ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 29
จางโม่ลี่กำลังนอนขบคิดบางสิ่งที่คอยก่อกวนจิตใจ เมื่อหลายวันก่อนนางรู้สึกกระหายน้ำจึงลุกขึ้นมากลางดึกแต่ทว่าข้างกายกับปราศจากร่างของผู้เป็นสามีจึงลอบมองภายในห้องก็ไม่พบจึงตัดสินใจแย้มผ้าม่านที่เปิดไว้เพื่อรับลม กลับเห็นผู้เป็นสามียืนเพียงลำพังอยู่ภายในศาลาที่ไม่ไกลจากเรือนเจียวอ้ายก็มิได้รู้สึกสงสัย ด้วยเข้าใจว่าสามีคงจะร้อนจึงออกไปรับลมด้านนอกเท่านั้น นางจึงดื่มน้ำและกลับเข้านอนปกติวันรุ่งเช้าก็มิได้เอ่ยถามอันใด
แต่ทว่าคืนต่อมาและต่อมาจนเข้าคืนที่สาม เขาก็ยังคงออกไปยืนอยู่ที่เดิมอีกดั่งคล้ายกำลังรอสิ่งใดอยู่ก็ให้นึกสงสัยกับการกระทำของผู้เป็นสามีอย่างมากแต่ก็ไม่คิดที่จะเอ่ยถาม หลายวันมานี้ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าหงซูเจียวพึงพอใจในตัวสามีของนาง แต่เขาก็มิได้ให้ความสนใจหรือแม้กระทั่งปรายตามองญาติผู้น้องของนางแม้แต่น้อย เห็นทีคืนนี้คงต้องจับตาดูอีกคืนเสียแล้วกระมัง
ยามจื่อ (23.00-24.59 น.) จ้าวหยางหลงก็ยังคงออกมายืนเช่นเดิม แต่ทว่าครานี้สิ่งที่ต่างออกไปคือมีสตรีคุ้นตาเดินเข้ามายังศาลาที่เดียวกับบุรุษผู้นั้นยืนอยู่ ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตกอยู่ภายใต้สายตาที่ลอบมองจากที่ลับทั้งสามคู่แต่ความรู้สึกกับแตกต่างกันออกไป ยังไม่รวมบรรดาเงาที่กระจายกำลังคอยอารักขาผู้เป็นนายอยู่ห่างๆ
“เจียวเอ๋อร์คารวะท่านประมุขจ้าวเจ้าค่ะ” หงซูเจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาน จนบุรุษที่ยืนหันหลังต้องเบือนหน้ากลับมามอง
“อืม…ดึกดื่นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่มิหลับนอนหรืออย่างไร”
“เรียนท่านประมุขเจียวเอ๋อร์รู้สึกร้อนจึงนอนไม่ค่อยหลับ ตั้งใจว่าจะออกมารับลมเท่านั้นแต่ไม่คิดว่าจะเผลอเดินมาไกลถึงเพียงนี้ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม” จ้าวหยางหลงรับคำ
“คะ…คุณหนูเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่าเจ้าคะ” เสียงวิ่งกระหืดกระหอบดั่งแว่วเข้ามาภายในศาลาทำให้คนทั้งสองหันมามอง
“หยุดพักเสียก่อนเถิดลี่หลิน ข้าเพียงนอนไม่หลับจึงออกมารับลมเท่านั้นเผลอเดินออกมาไกลเสียหน่อยจนเจอเข้ากับท่านประมุข” หงซูเจียวแสร้งตอบ
“เช่นนั้นเองหรือเจ้าคะ”
“หากท่านประมุขไม่รังเกียจอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเจียวเอ๋อร์สักครู่ได้หรือไม่” หงซูเจียวใช้น้ำเสียงหวานเย้ายวนบอกกับบุรุษที่ตนปักใจ
“อืม แต่คงไม่นานนัก” จ้าวหยางหลงตอบ
“ลี่หลินเจ้าไปชงชามาเสียหน่อยเถิด อย่าช้านัก” หงซูเจียวเอ่ยบอกสาวใช้คนสนิทลอบขยิบตาให้อีกฝ่ายลงมือตามแผนที่วางไว้
“เจ้าค่ะคุณหนู” ลี่หลินรับคำก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันที
หลังจากที่ลี่หลินเดินออกไปหงซูเจียวก็พยายามชักชวนพูดคุยตลอด แต่กระนั้นชายหนุ่มตรงหน้าก็หาได้ตอบรับอันใดไม่เพียงยืนหันหลังนิ่ง จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อสาวใช้จึงยกถาดน้ำชาเดินตรงมายังศาลา
“น้ำชามาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” ลี่หลินเอ่ยกับหงซูเจียว
“อืม…วางไว้ตรงนั้นแหละ”
“แย่แล้ว” เสียงอุทานตกใจของลี่หลินทำเอาบุรุษและสตรีหันมามอง
“เป็นอันใดของเจ้าลี่หลิน แล้วที่ว่าแย่มันคืออะไร” ซูเจียวแสร้งตกอกตกใจที่สาวใช้อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“บะ…บ่าวลืมดับไฟในครัวเจ้าค่ะ บ่าวกลัวคุณหนูและท่านประมุขจะคอยนานจึงเร่งรีบเสียจนลืมดับฟืนไฟเสียสนิท” ลี่หลินแสร้งทำสีหน้าเศร้ารู้สึกผิด
“เจ้านี่รีบไปดับไฟประเดี๋ยวนี้ หากเกิดไหม้ขึ้นมาจะทำยังไง” หงซูเจียวแสร้งตำหนิสาวใช้
“เจ้าค่ะคุณหนู” ว่าจบลี่หลินก็รีบวิ่งออกจากศาลาทันที
“ขายหน้าท่านประมุขแล้ว เจียวเอ๋อร์ขออภัยแทนคนของข้าด้วยเจ้าค่ะ” ว่าจบก็แสร้งรินน้ำชาใส่ในจอกที่มีผงปลุกกำหนัดเคลือบเตรียมไว้ ก่อนจะส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า
“น้ำชาเจ้าค่ะท่านประมุข” หงซูเจียววางลงด้านหน้า ก่อนที่จะเทส่วนของนางและยกขึ้นจิบทำเป็นสนใจบรรยากาศยามค่ำคืน
จ้าวหยางหลงมองถ้วยชาที่อยู่ด้านหน้าก่อนจะยกขึ้นจิบ หงซูเจียวเห็นดังนั้นก็ได้แต่ลอบยิ้มในใจ บรรยากาศรอบด้านยังคงเงียบทว่าผ่านไปราว 2 จิบชา (ประมาณ 6 นาที) หงซูเจียวที่เห็นบุรุษตรงหน้าเริ่มแปลกไปก็แสร้งถาม
“ท่านประมุขเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” หงซูเจียวไม่พูดเปล่ากับเขยิบเข้าหาร่างแกร่งอย่างจงใจ
“ข้ามิเป็นอันใด” จ้าวหยางหลงจำต้องข่มกลั้นอารมณ์บางอย่างที่กำลังปะทุขึ้น
“จะมิเป็นอันใดได้อย่างไรในเมื่อใบหน้าท่านแดงก่ำเช่นนี้ จะว่าไปวันนี้อากาศออกจะร้อนอบอ้าวไปเสียด้วยซ้ำ ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่เจ้าคะท่านประมุข” ว่าจบนางก็แสร้งทำทีเป็นที่จับคอเสื้อขยับกระพือเล็กน้อยพอให้เห็นเนินอกร่ำไร พลางยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างยั่วยวน
สองบุรุษที่ลอบมองอยู่เมื่อกิริยาของสตรีตรงหน้าก็แทบจะเบือนหน้าออกด้วยความอับอายแทนนางมิได้ สองพ่อลูกสกุลหงมิอยากเชื่อสายตาตนเองจริงๆ ว่านางกล้าที่จะทำเช่นนี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าบุรุษตรงหน้าคือสามีของญาติผู้พี่ของนาง ช่างแพศยาไร้ยางอายเสียจริง
ต่างจากสตรีอีกนางที่ลอบมองเห็นการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็นและมีสติ แต่ภาพตรงหน้าทำเอานางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมิน้อยจนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แต่ก็ยังมิได้ผละออกไปที่ใด จางโม่ลี่เรียกสติตนก่อนหันมามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง ตัดสินใจเดินไปยังศาลาริมน้ำด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดา
“ออกไป!!…” จ้าวหยางหลงกำลังข่มสติที่กำลังจะขาดผึง เหตุใดนางจึงกล้ากระทำตัวเยี่ยงหญิงคณิกามิรักนวลสงวนตัวเสียงตวาดทำเอาซูเจียวชะงักไปเล็กน้อย แต่ทว่านางก็ยังคงเดินตามแผนต่อไปด้วยคิดว่าเขากำลังฝืนบังคับร่างกายมิให้ล่วงเกินนาง
“ท่านประมุขเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่ ให้เจียวเอ๋อร์ดูแลท่านเสียหน่อยไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ” ว่าจบก็ขยับเข้าใกล้บุรุษตรงอีก จ้าวหยางหลงเห็นเช่นนั้นก็ขยับกายออกห่างสตรีตรงหน้าอย่างรังเกียจ
สายตาของหงซูเจียวเหลือบเห็นสตรีที่กำลังเดินมาก็แสร้งดึงชุดคลุมเผยให้เห็นหัวไหล่พอดีให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด ทำทีเป็นสะดุดชายกระโปรงตนเองคว้าจับชายเสื้อของชายหนุ่มไว้ก่อนจะออกแรงกระชากหวังให้นางนั้นเห็นตนและบุรุษตรงหน้าตระกองกอดอยู่ในอ้อมแขนของเขา เพื่อตั้งใจทำให้สตรีนางนั้นเจ็บปวดใจแทบกระอักเลือดทันทีที่เห็นภาพนี้ประจักษ์แก่สายตา
“พลั่ก!!…โครม!!…” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วนักจนบุรุษที่ลอบมองอยู่ถึงกับตกใจอ้าปากค้าง และต้องตกใจเข้าไปอีกเมื่อมีสตรีผู้เป็นบุตรีและน้องสาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสภาพที่ดูไม่ค่อยได้ของญาติผู้น้องที่ตอนนี้สลบไสลมิได้สติไปเสียแล้ว
“ทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะท่านพี่” โม่ลี่เอ่ยถามเสียงเย็นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เอ่อ…พี่…พี่…” จ้าวหยางหลงอดที่สะดุ้งไม่ได้ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนจนเอ่ยอันใดไม่ออก
“เกิดอะไรขึ้นรึ เหตุใดจึงตะกุกตะกักเช่นนั้น” โม่ลี่ถามเสียงเข้ม
“ลี่เอ๋อร์/ลี่เอ๋อร์” เสียงบุรุษประสานขึ้นพร้อมกันเอ่ยเรียกสตรีตรงหน้าอันเป็นที่รัก
“ท่านพ่อ…ท่านพี่…ท่านประมุขจ้าวหยางหลงดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้เหตุใดจึงออกจากเรือนมาตากน้ำค้างกันเจ้าคะ” จางโม่ลี่เอ่ยเรียกผู้มาใหม่ โดยจงใจเน้นชื่อเต็มยศคนท้ายสุดอย่างชัดเจนจนจ้าวหยางหลงลุกลี้ลุกลนด้วยกลัวสตรีตรงหน้าจะเข้าใจผิด แต่จางโม่ลี่ก็มิได้ใส่ใจกับอาการของผู้เป็นสามีและยังเอ่ยถามต่อ
“พอจะมีใครตอบลี่เอ๋อร์ได้หรือไม่ ว่าเหตุใดญาติผู้น้องถึงได้มานอนเล่นตากน้ำค้างอยู่ที่นี่” โม่ลี่ถามคนตรงหน้าทั้งสามที่ยืนนิ่งก่อนจะได้ยินเสียงนึ่งดังแทรกเข้ามา
“ตายแล้ว คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะนายท่าน” ลี่หลินที่เดินตามแผนที่หงซูเจียววางไว้กำลังจะเดินกลับมาเพื่อที่จะเตรียมโวยวายว่าท่านประมุขลวนลามคุณหนู แต่ทว่ากลับพบคุณหนูนอนสลบไสลไม่ได้สติ ท่ามกลางคนทั้งสี่ที่ไม่คิดจะสนใจร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
“เจ้าพาคุณหนูของเจ้ากลับไปยังเรือนรับรอง ประเดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านไปตามท่านหมอมาดูอาการนาง” จางโม่ลี่เอ่ยกับสาวใช้คนสนิทของหงซูเจียวก่อนจะเหลือบตามองสามีนิ่ง
“นี่ก็ดึกแล้วท่านพ่อ ท่านพี่กลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” โม่ลี่หันไปบอกผู้เป็นบิดาและพี่ชายที่กำลังยืนหน้าซีดเหลือบตามองสามีนางอย่างเห็นใจ
“อืม” ทั้งสองรับคำและจำต้องเดินกลับยังเรือนโม่ลี่จึงหันไปพูดคุยกับสามี
“ส่วนท่านประมุขจ้าว ข้าเห็นควรว่าวันนี้ท่านควรหาที่นอนใหม่สักคืนสองคืนนะเจ้าคะ มีอันใดค่อยคุยกันพรุ่งนี้ วันนี้ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน” จางโม่ลี่หันกลับทันทีไม่รอให้อีกฝ่ายได้กล่าวแก้ตัวอันใด
“ละ…ลี่เอ๋อร์ฟังพี่ก่อน” กว่าที่จ้าวหยางหลงจะได้สติกระต่ายน้อยที่บัดนี้กลายเป็นแม่เสือผู้สงบนิ่งแต่พร้อมจะขย้ำเดินหายเข้าไปยังเรือนนอนเสียแล้ว ได้แต่ยืนคอตกทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างทำอะไรไม่ถูก หัวใจหนักแน่นดั่งหินผาสั่นคลอนจนแทบทลายกลัวว่าภรรยาจะเข้าใจตนผิดคิดหนีห่างและทอดทิ้งเขา
บรรดาเงาได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากอีกทั้งนิ่งค้างไปเมื่อเห็นท่านประมุขที่ใต้หล้าต่างหวั่นเกรงไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด จะแพ้ให้กับสตรีที่ขึ้นชื่อว่าภรรยาอย่างราบคาบ เห็นทีสตรีนางนี้คงมิรอดเป็นแน่