ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 49 น้ำมันอะไรเหม็นขนาดนี้ (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 49 น้ำมันอะไรเหม็นขนาดนี้ (รีไรต์)
บทที่ 49 น้ำมันอะไรเหม็นขนาดนี้? (รีไรต์)
บทที่ 49 น้ำมันอะไรเหม็นขนาดนี้? (รีไรต์)
เย่เสี่ยวจิ่นตกใจ นั่นไม่ใช่พ่อค้าคนกลางจากในเมืองคราวที่แล้วหรอกเหรอ?
หลี่เย่ไม่ได้สังเกตเห็นแม่ลูกทั้งสองคน
เป็นเพราะมีคนอยู่มากมาย
หลังจากที่จ้าวหลินหลินสั่งน้ำมันแล้ว ทุกอย่างก็ถูกขนลงที่หน้าบ้านและในบ้านของหล่อน
หล่อนกลัวว่าหากหลี่เย่จะอยู่ที่นี่แล้วทำให้ตนถูกเปิดเผยความลับ จึงรีบพูดว่า “พี่ชาย ในเมื่อส่งของทั้งหมดแล้ว พี่ก็รีบไปเถอะ”
“ได้เลย” หลี่เย่ก็ไม่ได้อยู่นาน “น้องสาว งั้นพี่ไปก่อนนะ ยังต้องไปคืนรถม้าให้เขาด้วย”
จ้าวหลินหลินยิ้มแก้มแดง “พี่ชาย เดินทางดี ๆ นะ ระวังตัวด้วย”
ท่าทางของคนทั้งสองคนนี้ช่างเหมือนพี่น้องกันจริง ๆ
จ้าวหลินหลินมองรถม้าที่แล่นจากไป ก่อนจะคุยโวโอ้อวดว่า “ทุกคนดูสิ ฉันบอกแล้วว่าพี่ชายฉันต้องเอามาให้ ดูสิ เร็วทันใจแค่ไหน”
“เชื่อฉันสิ แล้วจะไม่มีผิดหวัง”
ทุกคนต่างก็ผสมโรงกันใหญ่
“นั่นสิ เธอนี่แน่จริง”
“ใช่แล้ว ในเมื่อลู่เฟิงสามีของเธอเก่งขนาดเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน เธอก็เลยเก่งเหมือนกัน”
“คนเก่งก็ต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัวแบบนี้แหละ”
จ้าวหลินหลินได้ยินคำยกยอป้อยอเหล่านั้นก็รู้สึกปลื้มใจเป็นล้นพ้น
เซี่ยวเยว่เห็นว่าน้ำมันมาส่งแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจ
จ้าวหลินหลินหยิบตาชั่งออกมา “เอาละ ฉันจะชั่งน้ำมันให้พวกคุณเอง”
“ทุกคนดูให้ดี ๆ เลยนะ ฉันจ้าวหลินหลินเป็นคนตรงแบบนี้แหละ ไม่เอาเปรียบใครแน่นอน”
“พวกคุณกลับบ้านไปก็ชั่งน้ำหนักดูก่อนได้ มั่นใจได้เลย”
เสียงชื่นชมดังขึ้นอีกครั้ง
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดว่า “จิ่นเป่า แดดเริ่มแรงแล้ว เราไปฟาร์มไก่กันเถอะ”
“รอแปบหนึ่งแม่ เรารอดูอีกหน่อย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองไปที่ตาชั่งแล้วก็รู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรน่าดู กลัวคนอื่นจะหาว่าหล่อนโลภมาก
ฝ่ายจ้าวหลินหลินก็เปิดถังเหล็กใบใหญ่ใบแรกออก
ทันใดนั้น รอยยิ้มของหล่อนก็จางหายไป
หลินต๋าที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “กลิ่นอะไรเนี่ย ฉุนจัง”
ผู้คนที่อยู่ด้านหลังกรูกันเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น? น้ำมันมีปัญหาเหรอ?”
“โอ๊ย กลิ่นอะไรเนี่ย! ได้กลิ่นแล้วคลื่นไส้! น้ำมันแบบนี้กินได้แน่เหรอ?”
“รีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้! พวกเราเสียเงินไปตั้งเท่าไหร่!”
“จ้าวหลินหลิน เธอนี่มันใจดำจริง ๆ กล้านำน้ำมันแบบนี้มาให้พวกเรา!”
คนที่อยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่พอได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างหน้า ก็เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา
“น้ำมันมีปัญหาเหรอ? พวกเราโดนหลอกแล้วเหรอ?”
“จ้าวหลินหลินเก็บเงินคนไปตั้งมากมายขนาดนี้ ต้องให้คำชี้แจงพวกเรานะ”
“ข้างหน้านั่นดูเหมือนมีเรื่องอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงจะต้องมีการลงไม้ลงมือกันด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็หยุดเดิน “ทำไมทุกคนถึงได้โมโหกันนัก”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูพร้อมกับพึมพำ “ต้องเป็นเพราะน้ำมันแน่ ๆ เลย”
…
จ้าวหลินหลินเริ่มใจคอไม่ดี นี่มันต่างจากตัวอย่างที่หลี่เย่ให้หล่อนมาลิบลับ
หล่อนรีบพูดด้วยสีหน้าซีดเผือด “ทุกคนใจเย็น ๆ นี่มันเป็นกลิ่นของกระป๋องเหล็ก”
“ถ้าไม่เชื่อ ฉันจะเทน้ำมันออกมาให้ดู”
จากนั้นหล่อนก็เทน้ำมันออกมา
น้ำมันมีสีดำคล้ำ ส่งกลิ่นแปลกปลอมออกมาเล็กน้อย และยังมีสิ่งเจือปนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
โชคยังดีที่ทุกปีน้ำมันที่หมู่บ้านแจกจะมีตะกอนปะปนอยู่บ้าง ไม่งั้นหล่อนคงต้องเถียงจนปากเปียกปากแฉะแน่
น้ำมันที่เทออกมาแล้วมีรสชาติจืดชืดกว่ามาก
ภายใต้สายตาโกรธเกรี้ยวของทุกคน จ้าวหลินหลินก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “น้ำมันที่ฉันกินเองก็เป็นแบบนี้แหละ แค่หน้าตามันไม่ค่อยน่าดู เลยขายถูกหน่อย”
“ทุกคนอย่าเข้าใจฉันผิด ฉันกินให้ดูก็ได้”
หล่อนรีบดื่มเข้าไปอึกใหญ่ เกือบจะอาเจียนออกมา
รสชาติของน้ำมันนี้เหมือนน้ำมันทั่วไป แต่มีกลิ่นเหม็นสาบของน้ำเน่าปนอยู่
คนที่อยู่ข้างหน้าเห็นจ้าวหลินหลินกินเข้าไปเองแล้ว ก็เริ่มใจเย็นลง
จ้าวหลินหลินรีบแก้ตัวอีกสองสามประโยค แล้วก็ทำท่าทางน่าสงสาร
เรื่องราววุ่นวายก็ผ่านพ้นไป
ชาวบ้านทุกคนต่างหวาดผวาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น
กลัวว่าเงินที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตจะสูญเปล่าไปกับเรื่องนี้
เมื่อถึงคราวของหลิวต้าเม่ย วัยชราก็ทำให้นางดมกลิ่นไม่ค่อยออก
นางถือน้ำมันพลางเอ่ยด้วยความพึงพอใจ “โอ้ย ไหนบอกว่าไม่ได้ ๆ กันละ ฉันว่ามันก็ใช้ได้นี่”
“น้ำมันจากเมล็ดโหยวไช่ฮวาของหมู่บ้านเราเมื่อปีก่อน ๆ ก็สีแบบนี้แหละ”
“เอามาผัดกับข้าวแล้วก็เหมือนกันนั่นแหละ”
หลิวต้าเม่ยพูดอีกสองสามประโยคก็ถือน้ำมันกลับบ้านไปทำข้าวพองให้หลานชายด้วยความยินดี
เซี่ยวเยว่ยืนช่วยชั่งน้ำหนักอยู่ข้าง ๆ สีหน้าของหล่อนดูไม่ดีเอาเสียเลย
กลิ่นคล้ายน้ำครำลอยมาเตะจมูกเบา ๆ
หล่อนบ่นต่อว่าจ้าวหลินหลินเสียงเบา “ทำไมไม่ใช้ภาชนะที่ดีกว่านี้มาใส่น้ำมันล่ะ ทำให้มันเป็นแบบนี้ไปได้”
“ถังเหล็กนี่มันมีกลิ่นแรงมาก น่าคลื่นไส้จะตาย”
จ้าวหลินหลินเองก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว “ฉันก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกัน ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“ฉันยังต้องกินน้ำมันเข้าไปตรง ๆ เลยนะ เลิกพูดกันเถอะ ยิ่งพูดฉันยิ่งอยากอ้วก!”
จ้าวหลินหลินสีหน้าเย็นชา
มิตรภาพฉันท์พี่น้องก็จางหายไปไม่น้อย เพราะต่างคนต่างบ่นกล่าวโทษกันเอง
หลินไป๋เหอชั่งน้ำมันของตัวเองเสร็จแล้ว ก็ถือออกมา
หลี่ชุ่ยชุ่ยเหลือบมองน้ำมันในถังเหล็ก เห็นว่ามันทั้งดำทั้งขุ่น
ไม่ต้องพูดถึงสีสัน แม้แต่กลิ่นก็แปลกประหลาด
แต่เนื้อสัมผัสเป็นน้ำมันอย่างไม่ต้องสงสัย
“น้ำมันนี่… ดูเหมือน…” หลี่ชุ่ยชุ่ยอ้ำอึ้ง
หลินไป๋เหอทำหน้าบูดบึ้ง พร้อมจะระเบิดอารมณ์ออกมา “นี่มันน้ำมันอะไรกันเนี่ย? แย่ชะมัด”
“ขายตั้งห้าเหมาต่อชั่ง ซื้อน้ำมันเจ็ดเหมาต่อชั่งไม่ดีกว่าเหรอ” หล่อนบ่นอุบ
“ยังไงเธอก็ฉลาด ซื้อหรือไม่ซื้อก็ไม่ถึงตายหรอก” หลี่ชุ่ยชุ่ยปลอบ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย โมโหแทบตายแล้ว!” หลินไป๋เหอโวยวาย
เสียเงินไปตั้งมาก เสียเวลาทำงานไปครึ่งวัน กลับได้น้ำมันแบบนี้
ใครที่ตาดีก็ดูออกว่าน้ำมันนี่มันไม่ใช่ของดี
แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้ด่าต่อหน้า แต่ลับหลังพวกเขาก็ด่าถึงบรรพบุรุษของจ้าวหลินหลินจนควันโขมง
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ไม่ได้เสียเวลามากนัก พอดูเสร็จก็ไปฟาร์มไก่แล้ว
ส่วนทางด้านหลิวต้าเม่ยกลับบ้านอย่างมีความสุขพร้อมกับน้ำมันที่ถือมา
ทันทีที่กลับถึงบ้านก็เอาข้าวพองที่ตากแห้งแล้วออกมาจากยุ้งฉาง แล้วใช้น้ำมันที่เพิ่งได้มาทอดข้าวพอง
แม้ว่าสภาพน้ำมันจะไม่ค่อยดีนัก แต่ข้าวพองที่ทอดออกมาก็ฟูกรอบดี
หอมน่าดึงดูดใจมาก
เย่ฉู่เฉียงถูกกลิ่นหอมล่อมา “นี่คุณทำข้าวพองเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ใช่แล้ว ทำไว้ให้เหวินชางเอาไปกินในเมือง” หลิวต้าเม่ยวางข้าวพองที่สะเด็ดน้ำมันแล้วลงในชาม
“วันนี้กุ้ยฮวาบอกฉันว่ากินน้ำมันดี ๆ แบบนี้แล้วดีต่อสมอง”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน เหวินชางเรียนหนังสือเหนื่อยมาก ต้องกินของดี ๆ บำรุงสมองหน่อย”
เย่ฉู่เฉียงพยักหน้าหงึก ๆ “จริงด้วย ขนมข้าวพองแบบนี้ กินเยอะ ๆ จะได้เรียนเก่ง”
ปกติสามีภรรยาคู่นี้ขี้เหนียวไปเสียทุกเรื่อง แต่กับหลานชายนั้นใจกว้างสุด ๆ
เย่ฉู่เฉียงกินขนมข้าวพองไปทั้งชิ้น
ส่วนหลิวต้าเม่ยเองก็กินไปชิ้นหนึ่ง อร่อยจริง ๆ
พอใกล้เที่ยง หลิวต้าเม่ยก็ถือขนมข้าวพอง มุ่งหน้าไปบ้านเย่จื้อเฉียง
ระหว่างทางเจอเย่จื้อผิงลูกชายคนเล็กเข้า นางก็ตกใจรีบจ้ำอ้าว
กลัวว่าขนมข้าวพองที่อุตส่าห์ทำเสร็จจะถูกครอบครัวลูกชายคนเล็กเอาไปเสียก่อน
นี่มันของที่ต้องเอาไปบำรุงสมองหลานชายสุดที่รักของนางนี่นา!
เย่จื้อผิงยืนถือไม้เท้าอยู่ข้างทาง
เขามองท่าทางรีบร้อนของแม่ แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ “แม่จะรีบไปไหนครับ”
“เห็นผมแล้วทำไมถึงวิ่งหนีเร็วกว่าเดิมอีกล่ะ”