ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 3
2 เดือนผ่านไปนางก็สามารถปรับตัวให้ชินกับยุคสมัยนี้ได้มาก ท่านยายทำหน้าที่สอนงานเย็บปัก และขนบธรรมเนียมต่างๆ ให้นางได้รับรู้ ซึ่งนางก็ทำจดจำได้เร็วเพราะด้วยนางทำเป็นประจำอยู่แล้วในยุคก่อน ยกเว้นเพียงวาดภาพ ดนตรี หมาก กาพย์กลอนเท่านั้นที่ท่านยายมิได้สอนด้วยเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นจะจ้างอาจารย์มาสอนหลานสาวก็หาได้มีทรัพย์มากมายได้แต่นึกเสียดาย นางจึงได้บอกท่านยายว่ามิต้องห่วงด้านภาพวาด ดนตรี หมากนางพอมีความสามารถอยู่บ้างมิต้องเป็นห่วง
แต่ที่นางหนักใจคือธรรมเนียมปฏิบัติข้อห้ามมากมายก็ยิ่งนึกเห็นใจสตรียุคนี้ สตรีไม่มีบทบาทนอกเสียจากให้กำเนิดบุตร ทั้งคำสอนสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม ถ้าหากสามีให้ทำสิ่งไม่ดีเล่าจะเกิดอะไรขึ้น ใครจะรับผิดชอบแทนพวกนางกันหากถูกจับได้ เฮ้อ…ไหนจะคำที่ว่า สตรีมิควรเก่งเกินบุรุษเพราะจะถูกมองไม่ดีในสังคม ห้ามสยายผมต่อหน้าบุรุษที่มิใช่สามี ห้ามเปลือยเท้าให้บุรุษเห็น ช่างขาดอิสระทางความคิดและการกระทำอย่างสิ้นเชิง
ยามรุ่งโม่ลี่ตื่นแต่เช้าปัดกวาดห้องนอนรวมถึงบริเวณรอบกระท่อม โดยวันนี้นางขอเป็นผู้ลงทำอาหารให้ท่านตาท่านยายได้ลองชิมโม่ลี่เดินมายังห้องครัวสายตาสอดส่ายหาวัตถุดิบรวมทั้งอุปกรณ์ทำครัวก่อนจะเห็นเนื้อไก่ เนื้อหมูพืชผักผลไม้และสมุนไพรที่คุ้นเคยจึงเร่งมือทำก่อนถึงมื้อเช้ายามเฉิน (07.00-8.59 น.)
“ลี่เอ๋อร์อาหารของเจ้าหน้าตาน่าทานนักทั้งกลิ่นยังหอม ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” ท่านยายเจียวฉือเป็นผู้ถามหลังจากทั้งสามนั่งเรียบร้อยแล้วมองอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า
“อันนี้ผัดผักสามรส ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง และต้มยำไก่น้ำใสเจ้าค่ะ” โม่ลี่บอกชื่ออาหารแต่ละอย่างให้ทั้งสองได้ฟัง
“ท่านตาท่านยายลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่ หลานยังทำขนมหวานไว้ด้วยนะเจ้าคะ” โม่ลี่ชักชวนทั้งสองลิ้มลองรสชาติอาหาร
“อร่อยมาก ยายชอบต้มยำไก่รสชาติเปรี้ยวเผ็ดเค็มกำลังดีเชียว”
“ไข่ตุ๋นนุ่มละมุนลิ้น ผัดผักสามรสเปรี้ยวหวานรสชาติดียิ่งนัก” ท่านตาเอ่ยชมด้วยความอร่อยไม่นานอาหารเช้าก็หมดลง โม่ลี่จึงยกของหวานขึ้นโต๊ะ
“อันนี้เรียกว่ามันต้มขิง มีประโยชน์ยิ่งนักช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ทั้งยังช่วยให้ร่างกายอบอุ่นหลานเห็นว่าอากาศเริ่มเย็นจึงทำให้ท่านตาท่านยายทานเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามากลี่เอ๋อร์ ข้าเพิ่งรู้ว่ามันนำมาทำขนมได้นอกจากเผาไฟไว้ทานอย่างเดียว” ทั้งสองทานขนมหวานตรงหน้าหลังจากทานไปแล้วร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างที่หลานสาวบอกไม่มีผิด
“รสชาติหวานกำลังดี ได้กลิ่นหอมของขิงช่วยให้จมูกโล่งยิ่งนัก” ท่านตาเป็นผู้กล่าว
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยนางก็ออกมาเดินย่อยอาหารรอบกระท่อมที่พักพลางมองท้องฟ้าที่มิค่อยมีแดดนักเนื่องด้วยเริ่มเข้าสู่ฤดูตงเทียน (หนาว) ระหว่างนี้คงต้องเก็บตุนเสบียงอาหารไว้บ้างแล้ว นางขบคิดวิธีแปรรูปและถนอมอาหารไว้เพื่อมิให้เน่าเสียได้ง่ายนางคงต้องรีบปรึกษาท่านตาท่านยายเสียก่อนที่จะฤดูหนาวจะมาถึงในไม่ช้า
“ท่านตาท่านยายเจ้า ลี่เอ๋อร์มีเรื่องจะปรึกษาเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะปรึกษาอันใดตากับยายรึ”ทั้งสองตั้งใจฟัง
“ลี่เอ๋อร์เห็นว่าอีกไม่หนาวจะเข้าฤดูหนาว หลานคิดว่าเราคงต้องเตรียมกักตุนเสบียงอาหารไว้เจ้าค่ะ”
“อืม…ตาก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ตาจะเข้าไปซื้อข้าวสารกักตุนไว้” ชายชราครุ่นคิด
“ท่านตาหลานอยากได้เกลือและน้ำตาลกรวดเพิ่มเจ้าค่ะ”
“ตาจะหาซื้อให้แต่เจ้าจะเอาไปทำอันใดรึลี่เอ๋อร์” ชายชราถามอย่างสงสัย
“หลานจะนำมาทำผลไม้หมักดองเอาไว้ทานในช่วงฤดูหนาวเจ้าค่ะ ทำให้ผลไม้อยู่ได้นานขึ้น”
“โอ้!!!…ดีๆ มากๆหากเป็นเช่นนั้นช่วงหน้าหนาวคงไม่ลำบากมากนัก”
“งั้นในวันนี้ลี่เอ๋อร์จะนำปลา เนื้อสัตว์มาตากแห้งไว้เป็นเสบียงนะเจ้าคะท่านตาท่านยาย”
“ตามใจเจ้าเถอะหลานรัก ให้ยายช่วยอันใดได้ก็บอกนะ หากเหนื่อยก็พักอย่าได้ฝืนเดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้ ยายจะเย็บเสื้อกันหนาวให้เจ้าไว้ใส่เสียหน่อย” หญิงชราเอ่ยอยากใจดีพลางลูบศีรษะอย่างเอ็นดู
“ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ” โม่ลี่ยิ้มออดอ้อนซุกโอบเอวท่านยายเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูทั้งสองได้ดี
หลังสนทนากันเรียบร้อยนางก็เดินมาที่ห้องครัวเพื่อลงมือทำความสะอาดปลาและเนื้อสัตว์ทั้งหมดแล้วนำมาตากแห้งบ้างรมควันบ้างจนเสร็จก็เข้ายามเซิน (15.00-16.59 น.) แล้วจึงรีบทำอาหารเย็นไว้ให้ท่านตาท่านยาย
ฤดูหนาวปีนี้ความเป็นอยู่ของสองตายายดีกว่าทุกๆ ปีด้วยเสบียงอาหารมีอยู่อย่างเพียงพอมิได้ขาดแคลนเหมือนแต่ก่อน ทุกวันก็จะมีหลานสาวคอยเอาอกเอาใจปรนนิบัติอยู่ไม่ห่างทั้งบีบนวดออดอ้อนคอยทำอาหารแปลกใหม่ให้ทานอยู่เสมอสร้างความสุขให้สองตายายไม่น้อยจวบจนเข้าฤดูชิวเทียน (ใบไม้ร่วง) อากาศเริ่มอุ่นขึ้นทั้งสามยังคงดำเนินชีวิตต่อไปท่ามกลางความสุขและชีวิตที่เรียบง่าย
“ท่านตาวันนี้เข้าไปที่หมู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่วันนี้ตาจะนำปลาไปขายสายๆ ถึงจะกลับ เจ้ามีอะไรหรือ”
“หลานอยากไปด้วยได้ไหมเจ้าคะ” โม่ลี่ถามอย่างตื่นเต้นด้วยยังไม่เคยเห็นบรรยากาศภายนอกโดยไม่สังเกตเห็นความหนักใจของชายชราตรงหน้าที่เหลือบมองไปทางภรรยาอย่างขอความเห็น
“ท่านพี่พานางไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีเจ้าค่ะ แต่ลี่เอ๋อร์เจ้าต้องสวมผ้าคลุมปิดหน้าห้ามเปิดเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ มิเช่นนั้นยายจะไม่อนุญาตให้เจ้าไปเที่ยวเล่นเป็นแน่” เจียวฉือตอบสามีก่อนจะหันไปบอกกล่าวกับหลานสาว
“เจ้าค่ะท่านยาย หลานกับท่านตาจะรีบกลับ แล้วจะซื้อของอร่อยๆ มาฝากนะเจ้าคะ” โม่ลี่ยิ้มดีใจ
“มิต้องซื้อมาหรอกลี่เอ๋อร์สิ้นเปลืองเสียเปล่า และของที่ว่าอร่อยยังสู้ฝีมือเจ้ามิได้เลยแม้แต่น้อย”ท่านยายเย้า
“ท่านยายล้อลี่เอ๋อร์เล่นแล้ว งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ลี่เอ๋อร์จะทำของอร่อยให้ท่านทานนะเจ้าคะ” โม่ลี่ยิ้มออดอ้อนพลางเดินเข้าไปกอดก่อนจะหอมแก้มท่านยายอย่างเอาใจ
“แนะ…เจ้าหลานคนนี้ รีบไปเถอะเดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน” เจียวฉือหยิกแก้มนวลอย่างหยอกเย้าพลางหันไปหยิบผ้าคลุมหน้าสวมใส่ให้หลานสาวตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าผูกไว้แน่นหนาก่อนจะปล่อยทั้งสองตาหลานไปตลาดในหมู่บ้าน
หลังจากตั้งร้านเสร็จนางเอ่ยขออนุญาตท่านตาไปเดินดูสินค้าในหมู่บ้าน ที่แห่งนี้ถือว่ามีขนาดกลางผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกันไม่น้อย ท่ามกลางผู้คนมีสายตาบุรุษมากมายเมียงมองอย่างใคร่รู้ใคร่สงสัยเพราะมิเคยพบสตรีนางนี้มาก่อนและใบหน้าที่ปกปิดด้วยผ้าขาวก็มิอาจบดบังความงามที่ซ่อนอยู่ อีกทั้งผิวพรรณที่ขาวราวหยกนั้นแตกต่างจากลูกชาวบ้านธรรมดาและดวงตาสวยคู่นั้นที่เผลอไปสบกลับทำให้บุรุษน้อยใหญ่พากันหลงใหลโดยที่เจ้าตัวมิรู้เรื่องราวอันใด
“หลี่เจี้ยนแม่นางนั้นเป็นอะไรกับเจ้ารึ” พ่อค้าแผงด้านข้างเอ่ยถามขึ้นด้วยรู้จักกับหลี่เจี้ยนมานานทั้งสองผัวเมียไม่มีบุตรหลานแล้วแม่นางคนนั้นคือใครกัน
“นางเป็นหลานบุญธรรมข้าเอง” หลี่เจี้ยนตอบ
“แล้วแม่นางเป็นใครมาจากไหนกัน เหตุใดเจ้าถึงรับนางเป็นหลานบุญธรรม”
“นางเป็นกำพร้าร่อนเร่ไปทั่วข้าไปพบนางบาดเจ็บที่ชายป่าจึงรับนางไว้ ทั้งข้าและภรรยาไม่มีบุญหลานจึงเอ็นดูนางยิ่งนัก” หลี่เจี้ยนเอ่ยพลางมองไปที่หลานสาวที่เดินดูนั่นดูนี่ไปตลอดทางด้วยความเอ็นดู
“เป็นเช่นนี้เอง”พ่อค้าข้างแผงเอ่ย
“ฮึ่ม…เจ้าพวกน่าตาย” หลี่เจี้ยนเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเมื่อหันไปมองหลานสาวที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังเป็นที่สนใจของบุรุษไม่น้อยแต่จำใจต้องปล่อยหลานสาวเที่ยวเล่นบ้าง โดยเขาคอยจับตาดูอยู่ห่างๆ“ขนาดปกปิดใบหน้ายังมิวายมีบุรุษลอบมอง”หลี่เจี้ยนคิดในใจ
นางเดินชมตลาดในหมู่บ้านอย่างเพลิดเพลินมิได้สังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวว่าตอนนี้มีบุรุษไม่น้อยมองมาด้วยความสนใจทั้งบ้างคนยังส่งสายตาเชื่อมหวานมาให้
“โอ๊ะ!!…ขออภัยเจ้าค่ะ” โม่ลี่กล่าวขอโทษบุคคลตรงหน้าด้วยมิทันได้มองให้ดีก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของบุรุษรูปร่างองอาจสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม นางก้าวถอยหลังอย่างเสียการทรงตัวแต่ก่อนที่นางจะนั่งจุกอยู่บนพื้นบุรุษหนุ่มกับวาดแขนโอบประคองนางไว้จนได้กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆ แตะจมูก