ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 25
แคว้นหลิว
ณ. จวนสกุลหงประมุขจวนคนปัจจุบันหงฮุ่ยเจินรวมถึงบิดาหงฮุ่ยเหยียนกำลังนั่งสนทนากับบุรุษชุดดำรูปร่างภูมิฐานด้วยสีหน้าแปลกใจระคนสงสัยทั้งรู้สึกหนักใจไม่น้อย ด้วยไม่รู้ว่าตระกูลเขารวมถึงคนของเขาได้ไปล่วงเกินคนที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมเย็นชาหรือไม่ จึงมีเทียบเชิญส่งมาให้พวกเขาทั้งสองรวมถึงมารดาเดินทางไปยังพรรคมังกรทมิฬภายใน 15 วัน
“เรียนท่านผู้ส่งเทียบเชิญ ไม่ทราบว่าท่านประมุขส่งสารมาด้วยเรื่องใดพอจะบอกได้ไหมขอรับ” หงฮุ่ยเจินเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“ท่านประมุขกล่าวแต่เพียงว่าเมื่อพวกท่านไปถึงจะรู้เอง ตัวข้าเป็นเพียงผู้รับหน้าที่ในการส่งเทียบเชิญให้พวกท่านเท่านั้น” ชายชุดดำเอ่ยตอบ
“ข้าขอถามสักหน่อยได้หรือไม่” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ย
“เชิญ”
“พวกเราสกุลหงและคนของเราได้เผลอไปล่วงเกินท่านประมุขหรือไม่” หงฮุ่ยเหยียนยังคงถามในสิ่งที่กำลังกังวล
“ข้าตอบได้เพียงว่าไม่ขอรับ ข้าทำตามคำสั่งของท่านประมุขเท่านั้น ท่านประมุขแค่อยากพบพวกท่านทั้งสาม หาได้คิดปองร้ายอันใด พวกท่านโปรดวางใจ ถ้าไม่มีอันใดแล้วข้าขอตัว” ว่าจบชายชุดดำก็หายไปต่อหน้าคนทั้งสองที่อ้าปากค้างให้กับความรวดเร็วของอีกฝ่าย
ชายต่างวัยพากันปรึกษาหารืออย่างเคร่งเครียดทั้งวิตกกังวลไปต่างๆ นานาก็หาข้อสรุปอันใดไม่ได้ คนทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยความหนักใจ เหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงได้ย้ำกำชับเจาะจงให้เขารวมถึงบิดามารดาไปให้ได้ ครั้นจะคิดหาเหตุผลก็กับมืดแปดด้านได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
“ท่านพ่อคิดเห็นเช่นไรขอรับ” หงฮุ่ยเจินถามบิดา
“เราต้องไปตามเทียบเชิญเพื่อไม่ให้เสียมารยาท และพ่ออยากรู้ว่าเหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงต้องการพบเรา”
“แต่ลูก” หงฮุ่ยเจินวิตกกังวลบางอย่างก่อนจะเอ่ยอะไรออกมา ผู้เป็นบิดาขัดขึ้นเสียก่อน
“บุรุษผู้นี้แม้จะโหดเหี้ยมแต่ไม่เคยเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ซ้ำยังกำจัดพวกขุนนางกังฉินกองโจรมากมาย พ่อเชื่อว่าเขาไม่ทำร้ายเราแน่นอนอย่างที่ผู้ส่งเทียบเชิญกล่าว” หงฮุ่ยเหยียนเชื่อว่าบุรุษผู้นี้หากจะฆ่าพวกเขาก็เพียงพลิกฝ่ามือมิจำเป็นต้องเชิญไปยังหุบเขาทมิฬให้เสียเวลา
“แล้วท่านแม่ละขอรับ จะทำเยี่ยงไรท่านแม่สุขภาพมิค่อยแข็งแรงนัก”
“เรื่องนี้เดี๋ยวพ่อจะพูดกับนางเอง”
“เราจะออกเดินทางกันวันใดขอรับท่านพ่อ หุบเขาทมิฬตั้งอยู่ในแคว้นเฟิง หากใช้ม้าเร็วในการเดินทางประมาณ 10-13 วันน่าจะถึงที่นั่น” หงฮุ่ยเจินเอ่ยถามบิดา
“อืม เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกัน พ่อจะไปคุยกับแม่เจ้าเสียหน่อย หากไม่มีอะไรติดขัดก็คงออกเดินทางพรุ่งนี้”
“เช่นนั้นข้าขอไปเตรียมตัวก่อนนะขอรับ” หงฮุ่ยเจินเอ่ยลาบิดากลับไปยังเรือนตนทันที
ชายชราเหม่อมองท้องฟ้าสดใสที่ไร้เมฆบดบัง เหตุใดใจเขาจึงรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้อาจเป็นเรื่องดีมิใช่เรื่องร้ายแรงอย่างที่คิด ก่อนจะก้าวเท้าไปหาฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของตนเพื่อพูดคุยเรื่องการเดินทาง
ศาลาพักผ่อนที่ตั้งอยู่ภายในเรือนรับรองสตรีร่างบางกำลังรอคอยสาวใช้คนสนิทที่ให้ไปสืบดูว่าผู้ใดมาพบกับหงฮุ่ยเจิน หางตาเห็นสาวใช้กำลังเดินมาด้วยท่าทีเร่งรีบหลังจากหายไปนาน
“เหตุใดจึงนานนัก และผู้ใดมาขอพบท่านพี่เจินกัน” หงซูเจียวเอ่ยถามอย่างไม่พอใจเพราะนางนั่งนานรอกว่าครึ่งชั่วยาม (1 ชั่วโมง)
“หลังจากที่บ่าวแอบฟังอยู่นานพอจับใจความได้ว่า ประมุขพรรคมังกรทมิฬให้บุรุษชุดดำผู้นั้นมาส่งเทียบเชิญแจ้งเพียงว่าต้องการสนทนากับนายท่านคุณชายและฮูหยินหงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าเทียบเชิญจากผู้ใดนะ” หงซูเจียวอดที่จะตื่นเต้นมิได้
“เป็นประมุขพรรคมังกรทมิฬ นามว่าจ้าวหยางหลงเจ้าค่ะ” ลี่หลินรีบตอบด้วยรู้ว่าคุณหนูของนางอยากพบบุรุษผู้นั้นสักครั้ง
หงซูเจียวก็เป็นอีกหนึ่งในสตรีใต้หล้าที่อยากพบกับคนผู้นั้น ด้วยกิตติมศักดิ์ที่แม้กระทั่งฮ่องเต้ทั้ง 5 แคว้นยังต้องไว้หน้า และชื่อเสียงของประมุขพรรคมังกรทมิฬทุกคนที่เคยพบเจอต่างเล่าขานถึงเอกบุรุษองคาพยพหล่อเหลาราวเทพเซียน ฝีมือเก่งกาจเป็นหนึ่งในใต้หล้าอีกทั้งร่ำรวย แต่โอกาสที่จะพบเขานั้นเป็นไปได้ยาก
หลังจากที่ได้ยินสาวใช้คนสนิทยืนยันว่าเป็นผู้ใดดวงตานางเปล่งประกายอย่างตื่นเต้น นางจะต้องขอเดินทางไปด้วยให้ได้ ต่างเป็นที่รู้กันทั่วว่าการจะได้พบบุรุษผู้นั้นมีโอกาสเป็นไปได้ยาก แม้กระทั่งหุบเขาทมิฬก็ไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นไปด้วยเกรงกลัวอำนาจของอีกฝ่าย แต่ใครเล่าจะคิดว่าการที่นางมาที่นี่จะได้มีโอกาสพบเขา “ข้าจะไม่มีทางยอมให้โอกาสงามนี้หลุดมือไปแน่” หงซูเจียวคิดอย่างหมายมาดในใจ
“ข้าจะเปลี่ยนอาภรณ์เสียหน่อย ส่วนเจ้าไปบอกคนครัวให้จัดเตรียมของว่าง อีกประเดี๋ยวข้าจะไปพบท่านป้า” หงซูเจียวกล่าวจบก็เข้าไปยังเรือนของตนทันที
ทางด้านเรือนอ้ายซึ่งเป็นที่พักของนายท่านและฮูหยิน ตอนนี้ทั้งสองกำลังนั่งปรึกษากันอยู่ในศาลาริมสระบัว บริเวณโดยรอบมีกลิ่นหอมสดชื่นของดอกโม่ลี่ที่ปลูกขึ้นให้บุตรีคนเล็กเมื่อยังเยาว์ตามชื่อของนาง
“ท่านพี่เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เราไปล่วงเกินคนผู้นั้นเข้าหรือถึงได้ส่งเทียบเชิญต้องการพบพวกเราสกุลหง” หงเหมยหลิวถามอย่างกังวล
“พี่ก็มิรู้อันใดมากนัก เขาเพียงระบุมาว่าต้องการพบพวกเราทั้งสาม เพียงมีเรื่องอยากจะสนทนาด้วยเท่านั้น” หงฮุ่ยเหยียนตอบ
“ข้ารู้สึกกังวลยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรเราก็หลีกเลี่ยงมิได้อีกทั้งสงสัยว่าคนผู้นั้นต้องการพบเราด้วยเรื่องอันใด แล้วนี่เราจะออกเดินทางวันใดเจ้าคะ”
“อืม…เจ้าอย่าได้กังวลพี่เชื่อว่าบุรุษผู้นั้นจะไม่ทำร้ายเรา” หงฮุ่ยเหยียนให้คำตอบอีกทั้งมองฮูหยินก่อนจะพูดบางสิ่งที่อยู่ในใจ
“อีกทั้งพี่รู้สึกว่าการได้พบเขาครั้งนี้อาจเป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องร้ายแน่นอน”
“เหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้น” หงเหมยหลิวขมวดคิ้วสงสัย
“พี่ไม่รู้ แต่ในใจพี่รู้สึกเช่นนั้น”
“หากท่านพี่ตัดสินใจแล้ว น้องก็ไม่คัดค้านเจ้าค่ะ” หงเหมยหลิวยิ้มรับกับการตัดสินใจของผู้เป็นสามี
“พี่ว่าจะออกเดินทางด้วยม้าเร็วพรุ่งนี้ยามเหม่า (05.00-6.59 น.) แต่พี่กังวลเรื่องสุขภาพเจ้านักหลิวเอ๋อร์”
“ท่านพี่อย่าได้กังวลข้าไม่เป็นอันใดมาก ดีเสียอีกน้องกำลังรู้สึกเบื่ออยู่พอดีได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างน่าจะดีขึ้นไม่น้อย” หงเหมยหลิวพูดเพื่อให้สามีคลายกังวล นางไม่อยากให้เขาต้องไม่สบายใจเพราะนางอีก
“คารวะท่านลุงท่านป้าเจ้าค่ะ ข้าได้ยินว่าพวกท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ” หงซูเจียวแสร้งเอ่ยถาม
“เจ้าเข้ามาเมื่อใดรึเจียวเอ๋อร์” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ยถามทั้งรู้สึกไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็มิได้แสดงออกมา
“ข้านำของว่างมาให้ท่านป้าพอดีเลยได้ยินท่านลุงและท่านป้าสนทนากันช่วงท้าย” หงซูเจียวตอบ
“ลุงกับป้าและฮุ่ยเจินกำลังจะออกเดินทางไปแคว้นเฟิงเพื่อทำธุระนิดหน่อยนะ”
“ท่านป้าเป็นสตรีและสุขภาพไม่ค่อยดี ทั้งต้องเดินทางไกลหลานรู้สึกเป็นห่วงท่านป้ายิ่ง หากท่านลุงไม่รังเกียจให้เจียวเอ๋อร์ตามไปปรนนิบัติดูแลท่านป้าได้หรือไม่เจ้าคะ” หงซูเจียวให้เหตุผลโดยอ้างเรื่องสุขภาพของหงเหมยหลิวเพื่อไม่ปล่อยโอกาสให้คนทั้งคู่ได้ปฏิเสธ
“ป้าตั้งใจว่าจะฝากให้เจ้าดูแลเรือนร่วมกับพ่อบ้านในช่วงที่ป้าไม่อยู่ เจ้ายะ…อย่า…” หงเหมยหลิวเข้าใจผู้เป็นสามีจึงกำลังจะปฏิเสธแต่ยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกอีกฝ่ายขัดขึ้นเสียก่อน
“แต่ข้าเป็นห่วงท่านป้านัก ถึงท่านป้าจะมีสาวใช้ติดตามไปด้วยแต่หากเกิดเรื่องฉุกละหุกก็ยังมีเจียวเอ๋อร์อยู่ช่วยอีกคนนะเจ้าคะ” หงซูเจียวยังคงพูดต่อ
หงเหมยหลิวเหลือบมองหน้าผู้เป็นสามีก็ได้แต่ถอนหายใจ นางรู้ว่าสตรีอ่อนวัยตรงหน้าต้องการสิ่งใดจากครอบครัวของนาง ครั้งหนึ่งนางเคยเอ็นดูจนเกือบจะขอรับนางเป็นบุตรบุญธรรมแต่กลับถูกบุตรชายห้ามไว้เสียก่อน
เรื่องราวต่างถูกถ่ายทอดจากปากของสามีและลูกชายที่ให้คนไปสืบอย่างลับๆ คราแรกที่ได้ฟังก็ตกใจไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าสตรีอ่อนวัยตรงหน้าจะซ่อนเขี้ยวเล็บภายใต้ใบหน้าอ่อนหวานและใสซื่อบริสุทธิ์
“หากเจ้ายืนยันเช่นนั้นลุงก็ไม่ว่าอันใด เจ้าไปเตรียมตัวเถิดพรุ่งนี้ยามเหม่า (05.00-6.59 น.) จะต้องออกเดินทาง” หงฮุ่ยเหยียนกล่าวอย่างจำใจกับเหตุผลที่นางสรรหายกมาอ้าง “คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งหากนางจะติดตามไปด้วย” ฮุ่ยเหยียนคิดในใจ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ งั้นเจียวเอ๋อร์ขอตัวไปเตรียมตัวก่อนนะเจ้าคะ” ว่าจบนางก็ย่อกายเคารพคนตรงหน้าและตรงไปยังเรือนรับรองของตนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางพรุ่งนี้
“จะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะท่านพี่” หงเหมยหลิวถามผู้เป็นสามีอย่างนึกกังวล
“คงไม่เป็นอะไรหรอก หากจะมีนางติดตามไปด้วยเพิ่มอีกคน” หงฮุ่ยเหยียนตอบ
“ขอให้เป็นเช่นนั้น” หงเหมยหลิวพยักหน้ารับ ทั้งสองไม่รู้เลยว่าการอนุญาตให้นางไปด้วยครั้งนี้จะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมาในภายหลัง