ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 98 เย่ว่านหยวนโดนทุบตี
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 98 เย่ว่านหยวนโดนทุบตี
บทที่ 98 เย่ว่านหยวนโดนทุบตี
……….
บทที่ 98 เย่ว่านหยวนโดนทุบตี
ตอนเย็น หลี่ชุ่ยชุ่ยกลับบ้านมาผัดผักโขมแดง
อุ่นปลาที่เหลือจากมื้อก่อน แล้วผัดหมูอีกจาน
ขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังกินข้าวกันอยู่ เย่ไฉกุ้ยก็ปรากฏตัวที่ลานบ้าน
“จื้อผิง รีบมาเร็ว ไปกินข้าวที่บ้านฉันเถอะ”
“ในที่สุดว่านหยวนลูกชายฉันก็ถูกใจสาวคนหนึ่งแล้ว นายไปช่วยดูให้หน่อยสิ”
คราวที่แล้วเย่จื้อผิงไปแล้วเสียเวลาเปล่าเป็นครึ่งวัน
ข้าวก็ไม่ได้กินสักคำ
คราวนี้เขาจึงไม่อยากไปแล้ว
เขาจงใจพูดว่า “พี่รอง พวกคุณกินไปก่อนเถอะ ผมกินเสร็จแล้วจะตามไป”
“อาหารที่บ้านทำเสร็จแล้ว ถ้าฉันไปตอนนี้ ชุ่ยชุ่ยต้องบ่นฉันแน่ๆ”
เย่ไฉกุ้ยยิ้มเยาะเล็กน้อย “บ้านนายมีแต่ผักดองกับข้าวต้มทุกวัน มีอะไรอร่อยล่ะ?”
“คืนนี้บ้านฉันทำอาหารมื้อใหญ่ แถมยังมีเนื้อตากแห้งตุ๋นกับหัวไชเท้าด้วยนะ”
“เนื้อติดกระดูกตากแห้งก็ช่างหอมหวน น้ำแกงหัวไชเท้าก็เข้มข้น นายรีบไปเถอะ”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการดูถูก
เขาดูถูกครอบครัวของน้องชายสามจากก้นบึ้งของหัวใจ
คิดว่าครอบครัวของพวกเขาคงไม่มีอะไรอร่อยหรอก
ก็คงเหมือนเดิม ข้าวต้มกับผักดองไม่ใช่เหรอ?
ที่เขาชวนเย่จื้อผิงไปกินอาหารมื้อดีๆ ก็ถือว่าสุภาพมากแล้วนะ
หลี่ชุ่ยชุ่ยวางชามลงบนโต๊ะทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก “พูดเหมือนบ้านคนอื่นกินแต่ข้าวต้มทุกวันอย่างนั้นแหละ?”
“พี่รอง ครอบครัวของพวกคุณมีเงินก็จริง แต่ทำไมพูดจาไม่น่าฟังเลย”
เย่ไฉกุ้ยแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “ผู้ชายเขาคุยกัน ผู้หญิงมายุ่งอะไรด้วย?”
“บ้านพวกเธอก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันพูดความจริงแล้วมันผิดหรือ?”
เย่ไฉกุ้ยเดินไปที่ประตูครัว อยากจะดูว่าพวกเขากินอะไรกัน
เมื่อเขาเข้าไปในห้อง ก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อปลา แล้วก็เห็นอาหารจานเนื้อสองอย่างกับอาหารจานผักหนึ่งอย่าง
เย่เสี่ยวจิ่นยังมีไข่ตุ๋นแยกต่างหากให้กินด้วย
อาหารปกติที่บ้านของเย่ไฉกุ้ย ก็แค่ผัดผักกับไข่ บางครั้งก็มีแต่ผักล้วนๆ
พอเห็นว่าอาหารที่บ้านน้องชายคนเล็กดีขนาดนี้ เขาก็ถึงบางอ้อ “โอ้ ไม่แปลกใจเลยที่ไม่ไปกินที่บ้านฉัน ที่แท้วันนี้พวกเธอทำอาหารดีๆ กินกันสินะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
เย่จื้อผิงก็ไม่อยากไปทะเลาะกับพี่ชายคนรอง ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันดีของเขา
ลูกชายอีกสามคนก็ไม่กล้าที่จะขัดคำพูดของอารอง
“ครอบครัวของเราก็กินเนื้อกันบ่อยๆ นะ อารองคิดว่าแค่นี้ถือว่ากินดีแล้วเหรอ?”
“หรือว่าอารองจะนั่งลงกินด้วยกันกับพวกเราไหมล่ะ?”
“ไม่คิดเลยว่าอาหารธรรมดาๆ แบบนี้ อารองจะคิดว่าดีขนาดนี้”
เย่เสี่ยวจิ่นถอนหายใจ “บ้านเรายังมีไก่อีก 60 ตัว เป็ด 30 ตัว ต่อจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะกินกันไปถึงเมื่อไหร่”
สีหน้าของเย่ไฉกุ้ยแข็งค้าง ทันใดนั้นก็รู้สึกฉุนขึ้นมา “จิ่นเป่า หนูพูดแบบนี้ทำไม? ลุงไม่ได้ดูถูกครอบครัวของหนูสักหน่อย การโกหกไม่ใช่สิ่งที่เด็กดีควรทำนะ”
ครอบครัวของเย่ไฉกุ้ยเชิดหน้าขึ้นฟ้ามานานเกินไปแล้ว
พวกเขาไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตามานาน จึงไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวอื่นเลย
“ฉันไม่ได้โกหกนะ แต่ลุงรองน่ะสิ เอาแต่โอ้อวดอยู่นั่น” เย่เสี่ยวจิ่นพูดอย่างจงใจ “แม่คะ บ้านเราไม่ได้อวดเก่งขนาดนั้นใช่ไหมคะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยแทบจะหลุดขำออกมา
แต่ก็กลั้นไว้ได้ “โอ๊ย จิ่นเป่า พูดกับลุงเขาแบบนี้ได้ยังไง”
“ฉันก็พูดความจริงนี่นา เนื้อติดกระดูกตากแห้งต้มกับหัวไชเท้า ใครจะไปกินล่ะ”
เย่จื้อผิงกระแอมเบาๆ “พี่รอง อย่าโมโหไปเลยนะ เด็กมันยังเล็กอยู่”
เย่ไฉกุ้ยฮึดฮัด “ได้ ถ้าไม่ไปก็ไม่ต้องไป แต่ต่อไปถ้าเย่จวินลูกชายนายจะหาคู่แต่งงาน ก็อย่ามาขอให้ฉันช่วยล่ะ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าพวกนายจะหาเมียให้เขาได้ยังไง”
เย่ไฉกุ้ยเดินออกไปอย่างโกรธจัด
ในใจรู้สึกโมโหมาก จึงวิ่งไปดูเล้าไก่ที่บ้านน้องชายสาม
พอไปดูก็พบว่าจริงๆ แล้วมีลูกไก่ 60 ตัวและเป็ด 30 ตัว
“ไม่คิดเลยว่าบ้านน้องสามจะดีขึ้นขนาดนี้”
“ได้อาหารไก่มาจากไหนมากมายขนาดนั้น แถมยังเลี้ยงได้ดีอีก…”
เขาคิดแล้วก็รู้สึกดูถูกขึ้นมา “ฮึ แค่ไก่เป็ดไม่กี่ตัว กระเป๋าเงินยังจะสะอาดกว่าหน้าพวกเขาเลย”
“ในบ้านมีไก่เป็ดตั้งมากมาย ก็ไม่เห็นจะมีใครมาเป็นแม่สื่อให้เย่จวินเลย”
พูดจบ เขาก็เอามือล้วงกระเป๋ากลับบ้านไป
เซี่ยวเฟินฟางกำลังเชิญญาติๆ กินข้าว
พอเห็นเย่ไฉกุ้ยกลับมาคนเดียว หล่อนก็ถาม “น้องชายคุณไม่มาเหรอ?”
“ไม่มา เขากำลังกินข้าวอยู่”
“อย่าไปสนใจคนอื่นเลย วันนี้พวกเรามาดื่มกับญาติฝ่ายเจ้าสาวกันดีกว่า”
เซี่ยวเฟินฟางหัวเราะในลำคอ “ฉันบอกแล้วว่าเขาต้องไม่มาแน่ๆ ลูกชายของตัวเองยังหาเมียไม่ได้ บ้านก็จนจะตาย มาดูลูกชายคุณหาเมีย ใจเขาคงเจ็บปวดและเศร้าน่ะสิ เขาน่ะทนเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้หรอก”
เย่ไฉกุ้ยเดิมทีอยากจะพูดว่า พวกเขาเองต่างหากที่หลงตัวเอง
แต่คิดดูแล้ว ก็ไม่ได้พูดออกไป
“ใช่ๆๆ ทั้งจนแล้วก็ต่ำต้อย”
เย่ว่านหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ร่างอ้วนเตี้ยของเขาดูเหมือนก้อนลูกชิ้นกลมๆ
ลูกสาวของญาติฝ่ายเจ้าสาวคนนี้ชื่อสวี่ชุนเซียง แม้หน้าตาจะธรรมดา แต่รูปร่างดีมาก ผิวก็ขาวเนียนนุ่ม
เย่ว่านหยวนชอบแบบนี้ “ชุนเซียง พวกเราจะแต่งงานกันแล้ว คืนนี้มาดื่มด้วยกันสักแก้วไหม?”
สวี่ชุนเซียงเห็นเย่ว่านหยวนที่ดูราวกับหมูตอนแล้วก็รู้สึกคลื่นไส้
“ไม่ละ ฉันไม่ดื่มเหล้า”
“เธอดื่มเถอะน่า ครอบครัวของเราจะให้สินสอดเธอมากขนาดนั้น ดื่มกับฉันสักแก้วจะเป็นไรไป?”
สวี่ชุนเซียงรู้สึกโมโหขึ้นมา “นายหมายความว่ายังไง? ครอบครัวฉันเรียกร้องสินสอดอะไรจากนายหรือ?”
“ก็แค่ไก่เป็ดไม่กี่ตัว ของขวัญนิดหน่อย กับซองแดงแค่ 1 หยวน คิดว่าเสียเงินไปเท่าไหร่กัน?”
เย่ว่านหยวนไม่คิดว่าสวี่ชุนเซียงคนนี้จะพูดจาไม่ไว้หน้าและไม่เชื่อฟังเขาขนาดนี้
เขาแค่ต้องการผู้หญิงรูปร่างดีและว่านอนสอนง่าย
ยัยสวี่ชุนเซียงนี่สมควรโดนสั่งสอนจริงๆ! รอให้แต่งเข้ามาก่อนเถอะ เขาจะสั่งสอนหล่อนให้หนักเลย
ดูซิว่าจะกล้าเถียงเขาอีกไหม!
สวี่ชุนเซียงเห็นแววตาดุร้ายในดวงตาของเย่ว่านหยวนแล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
สวี่เหวินจวินพี่ชายของสวี่ชุนเซียงเป็นคนที่รักและทะนุถนอมน้องสาวคนนี้มาตลอด
เขาหวังจะหาครอบครัวที่ดีให้น้องสาว เพื่อให้หล่อนได้ลำบากน้อยลง
ตอนนี้เขาได้เห็นแล้วว่าต่อให้ครอบครัวนี้จะมีฐานะดี แต่สันดานคนกลับไม่ดีเลย
“น้องชาย รีบเกลี้ยกล่อมน้องสาวของนายหน่อยสิ ผู้หญิงต้องฟังผู้ชายนะ”
“ดื่มกับฉันสักแก้วคงไม่เป็นไรหรอก”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าคืนนี้ฉันจะขึ้นเตียงกับหล่อนเลยนี่นา”
“พลั่ก!” เสียงหมัดกระทบบางอย่างดังขึ้น
สวี่เหวินจวินประเคนหมัดเข้าที่เบ้าตาของเย่ว่านหยวน ทำให้อีกฝ่ายล้มกลิ้งไปกับพื้นร้องไห้โฮลั่น จากนั้นเขาก็คว้าหม้อน้ำร้อนมาสาดใส่
“ไอ้หมูตอนตายซาก แกไม่ส่องกระจกดูหน้าตัวเองบ้างหรือไงว่ามันโง่เง่าแค่ไหน ถึงน้องสาวของฉันจะต้องแต่งงาน หล่อนก็ไม่มีวันแต่งกับไอ้พวกสมองเต็มไปด้วยขี้หมูอย่างแกหรอก!”
“วันนี้ฉันจะทุบตีแกให้ตาย ให้รู้ซะบ้างว่าอย่าปากดี!”
ตอนนี้เย่ว่านหยวนรู้สึกกลัวแล้ว “พ่อแม่ช่วยผมด้วย พ่อแม่ช่วยผมด้วย!”
“เขาจะทุบตีผมตายแล้ว มันเจ็บมาก มันแสบร้อนมาก!”
“ผมจะตายแล้ว วันนี้ผมจะต้องตายที่นี่แน่ๆ!”
“ลูกจ๋า!”
เซี่ยวเฟินฟางและเย่ไฉกุ้ยเห็นลูกชายถูกรังแกเช่นนั้น จึงรีบเข้าไปช่วยเหลือทันที
แต่ทั้งสองคนกลับถูกเตะล้มลงกับพื้น
เกือบจะหมดสติไปแล้ว
สวี่สวินจวินกำลังโมโหจัด กำปั้นใหญ่ของเขากระหน่ำชกอย่างบ้าคลั่งราวกับห่าฝนบนตัวเย่ว่านหยวนราวกับอีกฝ่ายเป็นกระสอบทราย
ญาติๆ ของตระกูลสวี่ก็ไม่ได้เกรงใจเช่นกัน พวกเขาคอยกันท่าเซี่ยวเฟินฟางและเย่ไฉกุ้ยไว้
“สมควรโดนทุบแล้ว เป็นคนประเภทไหนกัน? ช่างน่ารังเกียจเสียจริง”
“ใช่แล้ว ไม่ได้เรียกค่าสินสอดแม้แต่หยวนเดียว แล้วกล้ามาวางตัวโอหังต่อหน้าพวกเราตระกูลสวีอีก”
“เหวินจวิน ไม่ต้องเกรงใจ ทุบมันให้หนักๆ เลย!”
“ถูกต้อง เดี๋ยวถ้าทุบจนพิการ พวกเราจะช่วยกันออกค่ารักษาพยาบาลเอง”
สวี่ชุนเซียงเป็นถึงหัวแก้วหัวแหวนของตระกูล
เมื่อโดนดูถูกด้วยคำพูดเช่นนี้ เป็นใครก็คงทนไม่ไหว
หลังจากที่เย่ว่านหยวนถูกทุบตีจนเหมือนหมูตายแล้ว คนในตระกูลสวี่ถึงได้หายโมโห
สวี่ชุนเซียงเดินไปหน้าเย่ว่านหยวน “ถุย! ไอ้คนไร้ค่า ยังจะกล้ามาลวนลามฉันอีก!”
“ตอนนี้ยังอวดเก่งอยู่อีกไหม ดีที่พี่ชายฉันไม่ตีแกตายซะก่อน!”
เย่ว่านหยวนร้องไห้โฮ “ผมไม่กล้าแล้ว ผมไม่กล้าแล้ว… พวกคุณรีบไปเถอะ”
คนในตระกูลสวี่จึงจากไป
ช่วงนี้เย่ว่านหยวนไปดูตัวสาวๆ อย่างคึกคัก และพบว่าแค่จ่ายเงินนิดหน่อย ก็มีคนมากมายเต็มใจยกลูกสาวสวยๆ ให้แต่งงานด้วย
แต่เขากลับลืมไปว่ายังมีคนที่ไม่ได้หวังเงินทองด้วย
เย่จื้อผิงเพิ่งมาถึงพร้อมกับหลี่ชุ่ยชุ่ย แต่กลับเห็นครอบครัวของเย่ไฉกุ้ยกอดคอกันกลมร้องห่มร้องไห้
โต๊ะอาหารในบ้านถูกพลิกคว่ำจนเละเทะ
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “โชคดีนะที่คุณไม่ได้มากินข้าวที่นี่”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หลงตัวเองจนไม่เห็นหัวคนอื่นมันต้องโดนดีแบบนี้แหละ เหมือนกรรมเริ่มทยอยเก็บดอกเบี้ยย้อนหลังกับบ้านรองแล้ว
ไหหม่า(海馬)
……….