ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 39 การสกัดน้ำมันครั้งที่สองเข้าเมือง (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 39 การสกัดน้ำมันครั้งที่สองเข้าเมือง (รีไรต์)
บทที่ 39 การสกัดน้ำมันครั้งที่สองเข้าเมือง (รีไรต์)
บทที่ 39 การสกัดน้ำมันครั้งที่สองเข้าเมือง (รีไรต์)
ตกเย็น
ครอบครัวของเย่เสี่ยวจิ่นทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว พวกเขานั่งกะเทาะถั่วลิสงอยู่ที่ประตู
เธอก็ได้เล่าเรื่องที่หยางเจวียนถูกกลั่นแกล้งให้พ่อแม่ฟัง
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยขมวดคิ้ว “ฉันรู้ดีว่าหัวหน้าเซี่ยวคนนั้นดูถูกคนอื่นมาโดยตลอด”
“แต่นี่มันเรื่องซื้อขายน้ำมันของชาวบ้าน พวกเขามายุ่งอะไรด้วย”
เย่จื้อผิงขมวดคิ้ว “คงอยากหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองละมั้ง!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยส่ายหน้า “ถูกขนาดนั้น จะมีกำไรอะไร”
เย่เสี่ยวจิ่นแกะถั่วลิสงพลางพูด “หนูคิดว่า คืนนี้เรามาสกัดน้ำมันกันดีกว่า อีกสองวันเราก็เข้าเมืองกันดีไหมคะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยครุ่นคิด “พรุ่งนี้จะมีเกวียนวัวเข้าเมืองนะ”
“ตอนนี้อากาศยังหนาวอยู่ ไปขายฝ้ายก็ได้”
“ไม่งั้นก็คงต้องรอให้ถึงหน้าหนาวครั้งหน้า”
ทุกคนในครอบครัวรีบกะเทาะเปลือกถั่วลิสงกันจ้าละหวั่น
เย่จื้อผิงรับหน้าที่คั่วถั่วลิสง
หลี่ชุ่ยชุ่ยไปล้างไหดินเผาสองใบ คาดว่าถั่วลิสง 100 ชั่ง น่าจะได้น้ำมันสัก 30 ชั่ง
เธอใช้ผ้าป่านเช็ดหยดน้ำที่ไหดินเผา
เย่จื้อผิงคั่วถั่วลิสงจนส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทุกคนในครอบครัวต่างก็ยุ่งกันใหญ่
“ใกล้ค่ำแล้ว ฉันไปเอาเทียนมาจุดก่อน”
เย่เสี่ยวจิ่นรีบพูดว่า “แม่คะ หนูมีไฟฉาย ไม่ต้องจุดเทียนก็ได้”
“เรียกว่าไฟฉายเหรอ”
“นี่ไงคะ…” เย่เสี่ยวจิ่นหยิบไฟฉายออกมาจากช่องเก็บของระบบ
พูดให้ถูกก็คือตะเกียงขุดเหมือง รูปร่างใหญ่กว่าปกติ
เมื่อเปิดออก แสงจ้าก็ส่องสว่างไปทั่วห้องครัว
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกทึ่งมาก หล่อนหยิบมันขึ้นมาและพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
“ของวิเศษนี่ มันเปล่งแสงได้ แถมยังไม่ร้อนมืออีก มันใช้หลักการอะไรเหรอ”
“มันจะเหมือนเทียนไขไหม ที่พอแสงหมดก็ใช้ไม่ได้แล้ว”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คงต้องใช้มันอย่างประหยัด!”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “อันนี้ก็เหมือนกับเครื่องสกัดน้ำมันของเรานั่นแหละค่ะ แค่ตากแดดก็ใช้ได้ตลอด”
“ที่ลูกพูดเมื่อครั้งก่อน… แสง… อะไรนะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยนึกคำว่าพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ออกสักที
หล่อนพยายามนึกอยู่นาน
เย่จื้อผิงเองถ้าไม่ได้กำลังคั่วถั่วลิสงอยู่ ก็อยากจะมาดูเหมือนกัน
รอบนี้หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ต้องให้เย่เสี่ยวจิ่นบอกแล้ว หล่อนวางถังน้ำมันไว้ที่ช่องจ่ายน้ำมัน
เย่จื้อผิงเดินเข้ามาใกล้ มองปุ่มแล้วพูดว่า “จิ่นเป่า กดปุ่มนี้ใช่ไหม พ่อจำไม่ผิดใช่ไหมลูก?”
“ใช่ค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า
สองสามีภรรยาไม่ได้ให้เย่เสี่ยวจิ่นช่วย คราวนี้กลับสามารถจัดการกันเองได้แล้ว
ไม่นาน เครื่องก็เริ่มทำงาน
ถั่วลิสงค่อย ๆ ไหลลงไป น้ำมันก็ค่อย ๆ ไหลออกมา
ถึงแม้จะเป็นการสกัดน้ำมันครั้งที่สองแล้ว หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ยังรู้สึกแปลกใจ
ก็ดูสิ สิ่งที่กลืนเข้าไปคือถั่วลิสงที่ไม่มีค่า แต่สิ่งที่คายออกมาคือน้ำมันที่มีราคา!
“ครั้งที่แล้ว จิ่นเป่าบอกว่า ใช้ทั้งงา ทั้งถั่วเหลืองก็ได้ใช่ไหมลูก”
เย่เสี่ยวจิ่นเสริมว่า “ใช่แล้วค่ะ น้ำมันต่างชนิด รสชาติก็น่าจะต่างกันบ้างละค่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยครุ่นคิด พอถึงตอนที่มีงาแล้ว ก็คงต้องลองดูสักหน่อย
พวกเธอนั่งคุยกันเพลิน ๆ จนเวลาผ่านไปสามชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว
น้ำมันสองถังก็สกัดเสร็จเรียบร้อย
หลี่ชุ่ยชุ่ยปิดฝาถังเล็ก ๆ แล้วนำเข้าไปเก็บไว้ในบ้านอย่างดี
รอพวกเธอกลับมาจากในเมืองแล้ว ค่อยให้หยางเจวียนมารับไป
“น้ำมันดีขนาดนี้ หล่อนได้เห็นต้องชมแน่ ๆ”
เย่จื้อผิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณเองก็อย่าเพิ่งไปทำอะไร แล้วรีบไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมล้างเครื่องเอง”
“ไม่เป็นไรหรอก ให้ฉันทำเองเถอะ ขาคุณแบบนี้จะทำงานหนักได้ยังไง”
“คุณไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าคุณยังต้องไปฟาร์มไก่อีก ส่วนผมไม่ต้องออกไปไหน”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูคู่สามีภรรยาที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกัน รู้สึกอบอุ่นในใจ
ครอบครัวหนึ่งจะต้องอบอุ่นกลมเกลียวกัน จึงจะสามารถดำเนินชีวิตร่วมกันได้ดี
และแล้วก็ถึงวันที่จะเข้าเมือง
หลี่ชุ่ยชุ่ยไปนัดหมายกับคนขับเกวียนวัวไว้ล่วงหน้าแล้ว
ตอนกลางคืนหลังจากทำงานเสร็จ หล่อนก็เอาฝ้ายใส่ถุงเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
ในบ้านก็จัดเก็บอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“จิ่นเป่า แม่วางเสื้อผ้าของลูกไว้ตรงนี้แล้วนะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยพับเสื้อผ้าวางไว้ที่หัวเตียง “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืด คาดว่าฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องออกเดินทางแล้ว”
“พวกเรานั่งรถเกวียนวัวไปเมืองต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงนะ”
“แม่ต้มไข่ไว้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยอุ่นแล้วเอาติดตัวไปกินระหว่างทาง”
หล่อนคิดได้ว่าต้องวางตาชั่งไว้ก่อน เดี๋ยวจะลืมหยิบไป
หลังจากวางตาชั่งเรียบร้อยแล้ว หล่อนจึงตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ แล้วพูดว่า “ไอหยา พวกเราไม่มีเงินเศษนี่นา แล้วจะทอนเงินให้เขาอย่างไรล่ะ?”
“แม่ ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ พรุ่งนี้ไปถึงในเมืองค่อยไปแลกกับเขาก็ได้”
เย่จื้อผิงได้เตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ไว้ในห้องอีกห้องหนึ่งแล้ว
ฝ้ายของพวกเขาคุณภาพดีขนาดนี้ ควรรีบไปแต่เช้า เพราะช่วงเช้าคนจะเยอะ น่าจะขายดี
ฝ้ายตั้ง 100 ชั่งไม่แน่ อาจจะขายหมดภายในช่วงเช้าก็ได้
เขาอดกังวลไม่ได้ว่าจะขายไม่ออก แต่พอคิดไปคิดมา ขายไม่ออกก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิงยังไม่เคยไปขายของในเมือง ทั้งคู่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
พอฟ้าเริ่มสาง เย่เสี่ยวจิ่นก็ถูกแม่ดึงตัวลงจากเตียงให้ลุกขึ้นมาแต่งตัว
เธอตาปรือ เบลอ ๆ งัวเงีย
“จิ่นเป่า แม่ต้องหาบฝ้าย ไปไม่ไหวหรอกถ้าต้องอุ้มหนูไปด้วย”
“รอสักพักแล้วไปขึ้นรถกับพ่อที่ถนนใหญ่”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหาบฝ้ายเยอะขนาดนี้ไปครั้งเดียวไม่ไหว ต้องไปสองสามรอบ
เย่เสี่ยวจิ่นตอบรับอย่างงัวเงีย เธอสวมเสื้อผ้าเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
จริง ๆ แล้วเย่จื้อผิงไม่อยากไปเมือง
แต่หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่รู้ทาง เย่เสี่ยวจิ่นก็ยิ่งไม่รู้ทางเข้าไปใหญ่
เขาจึงต้องจำใจไปด้วย เพราะกลัวแม่ลูกจะถูกหลอก
“จิ่นเป่า ตื่นได้แล้ว” เย่จื้อผิงอุ่นไข่ไก่ใส่ถุงผ้า
เย่เสี่ยวจิ่นลุกขึ้น แล้วออกไปข้างนอกพร้อมกับเย่จื้อผิง
เช้าวันนี้อากาศหนาวจนแทบจะแข็งตาย เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกได้ถึงความชาที่ใบหน้าของเธอ
เธอเดินตามหลังพ่อของเธอไป มองเห็นเพียงแสงสีขาวจาง ๆ บนภูเขาที่อยู่ไกลลิบ แม้แต่แสงสว่างเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี
เธอก้าวขาไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
เย่จื้อผิงหันกลับมามองเย่เสี่ยวจิ่น “พ่อเดินเส้นทางนี้จนชินแล้ว รู้ทางดี จิ่นเป่าต่างหาก ระวังจะสะดุดล้มเอา”
บ้านของพวกเขาค่อนข้างห่างไกล กว่าจะเดินไปถึงถนนใหญ่ก็ใช้เวลาเกือบ 15 นาที
หลี่ชุ่ยชุ่ยแบกของหนักมาสามรอบ จนหล่อนเหนื่อยหอบ
เมื่อเห็นเย่เสี่ยวจิ่นเดินมาถึง หลี่ชุ่ยชุ่ยก็รีบอุ้มเธอขึ้นไปบนเกวียนวัวทันที
“จิ่นเป่า มานี่ มานอนบนถุงนี่แหละ”
พูดจบ หลี่ชุ่ยชุ่ยก็หันไปพยุงเย่จื้อผิงขึ้นเกวียนวัว
ครอบครัวสามคนเบียดกันอยู่บนเกวียนวัว
กระสอบฝ้ายพองตึง พิงแล้วก็นุ่มนิ่มดี
เย่เสี่ยวจิ่นมองท้องฟ้ามืดมิด หาวหนึ่งที แล้วขดตัวพิงกระสอบฝ้าย หลับไปอีกครั้ง
เกวียนวัวเล่มนี้โคลงเคลง เธอตื่นขึ้นมาหลายครั้งแล้ว มองไปก็ยังเห็นแต่ถนนยาวเหยียด
“พวกเราจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงคะ?”
คนขับเกวียนวัยชราที่นั่งอยู่ด้านหน้าหัวเราะพลางตอบว่า “ยังอีกนานเลยละ”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกสับสน คิดว่าการเข้าเมืองช่างลำบากจริง ๆ
“ไม่แปลกเลยว่าตอนที่พี่เหวินชางเข้าเมืองไปเรียนหนังสือได้ พวกย่าถึงได้ภูมิใจนักหนา”
“ที่แท้การเข้าเมืองจากชนบทก็ยากลำบากขนาดนี้นี่เอง”
เย่จื้อผิงยิ้มเล็กน้อย แววตามีความขมขื่นอยู่บ้าง “พี่สามของลูกก็เรียนเก่งนะ สอบได้ที่หนึ่งทุกครั้งเลย”
“น่าเสียดาย จบประถมก็ไม่มีเงินเรียนต่อแล้ว”
“ต่อไป จิ่นเป่าต้องตั้งใจเรียนนะ เป็นคนมีความรู้น่ะดีแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นนับนิ้วมือตัวเอง
“ตอนที่พี่ชายคนโตเรียนจบประถม ก็ตรงกับตอนที่หนูเกิดพอดีเลยนี่นา”
“หรือว่าเป็นเพราะต้องรักษาหนู เลยไม่มีเงินให้พี่เรียนต่อ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยกมือลูบหัวเธอ “คนบ้านนอกแบบเรา จะเอาเงินที่ไหนมาเรียนละ”
“ค่าเทอมก็แพง จะซื้อหนังสือเรียนกับสมุด ดินสอก็ต้องใช้เงินเยอะแยะ”
“มีแต่คนในเมือง หรือไม่ก็แบบเหวินชางพี่ชายลูก ที่บ้านทุ่มให้เรียน ถึงจะเรียนได้”