ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 97 ครอบครัวที่มีรถ
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 97 ครอบครัวที่มีรถ
บทที่ 97 ครอบครัวที่มีรถ
……….
บทที่ 97 ครอบครัวที่มีรถ
สามีภรรยาทั้งสองต่างหัวเราะ
เมื่อเย่ฉางอันกลับมา เขาได้ถือตะกร้าผลไม้ป่ามาด้วย
เนื่องจากน้องสาวชอบกินลูกหม่อน เขาจึงเด็ดลูกหม่อนมาให้เธอมากมาย
เย่เสี่ยวจิ่นรับตะกร้ามา แล้วเริ่มกินอย่างมีความสุข
แก้มของเธอป่องออกมาเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อย
“พี่ชายทั้งหลายใจดีจังเลยค่ะ”
“เขาใจดีงั้นเหรอ?” เย่จวินอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมา “ทิ้งฉันไว้ที่ทุ่งนาเนี่ยนะ”
เย่จื้อผิงเห็นว่าจักรยานเปื้อนโคลน จึงเอาผ้าป่านมาเช็ดด้วยความเสียดาย
“เจ้าเด็กซนนี่ ไม่รู้จักถนอมของเลยสักนิด”
“พ่อครับ อย่าใส่ร้ายผมสิ ผมทะนุถนอมมันมากนะครับ” เย่ฉางอันรีบพูด “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพี่ชายผมตัวหนักเกินไป ผมเลยทำรถคว่ำ”
เย่จวินไม่คิดว่าเขาจะโยนความผิดมาให้ตนได้หน้าตาเฉย
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นพวกเขาทะเลาะกันแล้วก็รู้สึกขบขัน
เธออุ้มตะกร้าไปนั่งกับเย่หวาย “พี่ชายสาม กินเร็วๆ สิคะ”
“กินวิตามินเสริมมันดีต่อร่างกายนะคะ”
เย่หวายไม่รู้ว่าวิตามินคืออะไร แต่เขาก็กินมันไปบ้าง
เขาไม่ได้กินมากนัก
ที่นี่ไม่มีอะไรดีๆ มีแค่ผลไม้ป่าบางชนิดเท่านั้น
ของรสชาติหวานฉ่ำแบบนี้ ให้น้องสาวกินจะดีกว่า
เขาอายุขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ควรแย่งอาหารของจิ่นเป่า
“ลูกหม่อนพวกนี้กินแล้วกระตุ้นเส้นผมดีนะ”
“พี่อ่านหนังสือหนักมากอาจจะทำให้หัวล้านง่าย กินเยอะๆ หน่อยนะ”
เย่หวายอดไม่ได้พูดว่า “จิ่นเป่า ฉันไม่ได้อ่านหนังสือหนักหรอก”
“ฉันคิดว่าถ้าพี่รู้สึกเหนื่อย มันก็คือเหนื่อยนั่นแหละ” เย่เสี่ยวจิ่นยัดลูกหม่อนใส่มือพี่ชายอย่างดื้อรั้น
พี่น้องทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม
“บ้านพวกเธอซื้อจักรยานแล้วเหรอ?” ในตอนนั้นเองหยางเจวียนก็มาถึง ในมือถือปลาครึ่งตัว
“โอ้โฮ ฉันบอกแล้วไงว่าลูกๆ บ้านเธอต้องมีอนาคตแน่ๆ”
“ฉันก็ว่าแล้วว่าทำไมวันนี้เห็นฉางอันถึงเข้าเมือง ที่แท้ก็ไปซื้อจักรยานนี่เอง”
หล่อนอดไม่ได้ที่จะมองจักรยานที่ถูกขัดเงาจนมันวับ “โอ้โห นี่ต้องใช้เงินเท่าไหร่กันนะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดเลี่ยงไป
“คุณมาตอนนี้เพื่อเอาปลาเฉ่ามาให้ฉันกินเหรอ?”
หยางเจวียนยิ้มแย้มอย่างขบขัน นึกถึงเรื่องราวแล้วก็ยังรู้สึกตลก “ใช่แล้ว สามีของฉันกำลังล้างจอบอยู่ในลำธาร แล้วเขาก็เห็นปลาเฉ่าตัวหนึ่งในพงหญ้า!”
“เขาไม่ทันคิดอะไร ฟาดจอบใส่ปลาตัวนั้นตายคาที่”
“นี่ไง ฉันจัดการมันเรียบร้อยแล้ว เลยเอามาให้พวกคุณกินครึ่งหนึ่ง”
“ปลานี่สดมากเลยนะ ตายมายังไม่ถึงสองชั่วโมงด้วย”
หล่อนพูดพลางยื่นปลาให้หลี่ชุ่ยชุ่ย “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ คุณทอดมันไว้ก่อนก็ได้ แล้วค่อยผัดกินตอนไหนก็ได้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรับปลามาแล้วรู้สึกแปลกใจ “ในลำธารนี้มีปลาเฉ่าตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยเหรอ? ฉันกะว่าปลาตัวนี้น่าจะหนักถึง 6 ชั่งเลยนะ”
“ใช่แล้วล่ะ สามีฉันบอกว่าคงหลุดออกมาจากบ่อเลี้ยงปลาของหน่วยงานน่ะ”
หยางเจวียนพูดเสียงเบา “อย่าไปบอกคนอื่นนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้า
หยางเจวียนเดินจากไป
“คุณกลับมาแล้วเหรอ ผมใช้จอบนี่ตีปลาตาย มันเลยหลวมไปหน่อย”
“ตอนนี้ต้องตีให้มันกลับมาแน่นขึ้นหน่อย”
หยางเจวียนนั่งยอง ๆ ในลานบ้าน พูดอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ “ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันคิดว่าบ้านของชุ่ยชุ่ยคงจะมีเงินแล้วล่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง? ไม่น่าเป็นไปได้หรอก พ่อแม่ของพวกเขาออกจะลำเอียงขนาดนั้น ชุ่ยชุ่ยกับจื้อผิงต้องเลี้ยงดูลูก ๆ ตั้งหลายคน”
“มีเงินเหรอ? จะมีเงินมาจากไหนได้ล่ะ”
หยางฟู่กุ้ยไม่เห็นด้วย “ถ้าจะพูดว่ามีเงิน ก็คงมีแต่บ้านของลูกชายคนรองนั่นแหละที่มีเงินหน่อย”
“ส่วนบ้านลูกชายคนโตก็มีคนแก่สองคนคอยช่วยเหลือ สถานการณ์ถือว่ายังดีอยู่ แต่ก็ต้องส่งลูกเรียนมัธยมปลาย ต้องใช้จ่ายเยอะเหมือนกันนะ”
หยางเจวียนทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ ดวงตาฉายแววขุ่นเคือง “นี่คุณดูถูกใครกันแน่?”
“ในบรรดาลูกชายสามคนของตระกูลเย่ มีแค่จื้อผิงแหละที่เป็นคนดีที่สุด”
หยางฟู่กุ้ยหัวเราะ “ผมรู้ว่าคุณสนิทกับชุ่ยชุ่ย แต่การพลิกชีวิตไม่ใช่ว่าจะพลิกกันได้ง่ายๆ นะ”
“ฉันบอกคุณไว้เลย คุณอย่าเพิ่งทำเป็นไม่เชื่อไป เมื่อกี้ฉันไปเห็นว่าที่บ้านชุ่ยชุ่ยมีจักรยานคันหนึ่งด้วยนะ!”
ดวงตาของหยางเจวียนเป็นประกายวาววับ น้ำเสียงสูงขึ้นอีกหลายระดับ “ทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน ใครกันจะมีปัญญาซื้อจักรยานดีๆ แบบนั้นได้”
“ครอบครัวพวกเขาดูเงียบๆ ไม่มีอะไรก็จริง แต่ดูท่าจะรวยขึ้นมาแล้วนะ”
หยางฟู่กุ้ยเป็นผู้ชายเหมือนกัน จึงสนใจเรื่องรถมาก
เขาจึงวางแผนจะไปดูพรุ่งนี้
หยางลี่ลี่ที่อยู่ในบ้านได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
พอรู้ว่าสภาพความเป็นอยู่ของตระกูลเย่ดีขึ้นแล้วก็รู้สึกดีใจอย่างจริงใจแทนจิ่นเป่าและเย่หวายด้วย
ทันทีที่ฟ้าสาง เย่จื้อผิงก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่แล้ว
เขานำปลาที่ทอดไว้เมื่อคืนมาผัดกับพริกและกระเทียมสับจนหอมฟุ้ง
เด็กๆ ต่างถูกกลิ่นหอมล่อให้ตื่นจากความฝัน
เย่ฉางอันขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ขยี้ตาพลางพูดว่า “ทำไมมันหอมขนาดนี้ล่ะ? ฉันน้ำลายไหลแล้ว”
“เสี่ยวหวาย พี่ใหญ่ พวกนายตื่นเร็วๆ สิ”
“ต้องเป็นพ่อทำอาหารแน่ๆ อาหารที่พ่อทำหอมมากจริงๆ”
พูดพลางก็กระโดดออกจากผ้าห่มเหมือนปลาหลี่
เย่หวายจัดการหนังสือข้างเตียงเสร็จแล้ว เตรียมตัวจะกินอาหารเช้าแล้วไปโรงเรียน
ส่วนเย่เสี่ยวจิ่นถูกแม่ดึงออกมาจากผ้านวม อุ้มเธอมาล้างหน้าให้ แล้วพาไปนั่งบนม้านั่งที่โต๊ะอาหาร
เย่จื้อผิงยกอาหารมาวางบนโต๊ะ “วันนี้มีแต่อาหารอร่อยๆ ทั้งนั้นเลย เป็นเพราะลุงฟู่กุ้ยโชคดีแท้ๆ พวกเราถึงได้กินปลาสดๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นลืมตาขึ้น งับเนื้อปลาคำหนึ่ง แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
เนื้อปลานี้ถูกทอดจนกรอบนอกนุ่มใน กินแล้วอร่อยมาก
“อร่อยจัง!”
เย่จื้อผิงเห็นจิ่นเป่าพูดแบบนั้น ก็ยิ้มพลางพูดว่า “ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ หน่อยนะ!”
“ปลาแค่ครึ่งตัวก็มีเนื้อเยอะขนาดนี้แล้ว พอให้พวกเรากินกันอิ่มแน่ๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่แม่กินอาหาร หล่อนมักจะกินแต่ผักเสมอ
เธอจึงคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งใส่ชามของแม่ “แม่คะ แม่ก็กินเยอะๆ หน่อยนะคะ”
“พ่อก็ด้วยค่ะ!”
เธอปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างเท่าเทียมกัน
จากนั้นขมวดคิ้วอย่างจริงจังพลางกล่าวว่า “พวกเราจงระลึกถึงช่วงเวลาที่ไม่มีเนื้อกินนี้ไว้”
“พอถึงกลางเดือนห้า บ้านเราจะมีไก่และเป็ดกินไม่หมด”
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เย่จวินก็เอ่ยปากขึ้นมา “ต้องสร้างเล้าไก่ให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยไหม? ตอนนี้ลูกไก่ทั้ง 30 ตัวยังอยู่ในรังของแม่ไก่อยู่เลย”
“ถ้าพวกมันออกมาเดินเล่น อาจโดนไก่ตัวโตรุ่นแรกเหยียบได้”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่ชายพูดถูก เราต้องทำแบบนั้น”
“งั้นตอนเที่ยงฉันกลับมา จะไปตัดไม้ไผ่จำนวนหนึ่งในป่า แล้วเราจะทำเล้าไก่อีกหลัง”
“ไก่สองรุ่นไม่ต้องใช้เล้าเดียวกัน ตอนให้อาหารก็จะสะดวกขึ้นด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยนึกขึ้นมาได้ “จิ่นเป่า ตอนแม่ไปเก็บจูเฉ่าที่ริมลำธารด้านหลัง แม่เห็นว่าในแปลงบวบของลูกมีต้นหญ้าสีแดงเล็กๆ ขึ้นเยอะมาก ดูเหมือนจะสวยดีนะ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จะให้แม่ถอนออกให้ไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นรีบห้ามไว้ “อย่านะคะ มันคือต้นผัก ช่วงนี้เราไม่มีผักกินกันเลยไม่ใช่เหรอ? แม่เด็ดมันมาผัดกินได้นะ อร่อยมากเลย แค่เอาไปผัดเหมือนกับผักกาดขาว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ “ลูกปลูกเองเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
หลังอาหาร
หลี่ชุ่ยชุ่ยถือชามไปที่แปลงบวบด้านหลัง
บนพื้นที่เล็กๆ ตรงนั้นมีผักโขมแดงขึ้นแน่นเต็มไปหมดแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยถอนออกมาหน่อยหนึ่ง แล้วเอากลับบ้านไปล้างให้สะอาดเพื่อเตรียมไว้กินตอนเที่ยง
เมื่อทำงานเสร็จก็ไปที่ฟาร์มไก่
หลี่ผิงเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ย จึงถามด้วยความอยากรู้ “ชุ่ยชุ่ย ได้ยินว่าบ้านเธอซื้อจักรยานแล้วเหรอ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยสงสัย “พวกเธอรู้ได้ยังไง?”
“มีคนเห็นลูกชายสองคนของเธอขี่จักรยานเล่นน่ะ” หลี่ผิงอดไม่ได้ที่จะถาม “ซื้อมาเท่าไหร่เหรอ?”
“ลูกชายคนรองของฉันไปซื้อเองในเมือง ฉันก็ไม่รู้ชัด แต่คงไม่แพงหรอก”
หลี่ผิงพูดกับหลี่ชุ่ยชุ่ยอย่างลับๆ ล่อๆ “ลูกชายคนโตของเธอกำลังหาคู่อยู่ใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อบ้านเธอซื้อรถได้แล้ว สถานะก็ถือว่าไม่เลว ให้ฉันแนะนำเด็กสาวคนหนึ่งให้ไหม?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ๆๆ ลูกชายคนโตของฉันไม่อยากแต่งงานเร็วขนาดนั้นหรอก คราวก่อนที่แม่สื่อมา เขาโกรธมากเลยนะ”
“สถานการณ์ครอบครัวของพวกเราไม่ดีเลย ตอนนี้บ้านก็ยังไม่พอให้อยู่ อย่าไปทำร้ายเด็กสาวคนนั้นเลย”
หลี่ผิงโบกมือ “ครอบครัวของพวกเธอแค่สร้างห้องเพิ่มอีกสองห้องก็พอแล้ว เย่จวินก็หน้าตาดี ขยันขันแข็งด้วย มีเด็กสาวมากมายที่อยากแต่งงานกับเขานะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ด้วยเห็นว่าลูกชายอายุปูนนี้แล้ว
แม้ตัวเขาเองจะไม่รีบร้อน แต่ในฐานะแม่ที่เห็นว่านหยวนออกไปดูตัวทุกวัน ในใจก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่เอาค่ะ ไม่มากินเผือกบ้านจิ่นเป่ากันนะคะ ฐานะทางบ้านมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาซักไซ้ไต่ถามกันนะ
ไหหม่า(海馬)
……….