ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 58 เปิดเทอมลงทะเบียนเรียนแล้ว (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 58 เปิดเทอมลงทะเบียนเรียนแล้ว (รีไรต์)
บทที่ 58 เปิดเทอมลงทะเบียนเรียนแล้ว (รีไรต์)
บทที่ 58 เปิดเทอมลงทะเบียนเรียนแล้ว (รีไรต์)
หลี่กุ้ยฮวารู้สึกงุนงงอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นหล่อนก็ด่าออกมา “แกเป็นบ้าอะไรของแก?”
“สมองมีปัญหาตรงไหนหรือไง?”
“รีบไปเก็บจอบขึ้นมาเร็วเข้า ถ้าทำงานไม่ดี ไม่ได้คะแนนงาน ระวังหนังหัวแกจะหลุดนะ!”
“ทำไมฉันต้องทำงานด้วย?” เย่จู๋พูดพลางร้องไห้ด้วยความรู้สึกน้อยใจ “คนอื่นเขาได้เรียนหนังสือกันทั้งนั้น มีแต่ฉันที่ไม่ได้เรียน!”
หลี่กุ้ยฮวาเห็นทุกคนหันมามอง จึงคว้าหูของเย่จู๋ไว้แน่น “ร้องอีกนะ ร้องอีกฉันจะตีแกแล้ว!”
หล่อนพูดด้วยความหงุดหงิด “แกเป็นผู้หญิง เรียนหนังสือไปทำไม ยังไงก็ต้องแต่งงานอยู่แล้ว”
“ไม่รู้หรือไงว่าพี่ชายของแกเรียนหนังสือปีหนึ่งต้องเสียเงินเท่าไหร่? บ้านเรามีเงินที่ไหนให้แกเรียนอีก?”
“แกไม่เข้าใจอะไรบ้างเลยหรือไง?”
“ฮือ ๆ ๆ…” เย่จู๋ร้องไห้สะอึกสะอื้น “แต่ฉันก็อยากเรียนหนังสือนะ…”
หลี่กุ้ยฮวาเสียงดังขึ้น “ผู้หญิงคนอื่นไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ยังแต่งงานได้เหมือนกัน!”
เย่จู๋ร้องทุกข์ “พี่ชายของเย่เสี่ยวจิ่นยังได้เรียนหนังสือเลย ต่อไปเธอก็จะได้เรียนด้วย…”
หลี่กุ้ยฮวาแค่นเสียงหึ ดวงตาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “แกได้ยินมาจากใคร? ครอบครัวของพวกนั้นมีฐานะอะไร? จะมีปัญญาเรียนหนังสือเหรอ?”
“พ่อแม่ของเด็กนั่นก็ลำเอียงเข้าข้างลูกชายเหมือนกัน หลอกเธอน่ะ!”
“แกคอยดูเถอะ ต่อไปเด็กนั่นก็ไม่ได้เรียนหนังสือหรอก”
เย่จู๋ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลยจากคำพูดของแม่
ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือ เธอก็ต้องแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย…
เธอไม่อยากเป็นแบบนั้น แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์เลือก
เธอถึงกับเริ่มคิดว่า ทำไมพี่ชายถึงไม่ได้สอบเข้าโรงเรียนอาชีวะหรือวิทยาลัยครู?
เย่จู๋พูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “แม่ แม่ก็ลำเอียงเข้าข้างลูกชายเหมือนกันเหรอ?”
หลี่กุ้ยฮวาดวงตาวาววับเล็กน้อย แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ลูกชายสามารถเลี้ยงดูฉันยามแก่เฒ่า ทำให้ฉันมีหน้ามีตา”
“แกเป็นแค่ลูกสาว มีประโยชน์อะไร?”
“กินของฉัน ดื่มของฉัน แต่สุดท้ายก็จะเป็นคนของครอบครัวอื่น ไม่ใช่เหรอ?”
เย่จู๋รู้คำตอบในใจแล้ว
เธอหยิบจอบขึ้นมา ไม่พูดอะไรอีก
แสงแดดสดใส
โรงเรียนมัธยมต้นต้าหลีมีคนมากมายแล้ว
ทุกคนมากันเป็นกลุ่มสองสามคน บางคนก็มาลงทะเบียนด้วยตัวเอง
“ค่าเทอมมัธยมต้นนี่แพงจริง ๆ นะ”
“ใช่ไหมล่ะ? บ้านฉันมีลูกชายสองคน เรียนไม่ไหวแล้ว”
“แต่ก็ไม่ควรพูดแบบนั้นนะ มีความรู้แล้วจะได้ทำงานดี ๆ”
“โอ๊ย พวกคุณไม่รู้หรอก โรงเรียนนี้ไม่มีใครสอบเข้าวิทยาลัยอาชีวะหรือวิทยาลัยครูได้มาสองปีแล้ว”
ทุกคนต่างพากันถอนหายใจว่านักเรียนไม่ขยัน
ในสายตาของพวกเขา ครูล้วนเป็นคนมีความรู้ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเด็ก ๆ ไม่เอาไหน
หลี่ชุ่ยชุ่ยอุ้มเย่เสี่ยวจิ่นไว้ในอ้อมแขน
หล่อนเขย่งเท้ามองแถวที่เรียงรายอยู่หน้าห้องเรียนหลายห้อง
“เสี่ยวหวาย ไปดูหน่อยสิว่าพวกเราต้องไปต่อแถวตรงไหน”
เย่หวายรีบไปสอบถามทันที
จากนั้นก็พาแม่ไปเข้าแถวที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เย่เสี่ยวจิ่นลงจากอ้อมกอดของแม่ แล้วเดินสำรวจไปรอบ ๆ
โรงเรียนมัธยมต้นในชนบทนี้จริง ๆ แล้วค่อนข้างเล็ก โดยมีทั้งโรงเรียนประถมและมัธยมต้นอยู่ในบริเวณเดียวกัน
ดูคึกคักมาก
คุณครูนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างหน้ามีโต๊ะวางใบเสร็จรับเงินและเงินทอน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีสองห้องเรียน
เมื่อถึงคิวของหลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่หวาย หลินเหมยเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าเป็นหน้าใหม่ที่ไม่คุ้น
“คุณเป็นใครกัน? มาผิดแถวหรือเปล่า?”
เย่หวายตอบอย่างเก้อเขิน “ผมเรียนจบชั้นประถมแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าเรียนมัธยมต้น”
หลินเหมยขมวดคิ้ว “มัธยมต้นเรียนมาครึ่งเทอมแล้ว ไม่สามารถรับนักเรียนเพิ่มได้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบเข้าไปหา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “คุณครูขอโอกาสให้เด็กสักครั้งเถอะค่ะ ฉันจะให้ลูกตั้งใจเรียนตามให้ทันแน่นอน”
“ก่อนหน้านี้เขาควรจะได้เรียนหนังสือ ผลการเรียนของเขาดีมากเลยนะคะ”
“แต่เพราะน้องสาวของเขาป่วย เลยไม่มีเงินเรียน…”
หลินเหมยเคยเจอเรื่องแบบนี้มามากแล้ว เธอโบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก ให้มาเรียนภาคเรียนหน้าแทนนะ!”
เธอเงยหน้าขึ้น ในดวงตามีแววเยาะหยัน “เรียนตามไม่ทันมาตั้งครึ่งปี คุณคิดว่าเขาจะตามทันเหรอ?”
“ที่บอกให้พวกคุณมาเรียนเทอมหน้า ก็เพื่อประโยชน์ของพวกคุณเองนะ”
ถึงแม้หลินเหมยจะพูดแบบนั้น แต่ในใจเธอก็กังวลว่าคนคนนี้จะทำให้ผลการเรียนของทั้งชั้นตกต่ำลง
ชั้นเรียนที่เธอสอนรุ่นที่แล้ว มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่สอบเข้ามัธยมปลายได้
ไม่มีใครสอบเข้าวิทยาลัยอาชีวะหรือวิทยาลัยครูได้เลยสักคน!
เธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“แต่ถ้าเรียนในภาคเรียนที่สอง เด็กก็จะอายุมากเกินไป…” หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังจะพูดต่อ
ในขณะเดียวกัน ครูอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“เย่หวาย? เป็นเธอจริง ๆ ด้วย?”
เย่หวายเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่าเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในหมู่บ้านของเขาเมื่อก่อน
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและดีใจ “ครูหยาง ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะครับ?”
หยางหยางยิ้มเล็กน้อย “ช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว มีครูคนหนึ่งที่นี่เกษียณ”
“ฉันก็เลยย้ายมาเป็นครูประจำชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่ง”
“มานี่สิเด็กน้อย เรามาคุยกันหน่อย”
หลินเหมยเพียงแค่เหลือบมองอย่างเย็นชา
มัธยมต้นปีที่หนึ่งมีสองห้อง ห้องที่ครูหยางคนนี้ดูแลกลับมีผลการเรียนแย่กว่าห้องของเธอมาก
ครูที่ย้ายมาจากหมู่บ้านมักจะสอนได้ไม่ดีนัก การที่ชั้นเรียนของพวกเขาไม่ค่อยมีคุณภาพก็เป็นเรื่องปกติ
ถ้าเขาจะรับนักเรียนย้ายเข้ามาคนนี้ เธอก็ไม่มีปัญหาอะไร
อย่างมากก็แค่ทำให้คะแนนเฉลี่ยของชั้นเรียนของหยางหยางต่ำลงไปอีกในการประชุมมอบรางวัลแต่ละครั้ง
หยางหยางมองเย่หวายแล้วถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกว่าเธอเป็นคนมีแววในการเรียนหนังสือ”
“ตอนที่ได้ยินว่าเธอไม่เรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายมาก”
“ตอนนี้คิดได้แล้ว กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง ก็ยังไม่สายหรอก เธอเป็นเด็กฉลาด”
เขาพูดพลางชี้ไปที่หลินเหมยซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม “เธอคือครูประจำชั้นของเหวินชาง รุ่นที่แล้วมีแค่เขาคนเดียวที่สอบเข้าเรียนต่อได้”
หลินเหมยได้ยินว่าเย่หวายเป็นน้องชายของเย่เหวินชาง จึงเพิ่งจะมองเขาด้วยสายตาจริงจัง
พูดตามตรง เย่เหวินชางไม่ได้ฉลาดอะไรนัก
เขาต้องเรียนเพิ่มอีกหนึ่งปีถึงจะสอบผ่านได้
หยางหยางพูดพลางบอกค่าใช้จ่ายกับพวกเขา
เขาจำเป็นต้องไปแจ้งกับผู้อำนวยการโรงเรียนด้วย
หลี่ชุ่ยชุ่ยจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยความยินดีอย่างแน่นอน พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างล้นหลาม “คุณครูหยาง ขอบคุณมากค่ะ”
“ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ต่อไปนี้ลูกของเราจะตั้งใจเรียนกับคุณครูให้ดีที่สุด”
“และจะพยายามสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาที่รัฐบาลสนับสนุนให้ได้”
หลินเหมยหัวเราะเยาะ โรงเรียนอาชีวศึกษา! ต้องเป็นคนเก่งถึงจะสอบติดได้
แค่มีคนสอบติดสักคน ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของทั้งโรงเรียนแล้ว
ต้องติดประกาศแผ่นแดงด้วยซ้ำ
เธอเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “รอสอบติดก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
เย่หวายไม่สนใจ
เขาถือใบเสร็จด้วยความดีใจจนยิ้มแก้มปริ ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่
เขาคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกแล้ว
“แม่ครับ ผมเป็นนักเรียนมัธยมต้นจริง ๆ แล้วนะ”
“ใช่แล้วลูก แต่ต่อไปนี้ต้องออกแต่เช้ากลับค่ำทุกวัน จะเหนื่อยหน่อยนะ”
เย่หวายไม่กลัวความเหนื่อยยาก
การได้เรียนหนังสือ เขารู้สึกมีความสุขมาก
และรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่หายากและมีค่า
เขาจะทะนุถนอมมันไว้
เขาจะพยายามสอบเข้าโรงเรียนอาชีวะให้ได้ เพื่อในอนาคตจะได้พาน้องสาวไปรักษาตัวในเมือง…
ส่วนเย่เสี่ยวจิ่นอีกด้านหนึ่ง เดินโซเซไปถึงที่วางหนังสือเรียนแล้ว
เธอนั่งยอง ๆ ข้างกล่องกระดาษ มองดูหนังสือแล้วหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา
“ความยากของเนื้อหานี้… ดูเหมือนจะต่ำกว่าตอนที่พวกเราเรียนหนังสือในอนาคตมาก”
เธอเปิดดูอย่างผ่าน ๆ โจทย์คณิตศาสตร์เห็นปุ๊บก็ทำได้ทันที
แต่ในยุคนี้ยังไม่มีการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องผ่านไปอีก 20 ปีถึงจะแพร่หลาย
“เด็กน้อยมาจากไหนกัน?” เงาของใครบางคนทอดยาวบนพื้นเพราะแสงอาทิตย์
เย่เสี่ยวจิ่นเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชายหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์มาก
ดูเหมือนจะอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น
ใบหน้าเยาว์วัยมีความเขินอายเฉพาะตัวของวัยรุ่น
สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงผ้าฝ้ายลินิน
คนทั้งคนดูสะอาดสะอ้านและมีกลิ่นอายของความสุภาพเรียบร้อย
“คุณเป็นใครเหรอคะ?” เย่เสี่ยวจิ่นเอียงหัวด้วยความสงสัย ชี้ไปที่เขา “คุณเป็นนักเรียนมัธยมต้นปีที่สองใช่ไหม?”
“การเรียนที่นี่สนุกไหม?”
“อัตราการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของโรงเรียนคุณเป็นยังไงบ้าง?”
ลู่หลิ่วย่อตัวลงตรงหน้าเธอ งอนิ้วมือขาวเรียวยาวของเขา แล้วเคาะเบา ๆ ที่หน้าผากของเธอ
“ผิดแล้ว ฉันเป็นครูใหม่ เพิ่งจบจากวิทยาลัยครูมา”