ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 44 พี่ชายสามกลับมา บ้านเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 44 พี่ชายสามกลับมา บ้านเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ (รีไรต์)
บทที่ 44 พี่ชายสามกลับมา บ้านเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ (รีไรต์)
บทที่ 44 พี่ชายสามกลับมา บ้านเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ (รีไรต์)
เกวียนวัวกลับมาถึงหมู่บ้านเอาตอนฟ้ามืดค่ำแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยอุ้มเย่เสี่ยวจิ่นเดินกลับบ้าน
ตามจริงแล้ว เวลาแบบนี้ที่บ้านไม่น่าจะมีคนอยู่ แต่ไกล ๆ กลับเห็นแสงไฟส่องสว่าง
หลี่ชุ่ยชุ่ยใจคอไม่ดี “ทำไมบ้านเรามีไฟได้ล่ะ”
เย่จื้อผิงก็ไม่รู้เหมือนกัน
จึงรีบกลับไปดู
เห็นเด็กหนุ่มอายุ 13 ปี นั่งอยู่หน้าบ้าน พอเห็นพวกเขากลับมา
เขารีบลุกขึ้น “พ่อกับแม่ไปไหนมาครับ พาน้องไปหาหมอหรือยัง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นว่าเป็นลูกชายคนที่สาม ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ที่ดูมอมแมม
ดูก็รู้ว่าเพิ่งกลับจากทำงานที่โรงก่อสร้าง
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ใช่หรอก ไปอำเภอมา กลับมาก็ไม่ยอมบอกแม่สักคำ”
“พี่ชายทั้งสองคนของลูกล่ะ ทำไมไม่กลับมาพร้อมกัน”
เย่หวายยิ้ม “หมู่บ้านข้าง ๆ เรียกตัวพวกเขาไปทำงานสองวัน”
“พี่ใหญ่กับพี่รองกลัวว่าอยู่บ้านแล้วจะไม่มีอะไรทำ เลยไปหาคะแนนงานก่อน”
“พ่อกับแม่ ผมต้มน้ำร้อนไว้ให้แล้ว รีบไปอาบน้ำเถอะ”
เขารับตัวเย่เสี่ยวจิ่นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน “จิ่นเป่า ในที่สุดเธอก็อ้วนขึ้นมาหน่อยแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาสะสวย ตาชั้นเดียว ใบหน้าดูหล่อเหลา
ถึงแม้จะเป็นน้องชายคนเล็ก แต่ก็ไม่ได้ซุกซนเหมือนเด็กทั่วไป
เธอช้อนตามองเย่หวาย พูดพึมพำว่า “พี่สาม”
“ครับ!” เย่หวายขานรับอย่างยินดี ควักบางสิ่งจากกระเป๋าเสื้อออกมา “อ่ะ อ้าปากสิ”
เย่เสี่ยวจิ่นอ้าปาก น้ำตาลกรวดครึ่งก้อนถูกยัดเข้ามาในปาก
รสหวานละมุนทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
น้ำตาลกรวดก้อนนี้ดูเหมือนจะถูกแยกออกมาจากก้อนใหญ่ คาดว่าตัวเขาเองก็คงจะหวงแหนไม่น้อย
“ขอบคุณค่ะ พี่สาม”
“จิ่นเป่า พูดขอบคุณพี่เป็นด้วยเหรอ?” เย่หวายยิ้มจนตาหยี “ช่วงนี้ยังมีไข้ ไอ บ้างไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหน้า “ไม่มีแล้วค่ะ”
“จิ่นเป่า ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแบบนี้ตลอดไปนะ” เย่หวายพูดพลางใช้คางถูไปบนกลุ่มผมนุ่มฟูของเธอ
เย่เสี่ยวจิ่นมีความประทับใจต่อเด็กหนุ่มคนนี้มาก
ท่าทางของเขา ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายลง
เธอหยิบลูกอมกระต่ายขาวออกมาจากกระเป๋า “พี่คะ กินนี่สิ”
เย่หวายรู้ดีว่าที่บ้านไม่ค่อยซื้อขนมหวาน แทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้ซื้อตลอดทั้งปี
เขาจึงยิ้มแล้วบอกว่า “พี่ไม่ชอบกินขนมหวาน”
“พี่กินเถอะ หนูยังมีอีก”
เย่หวายส่ายหน้า “จิ่นเป่ากินเถอะ”
ภายในห้อง หลี่ชุ่ยชุ่ยกับเย่จื้อผิงกำลังก่อไฟทำอาหาร
เย่หวายวางเย่เสี่ยวจิ่นลงบนผ้าห่ม
เขาเดินออกไปคุยกับพ่อแม่ “พ่อแม่ครับ ผม…วันนี้ผมเจอ…”
เขาพูดตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี
ทันทีที่เขากลับมาบ้าน ก็พบว่าไม่มีใครอยู่เลย
เขาพยายามเพ่งมองเท่าไหร่ก็ดูไม่ออกว่ามันคืออะไร
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกล่องสีดำทะมึนวางอยู่ข้าง ๆ เมื่อกดปุ่มลงไป มันก็เปล่งแสงสว่างออกมา ทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก
ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตุ่มข้าวสารและถังใส่น้ำมันในครัวก็เต็มปรี่ แม้กระทั่งในหีบใส่เสื้อผ้าของเขาก็ยังมีเสื้อกันหนาวและกางเกงผ้าฝ้ายตัวใหม่เอี่ยม
เขาไม่กล้าแตะต้องสิ่งของใด ๆ ในบ้านเลยก่อนที่พ่อแม่จะกลับมา ได้แต่นั่งรอคอยอยู่ที่หน้าประตูด้วยความกระสับกระส่าย
หลี่ชุ่ยชุ่ยอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ชีวิตของพวกเราดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้วละ”
ในใจของหล่อนรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ก่อนหน้านี้เพราะน้องสาวไม่สบาย ทำให้ลูกไม่ได้เรียนหนังสือต่อ”
“ลูกยังเด็กอยู่แท้ ๆ ต้องมาทำงานหาเลี้ยงชีพแบบนี้ ลูกโกรธแม่บ้างไหม”
เย่หวายรีบส่ายหน้า กล่าวอย่างจริงใจ “ผมไม่โกรธแม่หรอกครับ แถม…”
“ทุกคนต่างก็ไม่ได้เรียนหนังสือต่อแล้ว ทั้งหวังเสี่ยวหู่ ซุนไฉ พวกเขาก็เหมือนกัน”
“ผมทำงานที่หมู่บ้าน ยังได้อยู่กับพวกเขาด้วย”
เขายิ้มออกมาจนเห็นลักยิ้มข้างแก้ม “แบบนี้มันสนุกกว่าเรียนหนังสือตั้งเยอะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้ดีว่าในใจเย่หวายยังคงอยากเรียนหนังสืออยู่
หล่อนเห็นเขาเก็บหนังสือเรียนเก่า ๆ ไว้อย่างดีในห้อง
ตอนนี้ฐานะทางบ้านพอจะดีขึ้นมาบ้าง แต่โรคของจิ่นเป่านั้น หากกำเริบขึ้นมาแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินมากมาย
ในใจหลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก “แม่ขอโทษนะ”
“แม่ครับ อย่าพูดแบบนั้นสิ แม่ดีกับผมมากแล้ว” เย่หวายรีบพูด “พวกคุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าของในห้องผมมันคืออะไร”
หลี่ชุ่ยชุ่ยกุลีกุจอทำอาหาร ใบหน้าแฝงรอยยิ้มแห่งความลำบากใจ
เย่จื้อผิงเรียกเย่หวายให้เข้ามาหา ก่อนจะเล่าเรื่องราวภายในบ้านให้ฟัง
เย่หวายได้ฟังถึงกับตาค้าง “บนโลกนี้มีเซียนจริง ๆ เหรอครับ”
“ผมรู้แล้วครับพ่อ วางใจเถอะ ผมจะรักษาความลับนี้ไว้เป็นอย่างดี” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ผมจะปกป้องน้องสาวให้ดีด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยผัดเนื้อตากแห้งกับไข่ไก่
เย่เสี่ยวจิ่นขึ้นมานั่งบนโต๊ะอาหาร เธอกินลูกอมเข้าไปแล้ว จึงไม่ค่อยหิวเท่าไรนัก กินไปเพียงน้อยนิดก็ขอตัวเข้านอน
เย่หวายถือชามข้าวไว้ในมือ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เขายังจำได้ดีว่า เมื่อก่อนที่บ้าน แม้แต่ข้าวสวยร้อน ๆ สักจานยังไม่มีกิน
พอถึงฤดูใบไม้ผลิ ก็ทำได้เพียงขนมโก๋จากต้นชิงเฮา แม้รสชาติจะไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็ช่วยให้อิ่มท้องได้
เมื่อฤดูร้อนมาเยือน พืชผักนานาพันธุ์ต่างก็ชูช่อ ออกผลผลิตให้เก็บกินได้อย่างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาสามารถกินผักได้มากขึ้น และลดข้าวลงบ้าง
ครั้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงต้นฤดู พวกเขาจำต้องพึ่งพาอาหารจากธรรมชาติ อาศัยขึ้นเขาหาของป่ามาประทังชีวิต
กระทั่งล่วงเข้าสู่ช่วงปลายฤดู พอข้าวเริ่มออกรวง ก็จะเริ่มมีข้าวให้กินอย่างอิ่มหนำสำราญไปจนถึงฤดูหนาว
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปี พวกเขาจำเป็นต้องขายข้าวเปลือกออกไปบ้าง เพื่อนำเงินมาซื้อยารักษาโรคให้กับน้องสาว
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองลูกชายไม่กล้าคีบเนื้อ หล่อนก็รู้สึกสะเทือนใจอีกครั้ง “เสี่ยวหวาย รีบกินเนื้อเยอะ ๆ หน่อย”
“ที่บ้านยังมีเนื้อตากแห้งนะ กินได้เต็มที่เลย”
“อยู่ที่คูน้ำ คงไม่มีอะไรอร่อย ๆ กินหรอก กินเยอะ ๆ นะ”
เย่หวายคีบเนื้อมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็กินแต่อาหารจานไข่
สำหรับเขาแล้ว ไข่ก็ถือเป็นของอร่อยที่หาได้ยากเช่นกัน
เย่จื้อผิงตบโต๊ะแล้วพูดว่า “กินเนื้อสิ ตอนนี้ที่บ้านมีกินอิ่มแล้ว”
“เนื้อตากแห้ง…พรุ่งนี้เก็บไว้ให้น้องกินเถอะนะ”
เย่จื้อผิงส่ายหน้า แล้วตักเนื้อตากแห้งแบ่งใส่ถ้วยของเขาเกือบครึ่ง
เย่หวายทำอะไรไม่ถูก “ผม ผมกินไม่หมดหรอกครับเยอะขนาดนี้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยปลอบลูกชาย “ลูกแม่ กินเยอะ ๆ นะ กำลังโตพอดี”
“อย่าเป็นแบบพ่อ ตอนเด็ก ๆ กินไม่อิ่ม ตัวก็เลยเล็กแค่นี้”
“ต้องตัวโต ๆ สูง ๆ ถึงจะหาภรรยาได้”
เย่หวายได้ยินแม่พูดแบบนั้นก็อายม้วน “แม่ครับ ผมยังเด็กอยู่เลย”
เย่หวายกินข้าวไปสองชามใหญ่ ไม่เคยกินอิ่มขนาดนี้มาก่อน
แต่พอกินอิ่มแล้วก็แอบรู้สึกผิด กลัวว่าพ่อกับแม่จะกินไม่อิ่มเพราะตัวเองกินเยอะเกินไป
เขารีบควักสมุดบันทึกคะแนนงานออกจากกระเป๋า “แม่ครับ ช่วงนี้ผมได้คะแนนเยอะนะครับ!”
“ต่อไปนี้เราจะเอาข้าวฟ่างไปแลกของได้มากขึ้นแล้วนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้า “ตกลงจ้ะ”
“แล้วนี่ลูกก็อย่าใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ นี่เลย รีบไปเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ซะ พวกเรามีเสื้อกันหนาวขนสัตว์คนละตัวเชียวนะ”
จริง ๆ แล้ว เย่หวายได้แอบลองใส่ไปแล้วรอบหนึ่ง
แต่เพราะกลัวว่าไม่ใช่ของตัวเอง เขาจึงรีบถอดออก
ของดี ๆ ในบ้านแต่ก่อนล้วนถูกยกให้กับครอบครัวของลุงใหญ่ไปหมด
เขาก็แค่ไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบากใจเท่านั้น
ไม่คิดเลยว่า…เสื้อผ้าพวกนี้จะเป็นของตัวเองจริง ๆ
เขายิ้มอย่างเขินอาย “ผมลองใส่ดูแล้วครับ พอดีเลย ใส่แล้วอุ่นมาก แถมยังดูดีอีกด้วย”
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ หลิวต้าเม่ยก็มาถึงพอดี
คราวนี้ดูเหมือนหล่อนจะมาตัวเปล่าไม่สะดวกใจ แถมยังเกรงว่าเย่เสี่ยวจิ่นจะมาสวนกลับอีก
หล่อนถือผักกูดกำใหญ่ไว้ในมือ “วันนี้ฉันเก็บผักกูดมาได้หน่อย เลยเอามาแบ่งให้พวกแกด้วย”
หล่อนเหลือบมองเย่หวาย “เย่หวาย กลับมาแล้วเหรอ? พอดีเลย พรุ่งนี้มากินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัวนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ปกติแล้วหล่อนไม่เคยเห็นลูกชายของเธออยู่ในสายตามาก่อน
เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “กินข้าวที่บ้านเราเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก!” หลิวต้าเม่ยโบกมือปฏิเสธ “เย่หวายกลับมา ไม่เห็นต้องเลี้ยงฉลองอะไรเป็นพิเศษ”
“อีกสองวัน เย่เหวินชางจะเข้าเมือง พรุ่งนี้ญาติ ๆ จะมาหา” หลิวต้าเม่ยหันมาบอกหลี่ชุ่ยชุ่ย “พรุ่งนี้เช้าเธอไปทำกับข้าวที่บ้านใหญ่”
“ทำให้มันดี ๆ อย่าให้ใครมาหัวเราะเยาะเราได้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยสีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
ก็อย่างที่คิด หล่อนสนใจแต่เย่เหวินชาง