ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 18
คอยและความหวังของนางก็กำลังจะมาถึง ร่างสูงของผู้เป็นประมุขยังคงหลับใหลไม่ได้สติ บางคราร่างที่นอนนิ่งสนิทเกิดสั่นกระตุกทั้งกระสับกระส่ายด้วยสีหน้าทรมานทำเอาสตรีที่คอยอยู่เคียงข้างพลางจะร้องไห้อยู่หลายหน
ดวงหน้าที่เคยอ่อนหวานสดใสปรากฏร่องรอยอ่อนล้า ดวงตาหวานใสกระจ่างกับมีรอยหม่นทั้งมีรอยคล้ำดำใต้ตา ร่างกายซูบผอมอย่างเห็นได้ชัดภายในเวลาอันรวดเร็ว นางมิยอมกินยอมนอนวนเวียนปรนนิบัติสามีอยู่ไม่ห่างสร้างความวิตกกังวลให้กับคนรอบข้าง
“นายหญิงท่านทานข้าวทานปลาสักหน่อยเถิด หากท่านประมุขตื่นขึ้นมาพบท่านในสภาพนี้คงรู้สึกไม่ดีนัก” ซิ่นหวาพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายทานอาหารบ้างแม้จะเพียงคำสองคำก็ยังดี
“เหตุใดพวกเขายังไม่กลับมาอีก” โม่ลี่ถามพลางมองประตูเป็นระยะ นางมิได้ใส่ใจกับสิ่งใดในเวลานี้ นางกำลังรอคอยการกลับมาของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“ข้าว่าพวกเขาคงกำลังเดินทางมาถึงน่าจะไม่เกินยามโหย่ว (17.00-18.59 น.) นายหญิงควรจะหาอะไรรองท้องก่อนนะเจ้าคะ” ซิ่นหวาตอบและยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป
“อืม ยกเข้ามาเถอะ” หลังจากได้ยินคำตอบ โม่ลี่จึงทำตามที่นางขอร้อง นางรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงนาง จึงจำใจฝืนทานทั้งที่ยังไม่รู้สึกหิวเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
แสงแดดที่เคยสว่างจ้าสอดส่องไปทั่วบริเวณกลับกลายเป็นสีเหลืองส้มนวลบอกว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม (1 ชั่วโมง) ความมืดมิดกำลังมาเยือนพร้อมกับคำตอบที่นางคาดหวังในใจว่าจะสำเร็จ
“ตุ๊บ”หน้าประตูเรือนปรากฏร่างของบรรดาเงาทำให้สตรีที่นั่งเคียงข้างผู้เป็นสามีที่นอนอยู่ด้านข้างรีบลงจากเตียงเพื่อฟังคำตอบที่อยากได้ยิน
“คารวะนายหญิง”ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกจากด้านในเงาทั้งหลายคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อแสดงความเคารพสตรีตรงหน้า
“อย่าได้มากพิธี พวกท่านได้สมุนไพรและพบตัวท่านหมอเทวดาหรือไม่” โม่ลี่ถามอย่างคาดหวัง
“เรียนนายหญิง พวกข้าได้สมุนไพรมาจนครบขอรับ” กลุ่มที่ออกตามหาสมุนไพรแก้พิษเป็นผู้ตอบ โม่ลี่ยิ้มรับอย่างดีใจ
“พวกท่านพบท่านหมอหรือไม่” โม่ลี่หันไปถามคนอีกหนึ่งกลุ่ม
“ขออภัยนายหญิง พวกข้าออกตามหาตัวท่านหมอจนทั่วทั้ง 5 แคว้น แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาหรือข้อมูลให้สืบหาแม้แต่น้อย” ชายชุดดำคาดว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ออกตามหาหมอเทวดาเป็นผู้เอ่ย พวกเขาทุกคนต่างพร้อมใจกันโขกศีรษะจนเลือดไหลอาบที่หน้าผาก
“หยุดเถิด พวกท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ ข้ารู้ว่าพวกท่านพยายามอย่างเต็มที่แล้ว อย่าได้โทษตนเองเลย กลับมาเหนื่อยๆ พวกท่านไปพักผ่อนเถิด ขอบคุณพวกท่านมากที่ทำเพื่อท่านประมุข” โม่ลี่ฝืนยิ้มเอ่ยขอบคุณทุกคน
“พี่ซิ่นหวา ไปพักเถิดข้าอยากอยู่กับพี่หลงตามลำพัง”โม่ลี่บอกคนข้างกายก่อนจะเดินเข้าไปข้างในลงกลอนประตูหนาแน่นอย่างไม่ต้องการคำตอบใดจากอีกฝ่าย
จางโม่ลี่เดินไปหาบุรุษที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแต่ละก้าวดั่งเหมือนหินถ่วงขาให้เดินไปอย่างยากลำบาก น้ำตาที่กลั้นไว้พรั่งพรูราวกับเขื่อนแตกทะลัก หายใจแต่ละครั้งช่างยากลำบากเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจดวงน้อยไว้ให้รู้สึกเจ็บปวด
นางทรุดกายลงนั่งด้านข้างของผู้เป็นสามีมือบางกุมมือแกร่งที่เคยโอบกอดประคองนางอย่างอ่อนโยนแนบไว้กับพวงแก้มที่ซีดเผือด
“พี่หลงท่านมิต้องห่วงหากถึงวันนั้น ลี่เอ๋อร์จะมิให้พี่หลงต้องจากไปเพียงลำพัง ท่านจะไม่เคว้งคว้างโดดเดี่ยว ท่านจะยังมีข้าติดตามไปอยู่ข้างกายเสมอ ลี่เอ๋อร์สัญญา” นางกลั้นสะอื้นเอ่ยคำสัญญาหนักแน่นดวงตาแดงก่ำชุ่มไปด้วยน้ำตาทอดมองสามีอย่างอ่อนโยน
จางโม่ลี่ก้าวขึ้นบนเตียงทรุดกายลงนอนตะแคงข้างโอบกอดร่างหนาไว้แน่นก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนกับทุกสิ่งความหวังอันริบหรี่ของนางจบสิ้นลงแล้ววันนี้ วันพรุ่งนี้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตนางก็จะดูแลเขาไม่ห่างกาย
ทันทีที่เสียงด้านในเงียบไปได้สักพัก ซิ่นหวาที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ลอบเร้นกายเข้ามาด้านหน้าต่างที่เปิดรับลมอยู่ได้ไม่ยาก ซิ่นหวาทอดมองนายหญิงที่กอดรัดท่านประมุขไว้ด้วยความรักและหวงแหนมิยอมห่างกายแม้เสี้ยวนาที นางได้ยินทุกคำของนายหญิงที่เอ่ยออกมาทำเอานางจุกและเจ็บไปทั้งใจ นายหญิงคิดจะปลิดชีพตนตามท่านประมุขไปนางจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด ท่านประมุขก็คงคิดเช่นเดียวกับนางแน่
อีกด้านหนึ่งของแคว้นเฟิง
หลังจากที่ท่านแม่ทัพกลับจากหมู่บ้านอวี้ฟงก็เอาแต่เก็บตัวเงียบมิออกมาปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเจอหากไม่มีธุระสำคัญจริงๆ บิดามารดาและน้องสาวต่างเป็นห่วงทั้งรู้สึกเห็นใจนัก แม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรเข่นฆ่าผู้คนที่คิดรุกรานถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างไม่กลัวตายเป็นที่กล่าวขวัญและเกรงกลัวจนทั่วแคว้นขนานนามว่าแม่ทัพไร้พ่ายเพราะไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับศึกไหนมาก่อน กลับมาตกม้าตายกับรักแรกที่ไม่แม้แต่เริ่มต้นช่างน่าเห็นใจและเวทนายิ่งนัก
“ก๊อก…ก๊อก…ท่านพี่น้องขอเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ” เสียงเคาะประตูของหลี่ซูเม่ยน้องสาวสุดที่รักของแม่ทัพไร้พ่ายเอ่ยขึ้น
“เข้ามา” เสียงทุ้มอบอุ่นเอ่ยอนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามา
“เจ้ามีอะไรรึเม่ยเอ๋อร์”
“เม๋ยเอ๋อร์แค่เป็นห่วงพี่ชายเพียงคนเดียวของข้าเท่านั้น ท่านพี่ท่านยังตัดใจจากนางมิได้หรือเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้รู้รึไม่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่เป็นห่วงและกังวลมากขนาดไหน” ซูเม่ยเตือนพี่ชายของตนด้วยความเป็นห่วง
“เฮ้อ!…ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วงพี่ และขอโทษที่พี่ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่รวมถึงเจ้าเป็นกังวล พี่ตัดใจจากนางได้แล้วแต่ที่พี่มิได้ออกไปไหนเพราะมัวแต่สะสางเอกสารที่ทางค่ายส่งมาเพิ่มและทำรายงานส่งให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเท่านั้น” หยงเป่าพูดให้นางเข้าใจว่างานเยอะไม่มีเวลาออกไปที่ใด แต่ลึกๆ แล้วเขายังตัดใจกับนางมิได้เท่านั้นจึงใช้งานมาบังหน้าเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องเป็นห่วง
“เช่นนั้นหรือ แล้วเมื่อใดจะเสร็จน้องอยากช่วยท่านพี่ไปเดินตลาดด้วยกัน” ซูเม่ยยังคงกล่าว
“อีกสักสองสามวันถึงจะเสร็จ หลังจากว่างแล้วพี่จะพาเจ้าไปเดินตลาดดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ งั้นน้องไม่กวนแล้วนะเจ้าคะ เชิญท่านพี่ทำงานต่อเถิดน้องขอตัวก่อน” ซูเม่ยกล่าวจบก็ออกจากห้องทันที
หลังจากน้องสาวออกไปหลี่หยงเป่าก็ยังคงนั่งอยู่กับที่ พลางครุ่นคิดใคร่ครวญในใจหรือว่าเขาควรจะตัดใจจากนางเสียที แม้มิได้เป็นคนที่นางรักก็ขอเป็นคนที่มองนางจากที่ไกลเห็นนางมีความสุขก็น่าจะเพียงพอแล้ว
“เพล้ง!!…อ๊ากกก” เสียงของตกแตกจากด้านในและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของบุรุษร่างกายซูบเซียวผิวกายเริ่มเขียวช้ำเป็นจ้ำผลพวงจากพิษที่ได้รับแม้จะกินยาต้านพิษทุกสองชั่วยาม (4 ชั่วโมง) ก็มิอาจข่มความเจ็บปวดของพิษ ร่างหนาดิ้นรนอย่างทรมานก่อนจะสงบลงในอ้อมแขนเรียวเล็ก โม่ลี่น้ำตาร่วงเผาะยามที่เห็นภาพนั้นซ้ำไปซ้ำมาเกือบ 20 วันก็ให้รู้สึกทรมานจิตใจเจียนตาย
โม่ลี่ย่อกายลงเพื่อทำความสะอาดพื้นด้านล่าง พลางขบคิดถึงเวลาที่เหลืออยู่แค่ 10 นางจะจัดการปัญหาในพรรคของสามีเช่นไรโดยที่ไม่ให้เกิดปัญหาในภายภาคหน้า ระหว่างที่นางก้มลงเก็บเศษกระเบื้องก็ต้องสะดุ้งตกใจ“โอ๊ย!!”นางก้มลงมองปลายนิ้วที่บังเอิญไปถูกคมแหลมของเศษกระเบื้องจนได้เลือดก็ต้องตกใจอีกครา
“อ๊ะ” โม่ลี่รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น เหตุใดเลือดนางจึงมีสีทอง แตกต่างจากเลือดประจำเดือนที่มีสีแดงสดแต่สิ่งที่เหมือนกันคือมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมา
จางโม่ลี่นั่งคิดอยู่นานจนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม (2 ชั่วโมง) ก่อนจะเริ่มจำบางสิ่งบางอย่างที่นางลืมเลือนไป ความหวังของนางที่คิดจะช่วยเหลือผู้เป็นสามีให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานกลับมาอีกครั้งด้วยสายตาเป็นประกายคาดหวังและมุ่งมั่น “เหตุใดข้าจึงหลงลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้จนสิ้นทำให้สามีต้องทนทุกข์ทรมานยาวนานเช่นนี้” โม่ลี่คิดในใจก่อนจะวิ่งออกไปยังประตูอย่างดีใจจนลืมตัว ทำให้ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าต่างพากันสงสัยกับการเปลี่ยนไปของนายหญิง โม่ลี่สั่งให้คนนำถ้วยชามาให้โดยเร็ว
“ข้าขอให้พวกท่านทุกคนจงถอยห่างออกจากประตู 50 ก้าว หากได้ยินเสียงหรือได้ยินสิ่งใดก็ขอให้พวกท่านอย่าได้วิตกกังวล อย่าได้บุกเข้าไปภายในได้หรือไม่” หลังจากโม่ลี่กล่าวนางเห็นพวกเขาทำหน้าระคนสงสัยและมีแววไม่ไว้ใจนางออกมาเพียงครู่ แต่นางก็หาได้ใส่ใจไม่เพราะบางคนนางมิเคยเห็นหน้าหากจะไม่ไว้ใจนางก็ไม่คิดโกรธเคืองด้วยเข้าใจว่าพวกเขาเหล่านั้นคงห่วงท่านประมุขมิน้อย
“บอกพวกเราได้หรือไม่ว่านายหญิงจะทำอะไร” คนในพรรคเอ่ยถามนางอย่างไม่เชื่อใจนัก
“หากข้าจะบอกว่าท่านประมุขอาจมีทางรอดละเจ้าคะ แต่วิธีใดนั้นตัวข้ามิอาจบอกพวกท่านได้” หลังพูดจบทุกคนก็เงียบไป หากสีหน้าแต่ละคนกลับมีความหวังขึ้น
“ได้โปรดเชื่อข้าสักครั้ง” โม่ลี่ยังพูดต่อ พร้อมย่อกายให้ทุกคนเห็นว่านางต้องการที่จะช่วยสามีของนางจริงๆ
“ข้าเชื่อท่านนายหญิง ไม่ว่าจะใช้วิธีใดพวกข้าหวังเพียงแค่ให้ท่านประมุขปลอดภัยและหายดีก็พอ” ซิ่นหวาเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“ขอบคุณ” ว่าจบนางก็สั่งให้ทุกคนปฏิบัติตามที่นางขอร้องก่อนจะปิดประตูลั่นกลอนอย่างหนาแน่น
หลังจากที่นายหญิงหายไปทุกคนต่างยืนรอนิ่งอยู่ที่หน้าเรือนในระยะ 50 ก้าวไม่ขยับกายไปที่ใด พวกเขาไม่รู้ว่านายหญิงจะรักษาท่านประมุขให้หายได้ด้วยวิธีใดก็เกินจะคาดเดา พวกเขารู้แต่เพียงว่าไม่เกิน 10 ราตรีท่านประมุขจะสิ้นชีพเพราะพิษที่ได้รับ หากสิ่งที่นายหญิงพูดเป็นความจริงถึงแม้นางจะใช้คำว่า “อาจจะ” มันถือเป็นความหวังที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวพวกเขาก็พร้อมที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้