ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 30
ยามเหม่า (05.00-6.59 น.) เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บที่ท่อนแขนสลับกับเสียงโวยวายดังขึ้นไม่หยุดออกมาจากเรือนรับรองที่หงซูเจียวพักอาศัยอยู่ ลี่หลินสาวใช้คนสนิทไม่รู้จะทำเช่นใดจึงรีบเร่งเท้าไปขอร้องให้ฮูหยินหงมาช่วยห้ามคุณหนูของนางที่กำลังอาละวาดจนลืมสิ้นถึงคุณสมบัติของสตรีในห้องหอ
หงเหมยหลิวจำใจต้องเข้าไปห้ามปรามอีกฝ่ายถึงจะไม่เต็มใจนักด้วยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็รู้สึกโมโหสามีและบุตรชายที่ทำการอันใดไม่คิดปรึกษานาง จนอดที่จะห่วงความรู้สึกของบุตรีที่กำลังตั้งครรภ์ไม่ได้ที่พบเจอเหตุการณ์สะเทือนใจเมื่อคืน และรู้สึกโกรธแค้นที่สตรีตรงหน้าที่กล้าคิดแย่งชิงสามีบุตรีของนาง
แม้นางจะเคยเอ็นดูสตรีตรงหน้าแต่เมื่อบุตรชายเล่าบางอย่างให้ฟัง นางก็ยังมิได้รู้สึกเกลียดชังเพราะเชื่อว่านางจำเป็นต้องทำตามที่บิดาสั่ง แต่ทว่าครั้งนี้ต่างกันออกไป
“ฮือ…ท่านป้าช่วยเจียวเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ” เมื่อซูเจียวเห็นฮูหยินหงเข้ามาก็ร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า” เหมยหลิวแสร้งถาม
“ฮือ…เรื่องนี้ช่างน่าอายนักท่านป้า หากผู้อื่นรู้เข้าเห็นทีเจียวเอ๋อร์คงมิสามารถแต่งกับผู้ใดได้อีก” ซูเจียวยังคงตอบ
“ตายจริงเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียวรึ” เหมยหลิวแสร้งตกใจทำทีไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“ท่านป้าต้องให้ความยุติธรรมกับข้านะเจ้าคะ เจียวเอ๋อร์มิได้ใส่ความผู้ใดอีกทั้งฮูหยินจ้าวยังสามารถเป็นพยานในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ ฮือ…ฮือ…” ซูเจียวยังคงเอ่ยทั้งเอ่ยถึงฮูหยินจ้าวขึ้นมาอ้างด้วยนางเห็นกับตาว่าสตรีนางนั้นเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ขออภัยที่ข้าน้อยเสียมารยาท แต่นายหญิงให้มาแจ้งว่าต้องการพูดคุยกับท่านทั้งสอง ตอนนี้นายหญิงและท่านประมุข รวมถึงนายท่านหงและคุณชายใหญ่รออยู่ที่ห้องโถงแล้วขอรับ” ขณะที่หงเหมยหลิวกำลังจะเอ่ยต่อว่าสตรีตรงหน้ากลับถูกขัดขึ้นเสียก่อนโดยผู้เป็นพ่อบ้านประจำพรรคมังกรทมิฬ
“อืม” หงเหมยหลิวรับคำก่อนจะปรายตามองไปยังสตรีอีกนางที่ยังคงแสร้งก้มหน้าสะอึกสะอื้นเสียใจด้วยสายตาเกลียดชัง
“หงซูเจียวหากเจ้าถามหาความยุติธรรมก็จงรีบไปเถิด” ว่าจะหงเหมยหลิวก็เดินออกมามิได้ใส่ใจสตรีอีกนางที่มีผ้าขาวพันไว้รอบแขน เพราะถูกลูกเขยของนางอัดด้วยฝ่าเท้าจนแขนหักอย่างที่เห็น
ในห้องโถงบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึมสีหน้าทุกคนต่างเคร่งเครียด ด้วยสตรีเพียงหนึ่งในห้องมิได้มีรอยยิ้มปรากฏออกมาให้เห็นดั่งเช่นทุกครั้ง และเมื่อสตรีทั้งสองเดินเข้าหนึ่งในนั้นเป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่างการรอคอยจึงสิ้นสุดลงเมื่อจางโม่ลี่เอ่ยถามสตรีนางนั้นด้วยท่าทางเรียบเฉย
“ญาติผู้น้อง…เจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดเมื่อคืนเจ้าถึงได้นอนสิ้นสติทั้งบาดเจ็บเยี่ยงนั้น” โม่ลี่เน้นย้ำคำว่าญาติผู้น้องเป็นพิเศษก่อนจะเอ่ยถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
“พี่สาว ฮือ…ฮึกก…ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่ข้านะเจ้าคะ” หงซูเจียวแสร้งร้องไห้ทั้งที่ยังเรียกร้องหาความยุติธรรมจากคนตรงหน้า
“หากเจ้ายังร้องไห้เช่นนี้ เห็นทีข้าคงช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่เจ้ามิได้” โม่ลี่เอ่ยอย่างใจเย็น
“ขออภัยเจ้าค่ะ เรื่องที่จะเล่าช่างน่าอับอายนักหากผู้อื่นเอาไปพูดข้าคงมิสามารถแต่งให้ผู้ใดได้อีก” ซูเจียวยังคงแสร้งเอ่ยทั้งลอบยิ้มในใจ
“หากเป็นเรื่องใหญ่ก็จงเล่ามา อย่าได้มัวแต่ชักช้าเลยญาติผู้น้อง”
“เมื่อคืนข้ารู้สึกนอนไม่หลับจึงออกมาเดินรับลมรู้ตัวอีกทีข้าก็ถึงยังศาลาประจวบเหมาะกับเจอท่านประมุขจ้าวยืนอยู่จึงเข้าไปทักทาย ในระหว่างนั้นลี่หลินที่ออกตามหาข้าก็มาพบเขากับท่านประมุขพอดี อีกทั้งตัวข้าและท่านประมุขยังมิรู้สึกง่วงจึงให้ลี่หลินชงชา และอยู่พูดคุยกับท่านประมุข” ซูเจียวพูดก็เว้นวรรคลอบมองประมุขจ้าวและท่าทีของจางโม่ลี่
“เมื่อลี่หลินนำชามาให้ข้าจึงพูดคุยกับท่านประมุขเพียงครู่ ก่อนที่ลี่หลินจะขอตัวไปดับไฟในครัวจึงเหลือเพียงข้าและท่านประมุขอยู่ตามลำพัง แต่ท่านประมุขกับพยายามจะข่มเหงข้าที่เป็นสตรีอ่อนแอ พี่หญิงเจียวเอ๋อร์พยายามเอ่ยห้ามแล้วนะเจ้าคะ แต่ท่านประมุขก็หาฟังความไม่ จนข้าเห็นพี่สาวกำลังเดินมาและกำลังจะเอ่ยขอความช่วยเหลือ แต่จู่ๆ ข้ารู้สึกถึงแรงปะทะจนเจ็บปวดยิ่งนักและหมดสติไปอย่างที่พี่สาวเห็นเจ้าค่ะ” หงซูเจียวว่าจบก็แสร้งทำใบหน้าเศร้าเสียใจ
“อืม…แล้วท่านประมุขจ้าวมีอะไรจะกล่าวกับข้าหรือไม่” โม่ลี่หันไปถามผู้เป็นสามีที่กำลังข่มอารมณ์ไว้อย่างยิ่งยวด
“ลี่เอ๋อร์เรื่องที่นางเล่าหาได้เป็นความจริงไม่ พี่ให้สัญญากับเจ้าว่าจะมีเจ้าเป็นฮูหยินแต่เพียงผู้เดียว นอกจากเจ้าแล้วชั่วชีวิตนี้พี่มิคิดชายตามองผู้ใดอีก” หยางหลงตอบคำพูดและสายตาคมเข้มทว่าหนักแน่นมองภรรยาเพียงหนึ่งเดียว
“ทะ…ท่าน” หงซูเจียวกำลังจะเอ่ยแต่ทว่าเสียงดุดันดังขึ้นจนนางต้องหุบปากฉับร่างกายสั่นด้วยความกลัว
“เงียบ!!…อย่าได้คิดพูดอันใดให้ข้าระคายหูมิฉะนั้นข้าจะตัดลิ้นสกปรกของเจ้าซะ” เสียงดุดันเข้มดังขึ้นด้วยโทสะในใจจนสตรีต้นเหตุของเรื่องเงียบ
“เช่นนั้นท่านก็กล่าวมาเถิดว่าเมื่อคืนเกิดสิ่งใดขึ้น” โม่ลี่ยังคงกล่าวด้วยเสียงและใบหน้าเรียบเฉย
จ้าวหยางหลงเห็นดังนี้ก็รู้สึกวิตกกังวลเพราะไม่รู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ในใจ จึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้นางฟังอย่างละเอียดมิตกหล่นไม่ว่าจะเป็นยาปลุกกำหนัดที่พบเคลือบอยู่บนถ้วยชา และจดหมายที่นางให้ลี่หลินสาวใช้คนสนิทวางไว้ใต้หมอน
“ทั้งหมดเป็นดั่งที่พี่กล่าว และนี่จดหมายที่คนของพี่นำมาให้เจ้าลองเปิดอ่านดูเถิด” จ้าวหยางหลงพูดจบก็ส่งจดหมายให้ภรรยาทันที แต่ทว่านางกลับไม่เปิดอ่านแม้เพียงน้อยทั้งยังขย้ำจดหมายทิ้งคามือ จนทำเอาจ้าวหยางหลงได้แต่กังวลเพิ่มไปอีกเท่าตัว
“พี่สาวข้าถูกใส่ความ” เมื่อหงซูเจียวเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจว่าญาติผู้พี่ที่นางรู้สึกเกลียดชังก็ลอบยิ้มสะใจ
“ท่านประมุขจ้าวเหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น ทั้งที่ความจริงเป็นท่านที่พยายามข่มเหงข้า ฮือ…” หงซูเจียวแสร้งร้องไห้จนน่าสงสาร
“เจ้า!…” บุรุษจากสกุลหงทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็กำลังจะพูดขึ้นแต่ก็ถูกน้ำเสียงอ่อนหวานแทรกขึ้นเสียก่อน
“ช่างน่าเห็นใจนัก” จางโม่ลี่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน จ้าวหยางหลงและพ่อลูกสกุลหงได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด
“พี่สาวต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ สตรีอ่อนแอเช่นข้าจะกระทำเรื่องบัดสีต่ำทรามเช่นนั้นได้อย่างไร” หงซูเจียวเอ่ยอย่างน่าสงสาร
“แล้วเหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้ากันญาติผู้น้อง ช่วยบอกเหตุผลให้ข้าฟังได้หรือไม่” ทันทีที่จางโม่ลี่เอ่ยจบหงซูเจียวก็ชะงักไปทันที
“เหตุใดเจ้ายังถามข้า ในเมื่อเจ้าก็รู้เห็นทุกอย่าง” หงซูเจียวเริ่มเสียแข็ง ต่างจากบุรุษทั้งสามที่ได้รับฟังนั้นสีหน้าดีขึ้น
“ใช่…ข้ารู้และเห็นทุกอย่างดั่งที่เจ้ากล่าว” โม่ลี่หยุดก่อนที่จะพูดต่อ
“ลี่เอ๋อร์” จ้าวหยางหลงเอ่ยอย่างใจเสียกับสิ่งที่ได้ยิน จางโม่ลี่เพียงปรายตามองก่อนจะพูดต่อ
“ข้าเห็นสามีข้าพยายามถอยออกห่างจากเจ้าที่พยายามขยับกายเข้าหาเขาตลอดเวลา และข้าก็เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยท่าไม้ตายของสามีข้าเสียด้วย” โม่ลี่ยังคงกล่าวเสียงเรียบทว่ากับยกยิ้มมุมปาก ให้คิดแล้วก็อดขำมิได้ที่สามีนางใช้ฝ่าเท้าอันทรงพลังอัดเข้าร่างสตรีตรงหน้าจนแข็งหักอีกทั้งยังรวดเร็วจนนางชะงักอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้า!…” หงซูเจียวตวาดด้วยความไม่พอใจที่ทำอะไรสตรีตรงหน้าไม่ได้ทั้งยังไม่เชื่อสิ่งที่นางพูด
“หงซูเจียวข้าอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าใช้อันใดคิดถึงได้กล้ากระทำตนเยี่ยงนี้”
“เหตุใดเจ้าจึงมิเชื่อข้าที่เป็นสตรีด้วยกัน” หงซูเจียวเก็บความไม่พอไว้แต่ก็ยังถาม
“ที่ข้ามิเชื่อเจ้าก็เพราะการกระทำของเจ้าที่ผ่านมา สตรีด้วยกันมองตาก็รู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด” โม่ลี่ตอบ
“หึ…แล้วเจ้ามิคิดหรือว่าสามีเจ้าอาจจะพึงพอใจในตัวข้า หรือแท้จริงแล้วเจ้ามีจิตใจคับแคบมิต้องการให้เขารับหญิงอื่นมาเป็นฮูหยินรองกันแน่”
“หงซูเจียวมันจะมากไปแล้วนะ” เสียงของหงฮุ่ยเจินดังขึ้นด้วยความโมโห เขาทนยืนฟังสตรีหน้าด้านนางนี้มานานแล้วแต่นางก็ยังไม่คิดที่จะหยุดเข้าข้างตนเองจนเขาทนไม่ไหว
“ซูเจียวเจ้าหยุดเถอะ” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ยปราม
“เหตุใดข้าต้องหยุดในเมื่อข้าพูดความจริง ใช่สิในเมื่อพวกท่านพบบุตรีที่พรากจากกันแล้ว จึงมิเห็นข้าอยู่ในสายตา” หงซูเจียวยังคงพูดต่อจ้องมองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง
“ความจริงอันใด ในเมื่อข้าและท่านพ่อได้ยินบทสนทนาที่ดังออกจากปากเจ้าเยี่ยงหญิงคณิกาด้วยหูของตัวเอง และเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเริ่มนี่รึความจริงที่เจ้าว่า” หงฮุ่ยเจินเป็นผู้ตอบ
“กรี๊ดด!!….พวกเจ้าวางแผนกันกลั่นแกล้งข้าใช่หรือไม่” ตอนนี้นางกากที่นางสวมใส่หลุดออกมาให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าสตรีที่ดูอ่อนหวานนางนี้ไม่ต่างอันใดกับอสรพิษดีๆ นี่เอง
“ท่านพ่อ ท่านพี่เจินให้ข้าจัดการปัญหาตรงหน้าเถิดเจ้าค่ะ”
“หงซูเจียวเจ้าควรหยุดเสียทีลืมสิ่งที่สตรีพึงกระทำแล้วรึ”
“หึ…เจ้าก็พูดได้สิในเมื่อเจ้าไม่คิดที่จะเชื่อและเห็นใจสตรีด้วยกันทั้งที่เจ้าเป็นญาติผู้พี่ของข้า แต่เจ้ากลับเชื่อบุรุษที่เป็นสามีเจ้าแทน ช่างโง่งมนัก”
“ใช่…ข้าไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าบอก ข้าเลือกเชื่อและไว้ใจผู้ที่เป็นสามีมากกว่าญาติผู้น้องที่เพิ่งพบกันเพียงไม่กี่วัน สตรีที่กล้าวางยาปลุกกำหนัดและยั่วยวนสามีผู้อื่นเช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนเช่นนี้เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกหรือหงซูเจียว” จางโม่ลี่ยกถ้วยชาที่มีผงกำหนัดเคลือบอยู่ที่ปากถ้วยและมองไปยังจดหมายที่นางขย้ำทิ้งอย่างไม่คิดจะเปิดอ่านข้อความด้านใน
“เจ้า!!…” หงซูเจียวตวาดลั่นจนด้วยคำพูด
“ข้าเชื่อว่าพี่หลงไม่มีวันที่จะทำให้ข้าและลูกที่กำลังเกิดมาต้องเสียใจแม้มันจะดูโง่งมในสายตาเจ้า และมีอีกสิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าหงซูเจียว ข้าจะไม่มีวันให้ผู้ใดเข้ามาแทรกแซงทำลายครอบครัวของข้าเด็ดขาด” เสียงหวานแต่ทว่าแฝงไปด้วยความเด็ดขาด ทำเอาจ้าวหยางหลงต้องเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย
“สุดท้ายเจ้ามันก็เป็นสตรีใจคอคับแคบ” หงซูเจียวยังคงไม่สำนึก
“ผิดแล้วหงซูเจียว หากวันใดที่พี่หลงต้องการที่จะรับฮูหยินรองเข้ามา ข้าก็ยินดีที่จะรับนางเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงมันจะผิดคำสัญญาที่ท่านประมุขให้ไว้กับข้าก็ตาม” โม่ลี่ยังคงกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย แม้หากมีวันนั้นจริงๆ ก็คงต้องยอมรับ
“ลี่เอ๋อร์ชั่วชีวิตนี้พี่จะรักและมีเจ้าแต่เพียงผู้เดียว หากผิดไปจากนี้ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ให้ข้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมานภาย 3 วัน” จ้าวหยางหลงเอ่ยเสียงเข้มทว่าหนักแน่นดั่งขุนเขา
“ข้าเชื่อท่านเจ้าค่ะพี่หลง” จางโม่ลี่ยิ้มให้อย่างอ่อนหวานเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืน จ้าวหยางหลงที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูก
“หงซูเจียวเจ้าควรกลับไปพร้อมบิดาและพี่ชายข้า และจงใช้สมองของเจ้าไตร่ตรองความผิดของเจ้าเสีย ต่อไปจะได้ไม่กระทำตัวน่าอายให้เสื่อมเสียเกียรติไปถึงบิดามารดาเจ้าเช่นนี้อีก” โม่ลี่เอ่ยเสียงเรียบมองสตรีตรงหน้าเรียบเฉย
“หึ…ไม่ต้องไล่ ข้าก็มิอยากอยู่ให้พวกเจ้ากลั่นแกล้งรังแกข้าหรอก ลี่หลินเตรียมตัวเก็บของข้าจะกลับเมืองไห่ตอนนี้” หงซูเจียวโมโหและรู้สึกคับแค้นใจที่ทำอะไรสตรีตรงหน้าไม่ได้
“ตะ…แต่” ลี่หลินกำลังจะค้านด้วยเพราะคุณหนูของตนบาดเจ็บการเดินทางอาจกระทบกระเทือนจึงอดเป็นห่วงไม่ได้
“หุบปาก” หงซูเจียวตวาดก่อนจะปรายตามองคนสกุลหงสายหลักที่มองนางอยู่
“จงจำสิ่งที่พวกท่านกระทำกับข้าไว้ให้ดี” หงซูเจียวเอ่ยอาฆาตออกมา ด้วยไม่จำเป็นต้องแสร้งทำตัวอ่อนหวานแสนดีอีกแล้ว นางจะให้บิดาส่งมือสังหารมาฆ่ามันให้หมดในเมื่อทำอะไรสตรีแพศยาไม่ได้ก็ทำกับครอบครัวของมันแทน
หลังจากหงซูเจียวเดินหายออกไปบรรยากาศภายในห้องโถงก็ดีขึ้น ทุกคนใช้เวลาพูดคุยเรื่องราวเมื่อคืน รวมถึงแผนการที่บุรุษทั้งสามร่วมมือกันอยู่ครู่หนึ่งจึงแยกย้ายกันออกไปพักผ่อน
“ลี่เอ๋อร์ขอบใจที่เจ้าเชื่อใจพี่ แล้วเจ้าโกรธพี่หรือไม่” จ้าวหยางหลงและโม่ลี่เดินมายังศาลาริมน้ำที่เกิดเหตุเมื่อคืน
“ข้าเชื่อใจท่านเจ้าค่ะ” โม่ลี่เว้นวรรคและพูดต่อ
“หากถามว่าโกรธไหม น้องสามารถตอบได้เลยว่าโกรธเจ้าค่ะ ท่านเคยรับปากอะไรกับข้าไว้ยังจำได้หรือไม่”
“จำได้ แต่พี่กลัวเจ้าจะคิดมากและกลัวจะกระทบถึงลูกในครรภ์ของเรา พี่จึงมิได้บอกเจ้าอย่าโกรธเคืองพี่เลยนะคนดี”
“ไม่โกรธก็ได้เจ้าค่ะ แต่…” โม่ลี่เว้นวรรค
“แต่อันใด” เมื่อเห็นภรรยาตัวน้อยมิยอมพูดจ้าวหยางหลงจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แต่ท่านพี่ควรหาที่นอนใหม่สัก 7 วันหากยังดื้อดึงมิยอมทำตามหรือริแอบเป็นโจรเด็ดบุปผาละก็อย่าหาว่าน้องใจร้ายนะเจ้าคะ” ว่าจบก็ก้าวไปยังเรือนนอนเพื่อพักผ่อนโดยมีซิ่นหวาเป็นผู้ประคองไม่ห่างมิสนใจสามีที่กำลังนิ่งค้างไป
จ้าวหยางหลงได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่อ้าปากค้างซวนเซไม่คิดว่าภรรยาตัวน้อยจะขับไล่ไสส่งให้เขาออกไปนอนที่อื่นเช่นนี้ แถมยังริอาจข่มขู่จนเขามิกล้าจะกระทำการอันใดด้วยกลัวว่านางจะไม่พอใจและทำสิ่งเขาคาดไม่ถึงอีก แค่เห็นใบหน้าและน้ำเสียงที่เรียบเฉยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นเมื่อคืนและในห้องโถงวันนี้เขาก็ไม่กล้าที่จะขัดใจนางแม้แต่น้อย เมื่อทำใจได้ก็ต้องเดินคอตกไปยังเรือนด้านข้างที่เขาใช้นอนหลับเช่นเมื่อคืน