ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 27 เด็กขี้โรคป่วย (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 27 เด็กขี้โรคป่วย (รีไรต์)
บทที่ 27 เด็กขี้โรคป่วย (รีไรต์)
บทที่ 27 เด็กขี้โรคป่วย (รีไรต์)
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกกระวนกระวายใจ หากปล่อยให้เรื่องบานปลายไปกว่านี้ พวกเขาต้องถูกคนอื่นนินทาแน่
เย่จื้อผิงพยายามจะลุกขึ้นไปพยุงหญิงชรา แม้ขาของเขาจะยังคงเจ็บอยู่
แต่หลิวต้าเม่ยไม่สนใจใยดี นางยังคงนั่งอยู่กับพื้น ไม่ยอมลุกขึ้น
ท่ามกลางความตึงเครียด
พวกเขาทั้งสามคนสังเกตเห็นว่าเย่เสี่ยวจิ่นไม่พูดอะไรออกมาเลย
หลี่ชุ่ยชุ่ยหันกลับไปมองก็พบว่าเย่เสี่ยวจิ่นนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเผือดพร้อมกับอาการไอ
ดูเหมือนว่าโรคปอดของเธอจะกำเริบอีกครั้ง
หลี่ชุ่ยชุ่ยตกใจมาก รีบร้องเรียกเย่จื้อผิง “จื้อผิง! จิ่นเป่าป่วยหนักแล้ว!”
“รีบพาเธอไปหาหมอประจำหมู่บ้าน…”
หลี่ชุ่ยชุ่ยอุ้มเย่เสี่ยวจิ่นขึ้นมาแล้วป้อนน้ำอุ่นให้เธอ
เย่จื้อผิงเองก็รู้ถึงอาการของเย่เสี่ยวจิ่น “เร็วเข้า อย่ามัวชักช้า ไม่ต้องห่วงผม พาจิ่นเป่าไปหาหมอก่อน”
หลี่ชุ่ยชุ่ยแทบจะร้องไห้ออกมา
โรคของลูกสาวไม่ได้กำเริบมาหลายวันแล้ว
แม้แต่ในวันที่หิมะตกหนักก็ยังปกติดี ทำไมถึงกำเริบเอาตอนนี้
หล่อนร้อนใจราวกับไฟสุม “จิ่นเป่าอย่าเพิ่งกังวล ค่อย ๆ ดื่มน้ำก่อน เดี๋ยวเรากินยากัน”
ตอนนี้จะไปหาหมอประจำหมู่บ้าน อย่างแรกคือเขาไม่อยู่ อย่างที่สองคือรักษาไม่หาย ได้แต่สั่งยาแบบเดิม ๆ ทุกครั้งไป
“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ คงต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลในเมือง”
เย่จื้อผิงกัดฟันแน่น “ตกลง ตกลง…”
เมื่อหลิวต้าเม่ยเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ นางก็เลิกแสร้งร้องไห้ ไม่สนใจใยดีกับฝ้ายอีกต่อไป
เหลือบมองไปรอบ ๆ แล้วรีบโกยแนบ วิ่งแจ้นออกไปอย่างรวดเร็ว
หากเย่เสี่ยวจิ่นเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ อย่ามาโทษทีหลังว่าเป็นเพราะนาง แล้วให้นางเป็นคนออกเงินเชียว!
นางไม่มีทางควักเงินสักเฟินเดียวแน่
แบบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าเฉือนเนื้อเสียอีก!
เย่เสี่ยวจิ่นรอจนกระทั่งหลิวต้าเม่ยไปแล้ว จึงหยุดไอ
เธอลงจากอ้อมกอดของหลี่ชุ่ยชุ่ยแล้วเดินไปปิดประตู
เธอยิ้มแฉ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะป่วยเลยสักนิด
“แม่คะ หนูไม่เป็นไร หนูแกล้งทำเฉย ๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกตัว หล่อนหยุดร้องไห้แล้วหัวเราะออกมาพลางกอดเย่เสี่ยวจิ่นไว้แน่น
“ทำให้แม่ตกใจหมดเลย ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นกะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “สถานการณ์มันพลิกผันนี่คะแม่ ถ้าหนูไม่ทำแบบนี้ ย่าคงไม่ยอมไปง่าย ๆ หรอก”
“เอาละ พอดีเลย พ่อมีเรื่องจะคุยกับจิ่นเป่าหน่อย”
“ต่อไปถ้ามีของดี ๆ อีก อย่าไปบอกใครให้เขารู้อีกนะ”
“ไม่งั้นถ้าถูกหมายตาขึ้นมา จะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมามากมาย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้ารับ “พ่อคะ หนูรู้แล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้ว ก็พาเย่เสี่ยวจิ่นเข้านอน
ส่วนเย่จื้อผิงนอนคนเดียวอีกห้องหนึ่ง
ขาของเขาควรต้องระมัดระวังมาก ๆ การนอนคนเดียวจึงปลอดภัยกว่า
เขาห่มผ้าห่มนุ่ม ๆ มือก็อดไม่ได้ที่จะลูบมันซ้ำ ๆ แล้วก็ผล็อยหลับไป
คืนนั้นทั้งคืนอุ่นสบายอย่างบอกไม่ถูก
หลับไปจนกระทั่งฟ้าสาง เขาก็ตื่นขึ้น
รุ่งเช้า หลี่ชุ่ยชุ่ยไปที่เล้าไก่
เย่เสี่ยวจิ่นกำลังให้อาหารไก่ตัวเล็ก ๆ
เย่จื้อผิงตื่นขึ้นมา เห็นไข่สองฟองอุ่น ๆ อยู่ในหม้อ
เขารีบเรียกเย่เสี่ยวจิ่น “มา จิ่นเป่า มากินไข่เร็ว”
“พ่อ หนูกินไปแล้ว”
“แม่ไก่ตัวใหญ่ที่บ้านเรา ออกไข่เยอะทุกวันเลย กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด”
เธอกินจนเบื่อแล้ว
เย่จื้อผิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไข่ไก่ไม่ใช่ของที่กินได้ทุกวันเสียหน่อย
เขาเองก็ไม่อยากกินคนเดียวสองฟอง
กระทั่งเย่เสี่ยวจิ่นเปิดตะกร้าไข่ไก่ให้เขาดู เห็นว่าในตะกร้ามีไข่ไก่อยู่เต็มตะกร้า
เย่จื้อผิงจึงค่อยวางใจ กินไข่ไก่ไปสองฟอง
หลังจากกินอะไรเรียบร้อยแล้ว เขาจึงค่อยยันไม้เท้า พาเย่เสี่ยวจิ่นไปตัดไม้ไผ่บนเขาด้านหลังบ้านไม่กี่ต้น
เขาเพิ่งตัดเสร็จ เหงื่อเย็นก็ไหลท่วมหน้าผาก
เย่เสี่ยวจิ่นรีบบอก “พ่อ พักก่อนเถอะค่ะ รอให้ขาพ่อหายดีก่อน ค่อยสานลอบดักปลาไหลให้หนูก็ได้”
เธอไม่คิดเลยว่าพ่อจะยอมฝืนความเจ็บปวดเพื่อทำของพวกนี้ให้เธอ
ที่จริงเธอก็แค่พูดไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าพ่อจะใส่ใจมากขนาดนี้
“ไม่เป็นไร จิ่นเป่า พ่อแค่บาดเจ็บที่ขาข้างเดียว อีกข้างก็ยังดีอยู่”
ทันใดนั้น โจวเซียวก็เดินลงมาจากภูเขาพร้อมกับถือหน่อไม้สองหน่อ
เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นเย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า พวกเธอกำลังตัดไม้ไผ่อยู่งั้นเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ”
โจวเซียวสังเกตเห็นว่าขาของเย่จื้อผิงนั้นไม่ค่อยดี เขาจึงพูดด้วยความมีน้ำใจว่า “พวกเธอกลับลงไปก่อนเถอะ ไม้ไผ่สามต้นนี้ฉันช่วยนำกลับไปให้เอง”
โจวเซียวเป็นคนซื่อตรงและมีน้ำใจ
รีบตัดเถาวัลย์เส้นหนึ่งเพื่อมัดไม้ไผ่ขนาดใหญ่สามต้นนั้น
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกขอบคุณในใจ “ขอบคุณพี่โจวมากนะคะ”
เย่จื้อผิงไม่รู้จักเขา จึงเอ่ยว่า “แบบนี้เกรงใจแย่…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงนี้รุ่ยเป่าน้องชายผมไม่สบาย เรียกหาแต่ ‘จิ่นเป่า’ อยากเล่นกับหล่อนทุกวัน”
“ถ้าอยากขอบคุณผมจริง ๆ รอให้รุ่ยเป่าหายดีแล้ว ให้ ‘จิ่นเป่า’ พาเขาไปเล่นก็แล้วกันครับ”
เย่เสี่ยวจิ่นนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอโจวเหวินรุ่ยมาหลายวันแล้ว
ที่แท้ก็ป่วยนี่เอง
“งั้นวันนี้หนูไปเยี่ยมเขาหน่อยดีกว่า”
โจวเซียวตอบตกลงพร้อมกับรอยยิ้ม “เขาชอบเธอที่สุดเลยละ พอเห็นเธอต้องดีใจแน่ ๆ”
เย่จื้อผิงมองโจวเซียวแบกไม้ไผ่ลงเขาไปอย่างคล่องแคล่ว
เขาจึงรีบถาม “คนคนนั้นเป็นใครเหรอ”
“มาจากในเมือง หนูก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
“เอาเป็นว่า พี่ชายชื่อโจวเซียว มีน้องชายชื่อโจวเหวินรุ่ย เป็นเด็กขี้โรค”
เย่จื้อผิงส่ายหน้าอย่างจนใจ “จิ่นเป่า ลูกอย่าไปพูดต่อหน้าเขาแบบนี้เชียวนะว่าเป็นเด็กขี้โรค”
“ถ้าคนในบ้านเขาได้ยินเข้าคงไม่พอใจแน่”
เย่เสี่ยวจิ่นกะพริบตาปริบ ๆ “ตกลงค่ะ”
หลังจากเย่จื้อผิงกลับไปแล้ว
เขาก็นั่งอาบแดดอยู่หน้าบ้านบนเก้าอี้พร้อมกับมีดเล่มหนึ่งในมือ กำลังผ่าไม้ไผ่อยู่
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูเขา จนในที่สุด เขาก็ผ่าไม้ไผ่เป็นเส้น ๆ
เย่จื้อผิงทำงานอย่างคล่องแคล่ว พอถึงตอนที่หลี่ชุ่ยชุ่ยกลับมากินข้าวเที่ยง เขาก็ทำลอบดักปลาเสร็จแล้วสามอัน
รวมทั้งหมดที่ทำให้เธอห้าอัน
เย่เสี่ยวจิ่นตัดสินใจจะแบ่งให้โจวเหวินรุ่ยสองอัน เพื่อที่เขาจะได้ไปจับปลากับเธอได้
เย่เสี่ยวจิ่นหิ้วลอบดักปลาไหลมาสองอันเพื่อไปเยี่ยมโจวเหวินรุ่ย
โจวเหวินรุ่ยนอนซมอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงก็ขยับตัวอย่างทรมาน
โจวเซียวหัวเราะพลางเอ่ยว่า “รุ่ยเป่า ดูสิว่าใครมาเยี่ยม”
โจวเหวินรุ่ยลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะฝืนยันตัวลุกขึ้นนั่ง
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “จิ่นเป่า ในที่สุดเธอก็มาเยี่ยมฉัน”
ริมฝีปากของโจวเหวินรุ่ยซีดเผือดไร้สี ผิวหน้าขาวซีดราวไร้สีเลือด
เขาดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ” เย่เสี่ยวจิ่นเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของโจวเหวินรุ่ย
สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวบ่งบอกว่าเขายังคงมีไข้
โจวเหวินรุ่ยหลับตาลงอย่างสบายใจ มือของจิ่นเป่าเย็นชื่นใจซะจริง
“ก็สบายดี คุ้นชินแล้ว”
“ฉันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก พอถึงฤดูนี้ก็เป็นหวัดง่าย”
“เธอเอาของเล่นอะไรมาให้ฉันดูบ้างล่ะ”
โจวเหวินรุ่ยมองลอบดักปลาไหลที่วางอยู่บนพื้น “นี่มันอะไร”
“นี่เอาไว้จับปลาไหลกับปลาหลด รอให้นายหายดีแล้ว ค่อยมาจับปลาไหลกับฉันนะ”
เสียงของเขาเบามาก แทบไม่มีแรง “ดีจังเลย ฉันชอบเล่นกับจิ่นเป่าที่สุด”
“งั้นนายพักผ่อนเยอะ ๆ นะ รอให้หายดีก่อน ฉันจะมาหาใหม่”
โจวเหวินรุ่ยจับมือเย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า กินนี่สิ”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูบนฝ่ามือ ปรากฏว่าเป็นช็อกโกแลตที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษ
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มองเด็กหนุ่มร่างกายบอบบางตรงหน้าอีกครั้ง
นี่ต้องเป็นครอบครัวแบบไหนกัน?
ยุคนี้มีคนกินช็อกโกแลตนำเข้านี้ด้วยเหรอ?
เธอคิดว่าในบ้านของเขา อย่างมากก็คงมีแค่โจวเซียวที่เป็นคนมีการศึกษาเท่านั้น