยเหยียนหันมามองสตรีทั้งสองอย่างขอความคิดเห็น หงเหมยหลิวเห็นดังนั้นก็เข้าใจความหนักใจของสามี เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อ 20 กว่าปีก่อนและที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้เกิดจากฝีมือผู้เป็นน้องชายของเขาเอง
“ท่านพี่ข้าไม่ขอออกความคิดเห็นใดๆ อย่างไรเสียท่านก็จงคิดพิจารณาให้ดีเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับลูกขอตัวก่อน”
“ลี่เอ๋อร์ไปกับแม่เถิดลูก เรื่องพวกนี้ปล่อยให้บุรุษตัดสินกันเองเถิด” หงซูเม่ยหันมากล่าวกับบุตรีที่กำลังตั้งครรภ์ก่อนจะเข้ามาพยุงเดินออกไป
“เฮ้อ!…ท่านประมุขเห็นว่าควรจัดการอย่าง” หงฮุ่ยเหยียนและหงฮุ่ยเจินถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ก่อนที่หงฮุ่ยเหยียนจะเอ่ยถามต่อ
“ท่านพ่อตาหากถามความเห็นข้า ตัวข้าคงตอบได้เพียงว่าสมควรกำจัดถอนรากถอนโคนเสียให้สิ้น ก่อนที่พวกเขาจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่เราในภายภาคหน้า”
“แต่”
“เป็นพวกเขามิใช่หรือที่วางแผนสังหารพวกท่านเมื่อคราก่อน และครั้งนี้ก็ยังคิดจะสังหารพวกท่านอีก”
“ท่านพ่อข้าเห็นด้วยกับท่านประมุข”
“เจินเอ๋อร์!” เสียงร้องอย่างตกใจเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านควรไตร่ตรองดูเถิดว่าที่ผ่านมาเขาเห็นท่านเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดหรือไม่ กี่คราวแล้วที่เขาใช้แผนสกปรกจ้องทำร้ายเราอย่างไม่คิดปราณี หากท่านพ่อยังคงเห็นแก่สายเลือด ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงเป็นตัวข้าหรือท่านแม่ที่พลาดพลั้งสังเวยชีวิตให้แก่ความโลภขี้อิจฉาของน้องชายร่วมสายเลือดท่านเป็นแน่” หงฮุ่ยเจินพูดตามที่คิดจริงๆ ตัวเขาไม่เคยไว้ใจสกุลหงสายรองแม้แต่น้อย และยิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือของผู้เป็นอาก็ยิ่งแค้นและควรกำจัดให้สิ้น
หงฮุ่ยเหยียนคิดตามที่บุตรชายบอกกล่าวก็ได้แต่ทำใจ เขาไม่ควรเห็นแก่สายเลือดอีกต่อไปในเมื่อคนผู้นั้นคิดจะสังหารพวกเขาทั้งหมด ชายชราหลับตาลงข่มความรู้สึกมากมายด้วยหัวใจที่เจ็บปวดก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“ท่านคงคิดแผนไว้แล้วใช่หรือไม่” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ยถามลูกเขยทันที
“ใช่” คำตอบสั้นๆ เอ่ยออกมา หลังจากนั้นทั้งสามก็ใช้เวลาปรึกษากันร่วมหนึ่งชั่วยาม (2 ชั่วโมง) ต่างคนต่างแยกย้ายไปยังเรือนของตนเพื่อปลดปล่อยจิตใจที่หนักอึ้งออกไป