ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 2
“อะ…โอ๊ย…” แก้วกัดฟันข่มความเจ็บเมื่อจู่ๆ รู้สึกปวดหัวภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นในห้วงความทรงจำของใครบางคนที่หน้าตาเหมือนนางราวกับฝาแฝดเรื่องราวต่างๆ ถูกเรียบเรียงขึ้นในความทรงจำความเจ็บปวดเกิดเพียงครู่ก็สงบลงพร้อมกับสรุปง่ายๆ คือร่างนี้ชื่อโม่ลี่เป็นกำพร้าเดินทางร่อนเร่ไปทั่วระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุพลัดตกเขาจนสลบไป
หลังจากได้สตินางขมวดคิ้วมองภาพตรงที่ไม่คุ้นตาภาพในห้องมีสภาพเก่าบรรยากาศมีกลิ่นอายโบราณเหมือนหนังจีนกำลังภายในที่เคยดูผ่านตามาบ้างในโทรทัศน์กลางห้องมีโต๊ะและกาน้ำชาทั้งยังมีควันลอยออกมาให้รู้ว่าเพิ่งมีผู้นำมาวางไว้ยังไม่ทันที่นางจะสำรวจโดยรอบให้ละเอียดก็มีเสียงเปิดประตูเข้าเสียก่อน
“ตื่นแล้วหรือแม่นาง ดื่มน้ำเสียก่อนค่อยๆ ดื่มระวังสำลัก” หญิงชราเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงยื่นน้ำชาในมือพลางประคองเด็กสาวให้นั่งขึ้นอย่างอ่อนโยน แก้วขมวดคิ้วเป็นปมหญิงชราคุยกับนางเป็นภาษาจีนโบราณแล้วเหตุใดเธอถึงฟังรู้เรื่องราวกับเจ้าของภาษา
“ทะ…ที่นี่ที่ไหนหรือคะ” แก้วเอ่ยถามแต่ก็ต้องชะงักด้วยภาษาที่นางใช้เป็นภาษาไทยแต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นภาษาจีนเช่นเดียวกับหญิงชราตรงหน้าเมื่อคิดได้ดังนั้นเธอคงต้องปรับเปลี่ยนการพูดเสียใหม่
“บ้านข้าเอง…สามีข้าออกไปล่าสัตว์พบเจ้านอนไม่ได้สติอยู่ตรงชายป่าเจ้ามีบาดแผลอยู่มิน้อยยิ่งตรงศีรษะหนักเอาการ ทั้งเจ้ายังหมดสติด้วยพิษไข้ถึง 3 วันเชียว ยังดีที่สามีข้าพอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง”
“ขอบพระคุณท่านตาท่านยายมากเจ้าคะ บุญคุณครั้งนี้ชั่วชีวิตนี้ข้าก็มิสามารถตอบแทนได้หมด” แก้วพยายามลุกขึ้นคำนับท่านยายตรงหน้าอย่างทุลักทุเลจนหญิงชราต้องห้ามเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะกระทบกระเทือนบาดแผล
“เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลใดรึ เหตุใดถึงบาดเจ็บเยี่ยงนี้” หญิงชราเอ่ยถามด้วยสงสัยหากเดาไม่ผิดนางคงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เป็นแน่
หญิงสาวตรงหน้านี้ดูแล้วน่าจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เป็นแน่ คาดว่าคงยังมิได้เข้าพิธีปักปิ่นผิวพรรณรึก็ขาวดั่งหยก ใบหน้างดงามราวเทพเซียนเห็นครั้งแรกนางถึงกับตื่นตะลึงกับความตรงหน้าแม้ใบหน้านั้นจะเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตกระทั่งกลิ่นกายนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จนน่าแปลกใจ นางมิได้พกถุงหอมข้างกายแล้วกลิ่นหอมนี้มาจากที่ใดกันหากไม่ใช่กลิ่นกายจากตัวแม่นางน้อยตรงหน้า
“คะ…คือ…ขออภัยท่านยายเจ้าค่ะ ข้าเป็นกำพร้าไม่มีพ่อแม่ ข้าเดินทางร่อนเร่ไปทั่วระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุพลัดตกเขาเจ้าค่ะ”แก้วตอบตามความจริงของเจ้าของร่างนี้คนเก่า
“เฮ้อ…หากเป็นเช่นนั้นก็น่าสงสารยิ่ง เจ้ามาอยู่กับข้าไปดีหรือไม่ เจ้าเป็นสตรีจะออกเดินทางเร่ร่อนคงไม่ดีนัก ข้าอยู่กันเพียงสองคนตายายมิมีลูกหลานที่ไหน มีเจ้ามาอยู่ด้วยก็ดีไม่น้อยเจ้ารังเกียจรึไม่ที่นี่เป็นกระท่อมเล็กๆ ทั้งยากจน”
“ขอบพระคุณท่านยายเจ้าค่ะ” แก้วยิ้มยินดี
“แล้วเจ้ามีนามว่ากระไร กี่หนาวแล้วรึ”
“ข้ามีนามว่าโม่ลี่ไม่มีแซ่อายุ 21 หนาวเจ้าค่ะ” แก้วตอบหญิงชราตรงหน้า
“จริงรึเหตุใดเจ้าจึงดูราวกับหญิงสาวราวสิบสามหนาวที่ยังมิได้ปักปิ่น” คำตอบสร้างความแปลกใจให้กับหญิงชรามากด้วยจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวก็ไม่ปาน
“บาดแผลตามตัวเจ้ากับที่ศีรษะอีก 7 วันน่าจะดีขึ้น ช่วงนี้เจ้าก็พักผ่อนให้มาก ข้าจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้ายามเฉิน (7.00-8.59 น.) กับยามอิ่ว (17.00-18.59 น.) ”
หลังจากสนทนาเพียงครู่หญิงชราก็ออกไปนำข้าวต้มกับยาบำรุงมาให้หญิงสาว เมื่อทานทุกอย่างจนหมดหญิงชราก็ให้เธอนอนพักผ่อนซึ่งเธอก็ไม่ขัดด้วยเริ่มรู้สึกง่วงจากฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลียไม่นานเธอก็ผล่อยหลับไป
พรรคมังกรทมิฬ
“ยามนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรบ้าง” ชายหนุ่มรูปงามเหม่อมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางนภา เขาไม่สามารถข่มตาหลับได้ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน
เจ็ดปีแล้วที่เขาฝันถึงสตรีนางหนึ่งใบหน้างดงามราวเทพเซียนจำแลง ดวงตากลมดำกระจ่างใสดังแสงจันทร์พาหัวใจกระตุกสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแอ แลน่าทะนุถนอม รอยยิ้มสดใส ไร้จริตมารยาดั่งสตรีทั่วไป ช่างเป็นความฝันที่ทำให้แปลกใจยิ่งตัวเขามิได้ชื่นชอบสตรีสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญใจแต่เหตุไฉนถึงได้ฝันถึงนาง
ทุกวันเขาเฝ้ารอให้ถึงยามค่ำคืนอย่างใจจดจ่อเพื่อจะได้ติดตามเรื่องราวของสตรีนางนั้นนางอาศัยอยู่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แต่กับมีเครื่องเรือนครบครันเป็นสัดส่วนอย่างประหลาด รุ่งเช้านางจะไปสำนักศึกษาเพื่อเล่าเรียนในห้องนั้นมีทั้งชายและหญิงน่าแปลกที่มิได้แยกชายหญิงออกจากกันตามธรรมเนียมปฏิบัติของที่นี่
ทุกวันนางจะออกไปสำนักศึกษาและเมื่อถึงยามเซิน (15.00-16.59 น.) นางก็ออกไปทำงานต่อจนถึงยามไฮ่ (21.00-22.59) ถึงจะได้กลับไปพักผ่อนบางครั้งนางดูเหนื่อยล้าแต่ใบหน้าก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใสที่สลักลึกตราตรึงใจก่อเกิดเป็นความรักไปโดยไม่รู้ตัว ยามนางมีความสุขเขาก็มีความสุขกับนางด้วย แต่หากคราใดนางดูกังวลไม่สบายใจเขากลับรุ่มร้อนกังวลใจไปกับนาง
จ้าวหยางหลงมองบรรยากาศของสถานที่แห่งนั้นช่างแตกต่างจากที่นี่ยิ่งนักตึกรามบ้านช่องดูสวยงามประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่มีภัยสงคราม สตรีสวมใส่อาภรณ์ที่เผยให้เห็นถึงเนื้อหนังยิ่งกว่าหญิงคณิกาแต่แลดูเป็นเรื่องปกติ ชายหญิงไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผยยังดีที่นางมิได้ใส่อาภรณ์เปิดเผยนักเพียงแค่เห็นท่อนแขนนวลเนียนไม่มากไม่น้อยจนเกินไปเยี่ยงสตรีนางอื่นแต่กระนั้นก็ยังขัดใจเขาอยู่ดี
แต่ครั้งนี้แตกต่างกันไปจากทุกครั้ง ภาพสุดท้ายที่เห็นในฝันนั้นทำหัวใจเขาแทบหยุดเต้นเป็นห่วงนางยิ่งเขาทำได้แค่เพียงพยายามไขว่คว้านางไว้แต่ไม่สามารถช่วยเหลือนางได้เลย เขาเห็นพาหนะที่นางนั่งตกลงในไปในเหวยามนั้นใบหน้าคุ้นเคยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรอยเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วตามใบหน้าและร่างกาย นางพึมพำบางอย่างก่อนที่ดวงตาจะปิดสนิทจนเขาสะดุดตื่นสุดตัว
“หากชาตินี้มีวาสนาต่อกันไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดก็ขอให้ข้าได้พบเจ้า เมื่อพบพานข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด ข้าจ้าวหยางหลงขอให้ฟ้าดินเป็นพยาน” สิ้นคำเกิดเสียงฟ้าคำรามดังลั่นกึกก้องไปทั่วท้องนภาเป็นดั่งคำตอบรับของชายหนุ่มรูปงาม
“ด้ายแดงที่เคยตัดขาดบัดนี้ได้บรรจบ ข้าขอให้พวกเจ้าทั้งคู่มีความสุข” เทพแห่งชะตาเพ่งมองด้านล่างและเอ่ยออกมาเบาๆ
หลังจากผ่านไป 1 อาทิตย์ร่างกายของโม่ลี่ก็หายเป็นปกตินางก็สอบถามถึงเรื่องราวของยุคนี้รวมถึงแคว้นต่างๆ ความเป็นอยู่ของทุกคนที่นี่ หมู่บ้านอวี้ฟงที่นางอาศัยอยู่แห่งนี้ไกลจากเมืองหลวงของแคว้นเฟิงพอสมควร ทุกคนประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ทุกเดือนจะมีรถม้ามาจากเมืองหลวงหรือหมู่บ้านใกล้เคียงมารับซื้อสรุปจับใจความได้คือทั้งเมือง และแคว้นไม่มีปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์น่าจะเป็นยุคสมัย 1,000 ปีก่อนจะเกิดราชวงศ์เซี่ยซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของประเทศจีน
ตอนนี้ก็มาช่วยท่านตาท่านยายทำงานเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนั่งคุยกับท่านยายไม่นานท่านตาก็กลับมาจากบนเขาพลางสบตาท่านยาย
“น้ำเจ้าค่ะท่านตา” โม่ลี่เห็นท่านตากลับมาเหนื่อยๆ จึงนำน้ำชามาให้
“ขอบใจเจ้ามาก” ชายชรายิ้มรับก่อนจะหันมาสบตากับหญิงชราอีกครั้ง
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นกำพร้าสตรีตัวคนเดียวมิควรเดินทางร่อนเร่ไปทั่ว ข้ากับภรรยายังมิมีบุตรหลานจึงปรึกษากันว่าจะรับเจ้าเป็นหลานบุญธรรม เจ้าคิดเห็นเช่นไรสุดแล้วแต่เจ้าตัดสินใจเอาเถิด” สองสามีภรรยามองมาที่หญิงสาวตรงหน้าอย่างรอคอยคำตอบ
โม่ลี่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจท่านทั้งสองให้ความเมตตาเอ็นดูพลางให้คิดถึงแม่มะลิและลุงฮัวยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณของนางจึงตอบอย่างไม่ลังเล
“ข้าโม่ลี่ขอคารวะท่านตาท่านยายบุญธรรมเจ้าค่ะ” โม่ลี่พร้อมคุกเข่าคำนับทั้งสอง
“ดีๆ ดียิ่ง เจ้าเป็นหลานขอตาแล้วก็ใช้แซ่จางดีหรือไม่ จางโม่ลี่” ท่านตาเอ่ยอย่างดีใจ
“แล้วแต่ท่านตาเห็นสมควรเจ้าค่ะ” โม่ลี่ยิ้มหวานเต็มใบหน้าทำให้ทั้งสองตะลึง
“มา…มาให้ยายกอดทีสิหลานรักของยาย” เจียวฉือโบกมือเรียกให้หญิงสาวเข้ามาใกล้ก่อนจะกอดนางไว้แนบอกทั้งสองกอดกันอยู่สักพักโดยไม่สังเกตเห็นสีหน้าของชายชราที่จ้องมาทางหญิงสาวพลางครุ่นคิดบางอย่าง
ข้าจะทำเช่นไรดีหลานสาวข้างดงามราวเทพเซียนเช่นนี้หากบุรุษคนใดได้พบเห็นคงมิแคล้วหลงใหลนางจนอาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาเป็นแน่ ข้าต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว “ข้าจะต้องปกป้องหลานสาวจากบุรุษน่าตายพวกนั้นให้ได้” ท่านตาคิดอย่างหมายมาด