ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 15
ต้นยามเหม่า (5.00-6.59 น.) โม่ลี่ตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่ปรากฏเมื่อลืมตาขึ้นคือใบหน้าของสามีที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ข้างกายลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเขากำลังหลับสนิท โม่ลี่อดลอบยิ้มออกมามิได้ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงยังคงทาบทับอยู่บนเอวนางเหมือนเมื่อคืน
จางโม่ลี่ค่อยๆ ยกมือหนาขึ้นอย่างเบามือด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น เรียวขาเล็กก้าวลงจากเตียงแผ่วเบาเดินไปยังฉากกั้นเพื่อทำธุระส่วนตัว เพียงไม่นานนางก็มานั่งอยู่หน้าคันฉ่อง วันนี้นางสวมอาภรณ์สีขาวปักลายดอกโม่ลี่ปลายผ้าทาแป้งเบาบางเท่านั้น ส่วนผมนางเลือกที่รวบขึ้นปักปิ่นง่ายๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น นางก็หันมองร่างหนาที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียงก่อนจะเดินออกมาด้านนอก
“พี่ซิ่นหวา ข้าอยากเข้าครัวเจ้าค่ะ”
“นายหญิงอยากทานอะไรเป็นพิเศษบอกข้าได้ ข้าจะรีบไปบอกพ่อครัวให้ทำไว้ให้เจ้าค่ะ”
“มิใช่เช่นนั้น ข้าอยากลงมือทำสำรับให้พี่หลงทานเองเจ้าค่ะ”
“ให้พ่อครัวเป็นผู้ทำไม่มีดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“มิดีเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันแรกสำหรับชีวิตคู่ของข้า ดังนั้นข้าอยากจะเป็นผู้ลงมือทำด้วยตนเอง”
“งั้นเชิญทางนี้เจ้าค่ะ” ซิ่นหวาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่คัดค้านอันใด ดีเสียอีกที่นายหญิงเอาใจใส่ท่านประมุข
“ฉ่า!!…ตึง…ตึง…” เสียงสับหมูหั่นผักและเสียงตะหลิวที่กระทบกันดังไปทั่วห้องครัว แต่ทันทีที่นายหญิงเพียงหนึ่งเดียวก้าวเข้ามาภายในห้องครัวทุกอย่างพลันเงียบสนิท ทุกคนต่างนิ่งค้างเบิกตากว้างกับความงามที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ทุกคนในพรรคล้วนรู้ว่านายหญิงของตนมิใช่คุณหนูตระกูลใหญ่ซ้ำยังเป็นกำพร้าแต่มีคิดว่านางจะงดงามราวเทพเซียนเช่นนี้
“ข้าน้อยฉางไห่พ่อครัวใหญ่ขอคารวะนายหญิง” ฉางไห่พ่อครัวใหญ่ได้สติจึงเอ่ยและทำความเคารพสตรีตรงหน้า
“คารวะนายหญิงเจ้าค่ะ/ขอรับ” เมื่อได้ยินพ่อครัวกล่าวทุกคนจึงมีสติกลับมาพร้อมกันกล่าวเคารพนายหญิงของพวกเขา
“ตามสบายเถิด ข้าน้อยจางโม่ลี่ยินดีที่รู้จักทุกท่านเจ้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานอ่อนน้อมแนะนำตนเอง มิได้มีท่าทางแข็งกร้าวทั้งรอยยิ้มจริงใจทำเอาพวกเขารู้สึกดีต่อนายหญิงไม่น้อย
“ท่านช่วยเตรียมสิ่งนี้ให้ได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะขอใช้ครัวเพียงชั่วครู่” โม่ลี่ยื่นรายการวัตถุดิบที่ต้องใช้ให้กับพ่อครัวใหญ่ทันที
“ได้ขอรับ นายหญิงให้ข้าทำดีหรือไม่ ในครัวร้อนอบอ้าวนัก” พ่อครัวรับมาเปิดดูจึงตอบนางพร้อมทั้งออกความคิดเห็น
“พ่อครัวเตรียมของให้นายหญิงเถิด” ซิ่นหวาเร่งอีกฝ่าย
“ขอรับ” เพียงไม่นานของที่นางต้องการก็ได้ครบถ้วน บรรดาพ่อครัวแม่ครัวต่างเมียงมองนายหญิงของตนว่าจะทำอาหารอันใด
จางโม่ลี่เมื่อได้ของที่ต้องการเรียบร้อยนางก็ลงมือปรุงทันทีด้วยความคล่องแคล่วไม่ติดขัดเสียจนบรรดาพ่อครัวแม่ครัวต่างมองกันตะลึง ไม่นานอาหารหน้าตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ประจักษ์แก่สายตามทุกคู่ แม้กระทั่งพ่อครัวยังอดมิได้ที่จะไถ่ถาม
“นายหญิงนี่คืออาหารอันใดกันข้ามิเคยเห็นมาก่อน อีกทั้งมีกลิ่นหอมสีสันน่าทานยิ่งนัก”
“นี่คือต้มยำไก่บ้าน ฉู่ฉี่ปลา ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ผัดผักสามรส” โม่ลี่ยิ้มบางแต่บอกชื่ออาหารแต่ละจาน
“แล้วนี่ละขอรับดูเหมือนของหวานแต่เหตุใดจึงมีไข่เป็นส่วนประกอบ” ฉางไห่ชี้ไปยังถาดที่กำลังนึ่งที่อยู่บนเตาในนั้นมีลูกมะพร้าว 5-6 ลูกพร้อมส่วนผสมเหลวที่มีไข่เป็นส่วนประกอบอยู่ในนั้น
“อันนั้นขนมหวานเรียกว่าสังขยามะพร้าวอ่อนอีกหนึ่งเค่อ (15 นาที) ท่านช่วยยกลงจากเตาด้วย อีกทั้งรบกวนท่านพ่อครัวจัดสำรับให้ด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้ขอรับ”
“ข้าทำไว้เยอะทุกคนลองชิมกันดูว่าถูกปากกันหรือไม่” หลังจากที่ทุกคนได้ยินต่างก็ดีใจที่จะได้ลิ้มลองอาหารฝีมือนายหญิงแม้จะแปลกตาแต่กลิ่นกับหอมกระจายไปทั่วทั้งครัว
“ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอรับ”
“เชิญพวกท่านตามสบายเถอะเจ้าค่ะ” ว่าจบนางก็หมุนกายออกไปตามด้วยซิ่นหวา
หลังจากที่นายหญิงออกไปแล้วฉางไห่ก็จัดสำรับเตรียมไว้ให้ท่านประมุขและนายหญิงอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็ต่างล้อมวงชิมอาหารตรงหน้าก็บังเกิดเสียงชื่นชมไม่หยุดด้วยรสชาติที่แปลกใหม่ทั้งหอมอร่อยและสีสันน่าทาน แม้แต่ฉางไห่ยังต้องยกธงขาวยอมแพ้แก่นายหญิงของตน
ทุกการกระทำตั้งแต่ต้นจนจบมิอาจรอดพ้นสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมา นางก็ยังคงเป็นนางมิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย นางมีน้ำใจนึกถึงคนรอบข้างเสมอแม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่กันก็ตามก่อนจะเร้นกายหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า
“พี่หลงอยู่ไหนนะ” หลังจากที่โม่ลี่ชำระกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่ก็ตั้งใจมาปลุกสามีในเรือนนอนกลับไม่พบ เหลือไว้แต่เพียงที่นอนที่จัดเก็บแล้วเรียบร้อย
“หาใครอยู่หรือ”
“ว้าย!…” เสียงทุ้มนุ่มข้างหูทำเอาโม่ลี่สะดุ้งตกใจแทบจะล้มพับดีที่จ้าวหยางหลงโอบเอวนางไว้มิฉะนั้นคงลงไปนั่งอยู่กับพื้นเสียแล้ว
“พี่หลงเหตุใดจึงมาเงียบๆ เล่าข้าตกใจหมด”
“อภัยให้พี่ด้วย พี่มิคิดว่าเจ้าจะขวัญอ่อนเช่นนี้” จ้าวหยางหลงยังคงโอบกอดเอวคอดไว้มิยอมปล่อยทั้งยังเอาคางเกยบนไหล่นาง
“พี่หลงปล่อยข้าเถิด หากใครมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี คนอื่นจะเอาไม่พูดได้นะเจ้าคะ”โม่ลี่เอ่ยเตือน
“ใครมันกล้าเอาไปพูดพี่จะทำโทษมันซะ”
“พี่หลงข้าหิวข้าวแล้ว ท่านไม่หิวหรือเจ้าคะ” ชายหนุ่มยังคงนิ่งทั้งมีท่าทีไม่พอใจ
“พี่หลงเจ้าขา ลี่เอ๋อร์หิวแล้วเราไปทานมื้อเช้ากันเถิดเจ้าค่ะ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทั้งออดอ้อนอยู่ในที ทำเอาชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากพึงพอใจ
“อืม” หยางหลงตอบนางเปลี่ยนจากโอบกอดเป็นจับจูงมือบางไปยังศาลาในสวนที่เขาให้พ่อบ้านเป็นผู้จัดสำรับขึ้นโต๊ะแทนการกินข้าวในเรือน
หลังจากนั่งประจำที่โม่ลี่ก็แนะนำอาหารตรงหน้าให้สามีฟังอย่างตั้งใจ คอยตักใส่จานให้เขามิหยุดทั้งลอบสังเกตสิ่งใดบ้างที่คนตรงหน้าชอบไม่ชอบก็จะพยายามหลีกเลี่ยง แต่บางครั้งก็ยังคงคีบป้อนให้ผู้เป็นสามีแกมบังคับด้วยรอยยิ้มหวานทำเอาจ้าวหยางหลงไม่กล้าปฏิเสธอ้าปากรับสิ่งที่นางป้อนอย่างเต็มใจ
มื้อเช้าผ่านไปด้วยดีท่ามกลางอาการลุ้นใจหายใจคว่ำอยู่หลายตลบของพ่อบ้านม่านที่กลัวนายเหนือหัวจะมีโทสะ เขาทำงานอยู่ที่นี่มานานรู้ว่าผู้เป็นนายชอบหรือมิชอบอันใด แต่สิ่งที่นายหญิงทำและท่านประมุขก็มิขัดแถมยังรับเข้าปากอย่างง่ายดายจนเขาอดที่จะอึ้งและทึ่งมิได้ที่ผู้เป็นนายเปลี่ยนไปในทางที่ดี และดูเหมือนว่าท่านประมุขจะชื่นชอบที่มีนายหญิงปรนนิบัติอยู่ข้างกายมิห่าง สังเกตได้จากรอยยิ้มมุมปากที่มิเคยได้เห็น ส่วนมากที่เห็นจะเป็นแสยะยิ้มเสียมากกว่าทำเอาเข้าอดขนลุกมิได้ทุกครั้งที่เห็นเช่นนั้น
“พี่หลงพอมีเวลาว่างให้ลี่เอ๋อร์สักครู่ไหมเจ้าคะ” หลังจากพ่อบ้านปลีกตัวออกไปจนอยู่กันเพียงลำพัง โม่ลี่ก็ถามคนตรงหน้า นางมีเรื่องอยากคุยกับเขา
“อืม” หยางหลงรับคำมองนางอย่างอ่อนโยน
“ลี่เอ๋อร์ขอถาม คำว่าชีวิตคู่สำหรับท่านคืออะไร”
“อืม…คือการอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า” หยางหลงครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบคำถาม
“ถูกแค่บางส่วนเจ้าค่ะ”
“ยังไง” จ้าวหยางหลงยังคงถาม ในเมื่อสำหรับเขาการได้รักนางและอยู่ดูแลนางไปจนแก่เฒ่านั้นเป็นนิยามชีวิตคู่ของเขาที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เขามิได้ต้องการหญิงอื่นมาข้องเกี่ยวแม้แต่น้อย
“พี่หลงลองคิดตามนะเจ้าคะ หากวันใดวันหนึ่งท่านไปพบข้าอยู่บนเตียงกับบุรุษแปลกหน้าท่านจะทำเช่นไร”
“ข้าจะฆ่ามันซะ” หลังจากได้ยินประโยคที่นางกล่าวเขาลอบกำมือแน่นในอกเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
“แล้วหลังจากนั้นละเจ้าคะ”
“ข้าก็จะพาเจ้ากลับมาอยู่ข้างกายดังเดิม” หยางหลงยังคงตอบบรรยากาศรอบตัวแฝงแรงกดดันจนโม่ลี่แทบจะหมดสติ
“พี่หลง โปรดระงับโทสะก่อนเถิดเจ้าค่ะ ลี่เอ๋อร์จะไม่ไหวแล้ว” ใบหน้าที่เคยมีเส้นเลือดฝาดกับซีดเผือดจนหยางหลงตกใจเข้าประคองนางไว้ในอ้อมแขน
“ขออภัยพี่ลืมตัวไปหน่อย” หยางหลงโอบประคองนางไว้ทั้งยังลูบหลังนางเบาๆ
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ” หลังจากรู้สึกดีขึ้นนางก็ยิ้มบอกคนด้านข้าง
“แล้วหลังจากรับข้ากลับมา ท่านจะทำเช่นไรต่อไป” โม่ลี่ยังคงถามต่อ
“พี่ก็ยังรักและดูแลเจ้าเหมือนเดิม พี่ได้สัญญากับตนเองไว้ หากภายภาคหน้าเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าพี่ก็พร้อมจะยอมรับมันและมิคิดผลักไสเจ้าให้ห่างกายเด็ดขาด” โม่ลี่ยิ้มรับกับคำสัญญาของชายหนุ่มที่ยังคงบอกรักนาง
“ความรู้สึกของท่านละเจ้าคะ”
จ้าวหยางหลงนิ่งไป เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนด้วยปักใจรักนางจนยอมตายแทนนางได้ หากแต่นางถามถึงความรู้สึกหากเกิดเรื่องเช่นนั้นจริงเขาก็คงเจ็บปวดที่ไม่สามารถดูแลและปกป้องนางได้ไม่ว่าสาเหตุนั้นจะเกิดจากอะไร แต่ต้นเหตุก็คงเป็นเขาอยู่ดี
“ท่านคงตอบข้าไม่ได้”
“แต่พี่ก็ยังรักเจ้ามิคิดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย” จ้าวหยางหลงพยักหน้าเบาๆ และบอกความรู้สึกของตนว่ายังคงหนักแน่นมิคิดเป็นอื่น
“ขออภัยหากข้าจะบอกว่า ความรักมิลืมหูลืมตาเช่นนั้นข้ามิปรารถนาจะได้มัน”
“แม้ท่านจะบอกว่ารักข้ามากเพียงใด แล้วอย่างไรหากรักที่ท่านให้มายังคงเคลือบแคลงสงสัยทั้งยังหวาดระแวงในตัวของสตรีที่ท่านรัก ทั้งไม่คิดจะไถ่ถามนางว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในวันนั้นเพราะท่านกลัวคำตอบที่ได้ยินใช่ไหมเจ้าคะ”
“ขะ…ข้า” จ้าวหยางหลงถึงกับพูดไม่ออก ทุกอย่างจุกอยู่ในลำคอเป็นเหมือนที่นางกล่าว “ใช่เขากลัวๆ คำตอบที่จะได้รับ คำตอบที่ทำให้เขาเจ็บปวดและมิคิดจะถามนางและรักนางต่อไป” หยางหลงคิดในใจ
“ข้าแต่งเป็นภรรยาให้ท่าน ข้าปรารถนาจะมีชีวิตคู่เช่นไรท่านรู้หรือไม่”
จ้าวหยางหลงส่ายหน้า เขามิรู้ว่านางปรารถนาอยากใช้ชีวิตคู่กับเขาเช่นไรจึงรอฟังนางอย่างใจเย็น หากนางปรารถนาสิ่งใดเขาก็พร้อมเต็มใจทำเพื่อนาง
“ข้าต้องการชีวิตคู่ที่เข้าใจและเชื่อใจซึ่งกันและกัน ใช้เหตุผลแก้ปัญหาไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินในสิ่งที่ท่านเห็นและได้ยิน เบื้องหลังอาจจะมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น” โม่ลี่เว้นวรรคพลางคิดถึงบทละครที่เคยดูมักจะมีการใส่ร้ายป้ายสีให้ดูบ่อยๆ แล้วพระเอกของเรื่องก็ดันเชื่อในสิ่งที่เห็น พลางลอบสังเกตคนด้านข้างที่โอบประคองนางอยู่ เขาก็ยังคงนิ่งและรอฟังนางต่อ
“สัญญากับข้า หากท่านสงสัยเคลือบแคลงหวาดระแวงสิ่งใด ขอให้ท่านเอ่ยถามข้าอย่างตรงไปตรงมา จงอย่าได้กลัวคำตอบที่ท่านคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว เพราะสิ่งที่ท่านคิดและสงสัยมันจะทำลายความรักความเข้าใจและเชื่อใจของเราอย่างช้าๆ จนท้ายที่สุดมันจะกลับมาทำร้ายเราทั้งสอง” โม่ลี่ยิ้มบางหันหน้าไปหาเขาจ้องมองดวงตาคมคู่นั้นอย่างไม่หลบเลี่ยง
“พี่สัญญา” หยางหลงตอบ หลังจากจ้าวหยางหลงฟังนางจบก็คิดตามก็เป็นดั่งที่นางกล่าวไม่ผิด
“พี่หลงท่านจะใช้ความรักนำทางอย่างเดียวมิได้ หากท่านไร้ซึ่งความเข้าใจเชื่อใจและเหตุผลวันหน้าก็จะมีแต่ทะเลาะเบาะแว้งหวาดระแวงกันไม่จบไม่สิ้น แต่หากท่านใช้ความเข้าใจเชื่อใจและเหตุผลนำทาง ความรักที่เรามีให้กันจะไม่มีวันดับสูญไปตามกาลเวลา ทั้งมันจะหนักแน่นดั่งหินผา ผู้คิดร้ายหวังทำลายความสัมพันธ์ของเราก็จะไม่มีโอกาสทำสำเร็จเข้าใจหรือไม่เจ้าคะ” โม่ลี่ยิ้มหวานเต็มด้วยหน้า จ้าวหยางหลงพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะชะงักกับประโยคหนึ่งที่นางกล่าว
“เจ้าว่าความรักที่เรามีให้กัน” จ้าวหยางหลงถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เจ้ารักพี่หรือ” จ้าวหยางหลงยังคงถาม เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเขาที่เร่งรัดนางให้แต่งกับเขาด้วยกลัวว่าจะมีผู้อื่นจะแย่งชิงนางไป และมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายบอกรักนางอยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่เคยถามนางสักครั้งว่าคิดเช่นไรกับตน
“ข้าบอกไปแล้ว ไยต้องถามอีกเจ้าคะ” โม่ลี่หน้าแดงรู้สึกเขินอายจนต้องก้มหน้าหนีอีกฝ่าย
“บอกพี่อีกครั้ง พี่อยากฟังจากปากเจ้าว่าพี่มิได้หูฝาดไป” พลางจับนางให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาทั้งเชยคางขึ้นนางเพื่อได้มองนางให้ชัดเจน
“คนเดียวที่ข้าจะรักมีเพียงท่านและมิคิดทรยศหักหลังความรักที่ท่านมอบให้ชั่วชีวิตนี้มิขอแยกจากอยู่กันจนแก่เฒ่าและตายไปพร้อมกัน ลี่เอ๋อร์รักพี่หลงเจ้าค่ะ” โม่ลี่กล่าวหนักแน่น ทั้งมองเข้าไปในดวงตาของชายที่นางรักพร้อมคำพูดที่ทำเอาจ้าวหยางหลงรู้สึกดีใจที่สุดในชีวิต
“พี่ก็รักเจ้าลี่เอ๋อร์คนดี” กล่าวจบก็รวบตัวนางเข้ามากอดแน่นโม่ลี่รับรู้ถึงเสียงหัวใจของเขาที่เต้นตุบตับราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาเสียให้ได้เช่นเดียวกับเสียงหัวใจของนาง
จ้าวหยางหลงและโม่ลี่ยังคงกอดซึมซับความรู้สึกของกันและกันอยู่ภายในศาลาของสวนดอกไม้ ห่างออกไปพ่อบ้านม่านและบรรดาเงาที่แฝงตัวอยู่ลอบมองภาพนั้นอย่างจะเก็บตรา
ตรึง
ไว้ในความทรงจำ รอยยิ้มที่ทั้งคู่มีให้กันทำให้พรรคมังกรทมิฬดูน่าอยู่และสดใสต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว