ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 45 งานเลี้ยงฉลองสอบติดของเย่เหวินชาง (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 45 งานเลี้ยงฉลองสอบติดของเย่เหวินชาง (รีไรต์)
บทที่ 45 งานเลี้ยงฉลองสอบติดของเย่เหวินชาง (รีไรต์)
บทที่ 45 งานเลี้ยงฉลองสอบติดของเย่เหวินชาง (รีไรต์)
ดูเหมือนเย่หวายจะชินชากับเรื่องแบบนี้ไปเสียแล้ว
เย่จื้อผิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “งานเลี้ยงฉลองสอบติดของเหวินชางแท้ๆ ทำไมต้องให้ชุ่ยชุ่ยเป็นคนทำอาหารด้วย?”
“พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ ทำไม่ได้รึไง?”
หลิวต้าเม่ยไม่คิดเลยว่าเย่จื้อผิงลูกชายที่เคยกตัญญูต่อนางที่สุดจะกล้าขัดใจนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในใจรู้สึกทั้งน้อยใจและเคียดแค้นหลี่ชุ่ยชุ่ยกับลูกสาว
ถ้าไม่ใช่เพราะสองแม่ลูกคู่นั้นคอยยุแยงอยู่เบื้องหลัง ลูกชายของนางคงไม่กล้าทำตัวแบบนี้แน่!
หลิวต้าเม่ยพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ “ก็ไม่ใช่ให้เธอทำคนเดียวซะหน่อย แค่ให้ไปช่วย ๆ เท่านั้น พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน จะแบ่งแยกกันไปทำไม?”
“อีกอย่าง ญาติพี่น้องก็มากันเยอะแยะ กุ้ยฮวาเองก็ต้องต้อนรับแขก”
“ชุ่ยชุ่ยก็แค่ไปช่วยหยิบจับนิดหน่อยเอง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยขมวดคิ้ว “ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปแต่เช้า”
หลิวต้าเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ ในที่สุดก็รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียที
หลังจากสั่งงานเสร็จ นางก็เดินจากไป
หลี่ชุ่ยชุ่ยหยิบผักกูดขึ้นมา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พอดีเลย คืนพรุ่งนี้ทำผัดผักกูดกับเนื้อตากแห้งกินกัน”
ผักกูดไม่ใช่ของหายาก แต่ตอนนี้ยังมีน้อย
รอให้อากาศอุ่นขึ้นกว่านี้หน่อย ก็คงจะเต็มภูเขาแล้ว
เย่จื้อผิงถอนหายใจ “ลำบากคุณแล้วชุ่ยชุ่ย”
“แค่ไปช่วยงาน พวกเราก็เป็นญาติกัน อีกหน่อยถ้าลูกชายคนโตแต่งงาน คงต้องขอให้พวกเขาช่วยเหมือนกัน”
เย่จื้อผิงพยักหน้า เหตุผลก็เป็นอย่างนั้น
ในหมู่บ้านต่างก็เป็นแบบนี้ บ้านไหนมีงานอะไร ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็มาช่วยกันทั้งนั้น
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยจ้องเขาเขม็ง “คุณจะไปทำไม วันนี้คุณก็ใช้ขาทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว”
“พรุ่งนี้นอนตื่นสายหน่อย พักผ่อนให้เต็มที่เเล้วกัน”
“ทำงานหนักทุกวันแบบนี้ คุณยังอยากหายดีอีกหรือเปล่า”
เย่จื้อผิงช่วยเด็ดปลายผักกูด ทุกคนในครอบครัวก็นั่งคุยกันสักพัก
เดิมทีหลี่ชุ่ยชุ่ยตั้งใจจะเอาน้ำมันไปให้บ้านหยางเจวียน แต่ตอนนี้ต้องทำกับข้าว จึงทำอย่างนั้นไม่ได้
หล่อนไปช่วยงานบ้านที่บ้านพี่ชายตั้งแต่เช้า
ตอนนี้กับข้าวเตรียมพร้อมเรียบร้อยเเล้ว
หลี่กุ้ยฮวานั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์บนม้านั่ง นั่งกินเมล็ดแตงโมและถั่วลิสงเป็นเพื่อนแขก
พอเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยมาถึง หล่อนก็ปรายตามองด้วยหางตาแวบหนึ่ง “ชุ่ยชุ่ย เธอมาช้าเกินไปแล้ว ทุกคนหิวกันหมดแล้ว”
“ไปทำกับข้าวได้แล้ว ผักเตรียมไว้ให้หมดแล้ว แค่ล้างแล้วผัดก็เสร็จ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นท่าทางแบบนั้นจึงพูดว่า “แม่ไม่ได้บอกเหรอว่าฉันแค่มาช่วยงาน”
หลี่กุ้ยฮวาถ่มกากเมล็ดแตงโมออกมา “ก็ไม่มีทางนี่นา …ฉันต้องอยู่คุยกับแขก”
“ไม่ใช่ลูกชายเธอที่สอบติดมหาวิทยาลัย แล้วเธอจะมาอยู่คุยกับแขกแทนรึไง”
“เธออย่ามัวโอ้เอ้เลย บ้านเธอก็ไม่มีใครสอบติด รีบไปทำกับข้าวเถอะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง
แต่แขกเหรื่อมากันเต็มไปหมด หล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไร
จึงเดินเข้าครัวไป
ผักถูกเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ต้องล้างและหั่น ดูท่าทางแล้วคงไม่มีใครคิดจะลงมือช่วย
ด้านนอกครึกครื้นกันใหญ่
หลี่ชุ่ยชุ่ยนั่งยองล้างผักอยู่ในครัว มือเท้าเย็นชืด ได้ยินเสียงคนนอกบ้านสรรเสริญลูกชายของหลี่กุ้ยฮวาดังลอยมาเข้าหู
“กุ้ยฮวา เธอนี่สอนลูกได้ดีจริง ๆ มีลูกชายคนเดียวแท้ ๆ แต่กลับเก่งกาจได้ขนาดนี้”
“นั่นสิ ว่ากันว่าลูกคนเดียวมักจะสู้ลูกหลายคนไม่ได้ แต่ดูสิ ลูกชายเธอคนเดียวก็เหนือกว่าลูกคนอื่นตั้งหลายขุม”
“วันข้างหน้าเหวินชางรุ่งเรืองเมื่อไหร่ อย่าลืมญาติมิตรยากจนอย่างพวกเรานะ”
หลี่กุ้ยฮวายิ้มรับคำสอพลออย่างยินดี “นั่นแน่อยู่แล้ว ถ้าเหวินชางของพวกเรารุ่งเรืองขึ้นมาละก็ ยังไงก็ต้องไม่ลืมพวกเธอทุกคนอยู่แล้ว”
“ถึงเหวินชางของพวกเราจะเรียนหนังสือเยอะ แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กเรียนอย่างเดียวนะ”
“ครูเขายังชมอยู่เลยว่า เหวินชางเป็นเด็กที่ทั้งเรียนเก่ง ทั้งกีฬาเด่น”
จู่ ๆ หลี่ชุ่ยชุ่ยก็แกล้งถามขึ้น “ไม่ใช่ว่าบ้านตระกูลเย่มีลูกชายหลายคนหรอกเหรอ ทำไมถึงไม่มีใครได้เรียนหนังสืออีกล่ะ”
หลี่กุ้ยฮวาเม้มริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “เรื่องเรียนหนังสือมันต้องดูที่พรสวรรค์ด้วยนะ หลี่ชุ่ยชุ่ย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเรียนแล้วเรียนได้ซะเมื่อไหร่”
“เมื่อก่อนลูกชายคนเล็กของบ้านแกก็เรียนเก่งไม่ใช่เล่น แต่ตอนนี้เป็นไงล่ะ ไม่ใช่เลิกเรียนไปแล้วหรอกเหรอ”
“เรื่องเรียนของเด็กประถมมันง่าย สอบก็ง่าย พอขึ้นมัธยมต้นก็จะยากขึ้นเยอะ” หลี่กุ้ยฮวาพูด
“นั่นสิ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะได้สบาย”
“งั้นต่อไปนี้ครอบครัวของเธอก็คงต้องฝากความหวังไว้ที่เหวินชางแล้วละ”
“มิน่าล่ะ ป้าใหญ่ถึงได้รักเหวินชางที่สุด” ทุกคนพากันหัวเราะลั่น
หลี่ชุ่ยชุ่ยที่อยู่ข้างในครัวได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน
เพราะในครัวไม่มีประตู เชื่อมต่อกับห้องโถงโดยตรง อีกทั้งหลี่กุ้ยฮวายังพูดเสียงดังฟังชัด
ต่อให้หล่อนไม่อยากได้ยินก็คงยาก
หลี่ชุ่ยชุ่ยล้างผักอย่างเชื่องช้า ในใจรู้สึกขมขื่นไม่น้อย
ลูกชายของหล่อนก็เคยเป็นเด็กดี มีแววเรียนเก่ง เพียงแต่พวกเขาไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนต่อ
“ป้าใหญ่ แม่ของผมอยู่ที่ไหนเหรอครับ” เสียงของเย่หวายดังขึ้น
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า “เสี่ยวหวาย แม่อยู่ในครัวจ้ะ”
เย่หวายมีแววไม่พอใจเล็กน้อยในดวงตา เขาเดินเข้าไปในครัว “ทำไมถึงปล่อยให้แม่ทำงานคนเดียวแบบนี้ล่ะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เสี่ยวหวาย ลูกกลับบ้านก่อนเเล้วกัน … หรือไม่ก็ไปเล่นกับเหวินชางก็ได้”
“ที่นี่มีแต่ญาติ ๆ ลูกยังเด็กอยู่ อย่าอยู่เลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจกลัวว่าเย่หวายจะได้ยินคำพูดเสียดสีแล้วจะเสียใจ
หลี่กุ้ยฮวาเข้ามาใกล้ “เสี่ยวหวาย มาได้จังหวะดีเลย”
“ฟืนในครัวเราหมดแล้ว ตรงกองฟืนมีฟืนมัดหนึ่ง ช่วยหน่อยสิ”
“พี่ใหญ่เธอออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ป้าคนเดียวก็ยกไม่ไหว พี่ชายเธอก็ไม่เคยทำงาน”
หล่อนยิ้มตาหยี พูดว่า “เธอก็อายุขนาดนี้แล้ว แบกฟืนนิดหน่อยคงไม่มีปัญหาหรอกนะ?”
แม้ว่าในใจเย่หวายจะไม่พอใจ แต่ปากก็โต้แย้งอะไรไม่ได้
ครอบครัวของบ้านสามเป็นพวกขี้ขลาดกันตั้งแต่พ่อแม่ยันลูก
ยอมให้คนอื่นรังแกได้
ไม่งั้นชีวิตก็คงไม่แย่ลงเรื่อย ๆ แบบนี้
เย่หวายเดินไปที่ข้างโรงเก็บฟืนอย่างหงุดหงิด
ฟืนกองนี้ตากแห้งแล้ว แต่มันเป็นกองใหญ่มาก เขาอายุแค่สิบสามปี จึงแบกขึ้นมาค่อนข้างลำบาก
เขาลองหลายครั้งกว่าจะแบกขึ้นมาได้
เขาแบกฟืนเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นเย่เหวินชางเดินมาทางนี้
เขารีบก้มหน้าลง ในใจรู้สึกเหมือนตนเองต่ำต้อยเล็กน้อย
เย่เหวินชางเพียงแค่มองเขาแวบเดียว แล้วก็เดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไรเลย
ราวกับว่าในสายตาของเขาไม่มีคน ๆ นี้อยู่
ท่าทีเช่นนี้ ทำให้เย่หวายยิ่งรู้สึกด้อยค่าตัวเองลงไปอีก
เขาหยิบฟืนมาช่วยก่อไฟ
เสียงไฟในเตาดังปะทุ เย่หวายรู้สึกเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“เสี่ยวหวาย ลูกไม่ต้องอยู่ที่นี่หรอก ไม่งั้นพวกเขาจะใช้งานลูกอีก”
ใบหน้าของเย่หวายสะท้อนแสงไฟ เขาฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอกแม่ ผมมาช่วยแม่หั่นผักดีกว่า”
“ที่นี่มีแม่คนเดียว จะทำทันได้ยังไง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกละอายใจ “เสี่ยวหวาย แม่ทำคนเดียวได้”
ดวงตาของเย่หวายเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ผมจะช่วยแม่ อย่างน้อยก็จะได้เบาแรงลงหน่อย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองลูกชายที่วุ่นวายไปมา ก็ได้แต่ส่ายหน้า
ทันใดนั้นหล่อนก็ยิ้มออกมา “เป็นแบบน้องสาวลูกดีกว่าเยอะ ไม่ยอมเสียเปรียบใครง่าย ๆ”
“แบบนั้นแหละครับถึงจะดี” เย่หวายยิ้มตาม
เสียงหัวเราะดังเล็ดลอดมาจากข้างนอก
“คุณป้า มาถึงแล้วเหรอ รอตั้งนาน”
“ใช่ ๆ ไม่ได้เจอกันนานเลย ยังดูแข็งแรงดีนะครับ”
“คุณนี่โชคดีจังเลยนะ หลานชายก็เก่งกาจ”
หลิวต้าเม่ยหน้าตาเบิกบานอย่างยิ่ง “โธ่ ๆ ดูสิ ชมกันใหญ่เลย”
“บ้านเจ้าใหญ่เรามีลูกชายคนเดียว บ้านเจ้ารองมีสองคน บ้านเจ้าสามมีสามคน”
“มีแต่เหวินชางที่ทำให้ชื่นใจ ส่วนคนอื่น ๆ น่ะ ปวดหัวจะแย่”
ลูู่ชุ่ยฮวาก้าวออกมาพูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันได้ยินมาว่าลูกชายคนเล็กของบ้านเจ้ารองของคุณจะไปเรียนตัดผมในเมือง ถ้าเรียนจบก็จะมีอาชีพติดตัวไปเลยนะ”
หลิวต้าเม่ยทำเสียงจุ๊จุ๊สองครั้ง “ก็ต้องเสียเงินเรียนน่ะสิ ฉันจ่ายไปตั้งสิบกว่าหยวนแล้ว”
“ไม่รู้ว่าเด็กจะทำได้หรือเปล่า อย่าให้เสียเงินเปล่าเลย เรียนแล้วไม่ได้ความรู้อะไรเลย”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงโมโหตายแน่”
ถึงแม้หลิวต้าเม่ยจะพูดแบบนั้น แต่จากคำพูดก็ยังเห็นได้ว่านางให้ความสำคัญกับครอบครัวของลูกชายคนรองอยู่
หลี่กุ้ยฮวาลุกขึ้นยืน ทำท่าทางสง่าผ่าเผยอย่างช้า ๆ “ตอนนี้เหวินชางของเราก็ท่องบทเรียนเสร็จแล้ว ฉันจะไปเรียกเขาออกมาทักทายญาติ ๆ หน่อย”