ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 60 ทำผักกูดดอง (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 60 ทำผักกูดดอง (รีไรต์)
บทที่ 60 ทำผักกูดดอง (รีไรต์)
บทที่ 60 ทำผักกูดดอง (รีไรต์)
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มอย่างจนใจพลางกล่าวว่า “ที่นี่เคยมีคนปลูกพืชมาก่อน แต่ที่ปลูกออกมาก็ยังเล็กกว่านิ้วโป้งของคนเสียอีก”
“เสียแรงเปล่า ก็เลยไม่มีใครมาปลูกอะไรที่นี่อีก”
“จิ่นเป่า ตรงไหนที่ดินเป็นสีดำ แสดงว่าอุดมสมบูรณ์”
“ส่วนที่เห็นเป็นทรายกับหินแบบนี้ ก็ไม่มีสารอาหาร”
เย่เสี่ยวจิ่นกระซิบเบา ๆ ว่า “ถ้าไม่มีสารอาหารก็ใส่ปุ๋ยสิ แล้วมันแกวของหนูก็เหมาะกับที่นี่ด้วยนะ”
เธอได้วางแผนคร่าว ๆ ไว้ในใจแล้ว
ตอนนี้ที่นี่ดูรกร้าง มีผักกูดขึ้นอยู่เยอะ
ถ้าจะเปิดหน้าดินทั้งหมด คงปลูกมันแกวได้ราว 200 ต้นโดยไม่มีปัญหา
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะเธอ “หัวเล็ก ๆ ของลูกนี่ จะเก็บอะไรไว้ได้มากมายขนาดนั้นเชียว?”
เย่เสี่ยวจิ่นเบ้ปาก แล้วกระโดดโลดเต้นไปเก็บผักกูดอย่างสนุกสนาน
ในทุ่งนามีผักกูดมากมาย มีทั้งสีเขียวและสีดำสองชนิด
ผักกูดอ่อนทั้งต้นจะขึ้นตรง ไม่มีกิ่งก้านแยก มีเพียงส่วนยอดที่โค้งงอ
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่า ผักกูดสีเขียวจะไม่มีรสขม
ส่วนสีดำจะขมมาก
ดังนั้นเธอจึงเลือกเก็บแต่สีเขียวเท่านั้น
“จิ่นเป่า เล่นอยู่ตรงนี้นะลูก” หลี่ชุ่ยชุ่ยวางรากเก๋อเกินที่ขุดมาได้ลงในตะกร้าสานไม้ไผ่ใบใหญ่ แล้วสะพายไว้บนหลัง
หล่อนเดินไปขุดรากเก๋อเกินที่อื่นต่อ
เย่เสี่ยวจิ่นเด็ดผักกูดมาได้มากมาย เธอเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง
และกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะถูกแดดเผา หลังก็เปียกเหงื่อไปหมดแล้ว
เมื่อเย่จื้อผิงถือตะกร้าใบใหญ่มาถึง เขาเห็นว่าเธอได้เก็บผักกูดไว้มากมายแล้ว
“จิ่นเป่าเก่งจังเลยนะ”
“แม่ล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นชี้ไปที่ภูเขา “แม่ขึ้นไปข้างบนแล้ว พ่อ พ่อมาเก็บผักกูดด้วยเหรอ?”
“ใช่แล้ว” เย่จื้อผิงเห็นว่าช่วงนี้อากาศดี จึงถือตะกร้าใบใหญ่มาที่ภูเขาด้วย
“ถือโอกาสที่อากาศดี แม่ของลูกทำรากเก๋อเกิน พวกเราทำผักกูดดองกันดีไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มพยักหน้า “งั้นเราต้องการเยอะมากเลยสิ?”
“ใช่แล้ว เก็บสักสิบจิน ทำได้เต็มไหใหญ่เลยนะ”
ขาของเย่จื้อผิงยังไม่หายดี แต่เขาก็ไม่บ่น นั่งลงเก็บผักกูดในทุ่งทันที
“พ่อคะ! อย่าเก็บสีดำเลย มันขมเกินไป!”
เย่เสี่ยวจิ่นดึงแขนของเย่จื้อผิงพลางทำหน้าเบื่อหน่าย
“จิ่นเป่า ทำเป็นผักดองก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ”
“จริงเหรอคะ?” เย่เสี่ยวจิ่นขมวดคิ้ว
“แน่นอนว่าจริง ผักกูดสีเขียวหลังจากลวกน้ำร้อนแล้วตากแดดก็จะกลายเป็นสีดำเหมือนกัน”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกว่าพ่อกำลังหลอกเธอ แต่เธอไม่มีหลักฐาน!
พอถึงตอนบ่าย ทั้งครอบครัวก็กลับมาพร้อมของเต็มมือ
เย่จื้อผิงนำกระด้งใบใหญ่ออกมาวางใต้ชายคา
แล้วช่วยเย่เสี่ยวจิ่นเด็ดยอดอ่อนออกจากผักกูด
หลี่ชุ่ยชุ่ยเหนื่อยจนแทบหมดแรง ดื่มน้ำไปหนึ่งชามใหญ่
“พ่อลูกเก็บผักกูดมาได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?”
เย่จื้อผิงยิ้มพลางหยิบผักกูดที่ดูใหญ่และอวบขึ้นมา “ผักที่เก็บมาจากบนเขานี่ดีกว่าที่ริมลำธารเยอะเลยนะ”
“ใช่ อวบดีจริง ๆ” หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มพลางย่อตัวลงดู “จิ่นเป่า ลูกเหนื่อยไหม?”
“ดูจิ่นเป่าของเราสิ เหงื่อท่วมหน้าเลย”
หล่อนพูดพลางหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้เย่เสี่ยวจิ่น
เห็นมือน้อย ๆ ของเย่เสี่ยวจิ่นเปื้อนน้ำจากผักกูดจนเป็นสีน้ำตาลเทา
ทั้งขำทั้งสงสาร
“จิ่นเป่าของเราขยันจังเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยวางตะกร้าใบใหญ่ของตัวเองลงในลานบ้าน
แล้วใช้มีดสับรากเก๋อเกินขนาดใหญ่ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ
หลังจากล้างด้วยน้ำสะอาดแล้ว ก็นำไปใส่ในครกหินที่ใช้ตำขนมข้าวเหนียว
นี่เป็นงานที่ต้องใช้แรงงานที่ยุ่งยาก หลี่ชุ่ยชุ่ยก็วุ่นวายอยู่กับมันเกือบทั้งวัน
เย่เสี่ยวจิ่นจัดการผักกูดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เย่จื้อผิงต้มน้ำให้เดือด แล้วนำผักกูดลงไปลวกในน้ำเกลือ
เมื่อผักกูดเหี่ยวลงแล้ว ก็นำออกมาวางบนกระด้งที่แห้ง
นำไปตากแดดโดยกางออก
ต้องคอยมาขยำเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ผักดองที่ได้นั้นนุ่มขึ้น
“ชุ่ยชุ่ย ทำรากเก๋อเกินเหรอ?” หลี่กุ้ยฮวาเดินผ่านมา
เห็นทั้งครอบครัวกำลังรีบเร่งทำงานในขณะที่แดดดี
หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะหยุดดูสักครู่
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ครอบครัวของบ้านสามที่ไร้ค่าที่สุดในบ้านหลังนี้
ได้แอบสร้างเล้าไก่ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ เลี้ยงไก่กว่าสามสิบตัวจนอ้วนพีเชียว
ลูกชายก็ถูกส่งไปเรียนชั้นมัธยมต้น
ในบ้านคึกคักไปหมด ทั้งทำรากเก๋อเกิน ทั้งทำผักกูดดอง
ทำให้หล่อนรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง
พวกเขาคงไม่ได้เลี้ยงไก่จนร่ำรวยกว่าครอบครัวของหล่อนหรอกนะ?
“ดูเหมือนพวกเธอจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังหั่นรากเก๋อเกิน ยิ้มน้อย ๆ “ไม่หรอก ก็แค่…ลูกไปเรียนมัธยมต้น ตอนเที่ยงไม่มีอะไรให้กินเลย”
“พวกเราก็เลยต้องทำรากเก๋อเกิน ทำผักกูดดองบ้าง”
“บ้านเรายากจน ก็ทำได้แค่นี้แหละ”
“แค่กินอิ่มก็พอแล้ว อย่างไรเสียเสี่ยวหวายก็ไม่เลือกกินอยู่แล้ว”
“นั่นสิ พวกเราเด็กบ้านนอก ได้กินอิ่มมื้อไหนก็ถือว่าเป็นมื้อนั้นแหละ” หลี่กุ้ยฮวาจึงวางใจลงได้
ถ้าบ้านของหลี่ชุ่ยชุ่ยมีเงินจริง ก็คงไม่ต้องมาทำอะไรพวกนี้หรอก
ดูเหมือนว่ายังจนมากอยู่
มีแต่เด็กจากครอบครัวยากจนเท่านั้นที่จะนำผักดองมากินตอนเที่ยง!
เมื่อก่อนเหวินชางของพวกเขากินไข่ทุกมื้อเชียวนะ!
“การเลือกหัวหน้าทีมสวนผลไม้ครั้งนี้ มีคนอยากลงสมัครเยอะมาก ฉันก็อยากให้จื้อเฉียงไปลองดูบ้าง”
“ตอนนั้น พวกเธอช่วยโหวตให้เขาด้วยนะ”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าเขาได้เป็นหัวหน้าทีม พวกเธอก็จะได้ทำงานสบาย ๆ ตามไปด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “บ้านของพวกเราก็มีคนจะไปลงสมัครเป็นหัวหน้าทีมเหมือนกัน…”
“พวกเธอก็จะเลือกด้วยเหรอ?” หลี่กุ้ยฮวายกระดับน้ำเสียงขึ้น ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่ใหญ่หลวง
“ใครในครอบครัวของพวกเธอเข้าใจเรื่องนี้บ้าง? นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะโชคดีแล้วได้รับเลือกนะ”
“หรือว่าพวกเธอคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากพอ?”
หลี่กุ้ยฮวากอดอกยืนเท้าเอว ชันคางสูงอย่างหยิ่งผยอง
“ลูกชายฉันกับจื้อเฉียง ยังอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น แต่จื้อผิงของพวกเธอทำอะไรเป็นบ้าง?”
“ฉันแนะนำว่าอย่าเสียเวลาเลย ลงคะแนนให้จื้อเฉียงไปเลยดีกว่า”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่พูดอะไร หล่อนเพียงแค่หั่นรากเก๋อเกินอยู่เงียบ ๆ
หล่อนรู้ดีว่าครอบครัวของพวกเขาไม่เคยได้รับความนับถือจากใคร
หล่อนเม้มปากยิ้มเล็กน้อย “ทุกคนมีสิทธิ์ลองดู พวกเราก็อยากลองดูบ้าง”
“บางที… บางทีเราอาจจะโชคดีก็ได้ใครจะรู้?”
“หึ!” หลี่กุ้ยฮวาหัวเราะเยาะ “ฝันไปเถอะ! หลี่ชุ่ยชุ่ย เธอช่างกล้าคิดจริง ๆ!”
หล่อนมองหลี่ชุ่ยชุ่ยด้วยสายตาดูถูก ไม่อยากเสียเวลาพูดมากอีก “เธอต้องคิดให้ดีนะ ถ้าครอบครัวเธอไม่ลงคะแนนให้จื้อเฉียง”
“เมื่อจื้อเฉียงได้เป็นหัวหน้าทีม พวกเธออย่ามาขอความช่วยเหลือจากพวกเราล่ะ!”
หล่อนไม่พูดอะไรอีก
หลี่กุ้ยฮวาถ่มน้ำลายแล้วเดินจากไปพร้อมกับบ่นพึมพำ
ปากของหล่อนพูดแต่คำว่า “อะไรกัน พวกเธอก็ไร้ยางอาย” และคำพูดทำนองนี้
เย่จื้อผิงทำงานเสร็จแล้วเดินมาเห็นสีหน้าไม่ดีของหลี่ชุ่ยชุ่ย “เกิดอะไรขึ้น?”
“พี่ใหญ่ก็จะลงเลือกเป็นหัวหน้าทีมสวนผลไม้” หลี่ชุ่ยชุ่ยมีเหงื่อออกที่หลัง ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า “ฮ่า…ถูกคนดูถูกมาทั้งชีวิต”
“ฉันหวังจริง ๆ ว่าจะให้จิ่นเป่าได้เป็นหัวหน้าทีม อย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่ดูถูกพวกเราขนาดนี้…”
หล่อนพูดพลางเทน้ำทิ้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง “ต่อไปจิ่นเป่าของเราจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน”
“เมื่อถึงเวลานั้น จิ่นเป่าก็จะเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา”