ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 23 ขู่เด็ก (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 23 ขู่เด็ก (รีไรต์)
บทที่ 23 ขู่เด็ก (รีไรต์)
บทที่ 23 ขู่เด็ก (รีไรต์)
หลี่กุ้ยฮวาหรี่ตาลงอีกครั้ง “บ้านน้องชายคุณน่ะไม่มีเงินหรอก ครั้งนี้ใครออกเงินค่ารักษาให้”
“อย่าให้ถึงคราวต้องมาพึ่งพาบ้านเราก็แล้วกัน”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” จื้อเฉียงเองก็ไม่ได้คิดจะให้เงินอยู่แล้ว
“ถ้าถึงคราวต้องยืมเงินจริง ๆ ก็ปล่อยให้พวกนั้นติดค้างโรงพยาบาลไปสิ”
“โรงพยาบาลน่ะรวยอยู่แล้ว”
หลี่กุ้ยฮวากลั้วหัวเราะ “พวกคุณนี่ใจดำกันจริง ๆ”
จื้อเฉียงถาม “งั้นถ้าหลี่ชุ่ยชุ่ยมาขอยืมเงินคุณ คุณจะให้ไหม”
“เชอะ ฉันไม่ให้หรอกนะ ลูกชายฉันต้องเข้าเรียนมัธยมแล้ว ฉันจะเอาเงินที่ไหนให้พวกนั้นยืม”
“ต่อให้มี ฉันก็ไม่ให้ยืมหรอก!”
“ครอบครัวพวกเขาลำบากแสนสาหัส ขนาดข้าวสารกรอกหม้อยังไม่มีจะกิน นั่นไม่ต่างอะไรกับเอาเนื้อไปป้อนหมา มีแต่ไปไม่มีกลับหรอก?!”
ครอบครัวเย่มีลูกชายสามคน ลูกชายคนโตได้รับความช่วยเหลือจากพ่อแม่เป็นประจำ ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ลูกชายคนรองก็ได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่เช่นกัน ชีวิตก็ราบรื่นดี
มีเพียงครอบครัวของลูกชายสามเท่านั้นที่กลับถูกพ่อแม่เอาเปรียบ
ลูกชายสามมีลูกหลายคน ภาระจึงหนักหนาสาหัส
ประกอบกับเย่เสี่ยวจิ่นที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตั้งแต่เกิด ต้องใช้เงินทองรักษามากมาย
ชีวิตความเป็นอยู่ก็เลยยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากทานข้าวเสร็จ หยางเจวียนกับหยางฟู่กุ้ยก็ออกไปทำงาน
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งอยู่บนม้านั่ง
หยางลี่ลี่มองเธอด้วยความสงสัย “จิ่นเป่า เธอพูดได้แล้วเหรอ?”
หยางลี่ลี่อายุมากกว่าเย่เสี่ยวจิ่นหลายปี ตอนนี้อายุ 8 ขวบแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นเงยหน้าขึ้น “อ๋า พูดได้ด้วยเหรอ…”
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าเธอยังเป็นเด็กน้อยพูดไม่ได้ซะอีก” หยางลี่ลี่ชอบเย่เสี่ยวจิ่น หล่อนใช้นิ้วจิ้มไปที่จมูกของเย่เสี่ยวจิ่น “คืนนี้เธอมานอนเป็นเพื่อนฉันนะ”
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะพาเธอไปเล่นด้วยกัน สนุกนะ”
“ไม่เอาหรอก”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่ชอบเล่นจับแมลง เล่นลูกแก้วกับเด็กคนอื่น ๆ
หยางฟู่กุ้ยเป็นคนขยัน ในบ้านนอกจากจะมีเครื่องโม่ข้าวแล้ว ยังมีเครื่องโม่ถั่วเหลือง และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย
เย่เสี่ยวจิ่นกลับรู้สึกสนใจสิ่งเหล่านี้มาก
เธอชี้ไปที่โม่หินอันหนึ่ง “นี่คืออะไรเหรอ”
หยางลี่ลี่จึงอธิบายสิ่งของเหล่านี้ให้เธอฟัง พร้อมกับสาธิตให้เธอดู
“อันนี้คือที่ทำเต้าหู้ แค่ใส่ถั่วเหลืองลงไป จากนั้นเติมน้ำแล้วก็หมุน…”
หยางลี่ลี่หัวเราะ “แน่นอน พวกเราหมุนไม่ไหวหรอก พ่อฉันหมุนได้!”
“น้ำเต้าหู้ที่ได้เอาไปต้มจนสุก ใส่ของบางอย่างลงไป ก็จะกลายเป็นเต้าฮวย”
“เต้าฮวยที่เอาไปกดในกล่องไม้ ก็จะกลายเป็นเต้าหู้”
เย่เสี่ยวจิ่นตาเป็นประกาย “ดีจัง”
เธอครุ่นคิด ถ้าเธอปลูกถั่วเหลืองเองได้ ก็จะเอามาทำเต้าฮวยกินได้
น่าเสียดาย เธอเคยลองแล้ว ปรากฏว่าเป็นอย่างที่หยางลี่ลี่พูด
โม่หินนี่หนักมาก หมุนไม่ไหวเลย
หลายวันผ่านไป
ครอบครัวของเย่เสี่ยวจิ่นไม่อยู่ เธอจึงทำงานประจำวันไม่ได้
เธอเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ อาศัยช่วงฤดูใบไม้ผลิที่เหมาะกับการปลูกต้นไม้
ตอนกลางวันเธอกลับไปที่บ้าน ปลูกต้นท้อ 15 ต้น เรียงรายไปตามริมฝั่งลำธาร
หยางลี่ลี่มีหน้าที่ดูแลน้องสาว จึงมาช่วยเธอทำงาน
“จิ่นเป่า นี่ปุ๋ยเหรอ ทำไมรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับของในหมู่บ้านเลยล่ะ”
“กลิ่นมันอ่อน ๆ ไม่เหมือนปุ๋ยแบบที่ฉุน ๆ” เย่เสี่ยวจิ่นตอบเลี่ยง ๆ ไป
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ของที่ระบบให้มานั้นค่อนข้างดีต่อสุขภาพ
ต้นท้อถูกปลูกเป็นแถวยาว
หยางลี่ลี่ไม่ค่อยมั่นใจ “ที่ดินริมน้ำไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ของเธอน่าจะไม่ค่อยโตนะจิ่นเป่า”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหัว “ค่อยดูกันอีกทีแล้วกัน”
ไม่ไกลนักก็มีเสียงคนพูดคุยกัน
ปรากฏเป็นหลี่กุ้ยฮวาที่กำลังช่วยเย่จู๋ลูกสาวของหล่อน หยิบลอบดักปลาอยู่
หลี่กุ้ยฮวาสังเกตเห็นเย่เสี่ยวจิ่นจึงเดินเข้ามาหา
หล่อนแกล้งพูดว่า “เย่เสี่ยวจิ่น พ่อแกนอนโรงพยาบาลมาสี่ห้าวันแล้วนะ”
“ถ้าพ่อแกตาย แม่แกก็ไม่กลับมา เหลือแกอยู่คนเดียว แกจะทำยังไงล่ะ?”
“ก็คงต้องส่งแกไปอยู่กับครอบครัวที่รับเลี้ยงเป็นลูกสะใภ้คนเล็กของบ้านเขา”
เย่เสี่ยวจิ่นกลอกตาไปมา
คำพูดขู่เด็กแบบนี้ ถ้าพูดกับเด็กจริง ๆ คงจะทำร้ายจิตใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขาได้
ช่างเป็นคนใจร้ายจริง ๆ
หยางลี่ลี่รีบพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “พูดไร้สาระ พ่อของจิ่นเป่าไม่ตายหรอก”
“หมอที่โรงพยาบาลจะต้องรักษาพ่อของหนูให้หายได้” เย่เสี่ยวจิ่นกล่าว
หลี่กุ้ยฮวายกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย “นั่นสินะ ไม่แน่หรอกนะ ยังไงซะก็โดนระเบิดเข้าไป อันตรายจะตายไป”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้ม “พ่อของหนูแค่ขาเจ็บ จะตายได้ยังไงกัน”
“ป้าใหญ่กำลังขู่หนูอยู่เหรอ พูดอะไรก็รู้จักคิดให้มันสมเหตุสมผลหน่อย”
หลี่กุ้ยฮวามุมปากกระตุก “ขาเจ็บแล้วจะตายไม่ได้รึไง”
“เด็กอย่างแกไม่เข้าใจหรอก”
“พ่อของแกน่ะ ตายแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่สนใจใยดี
“พ่อป้าสิที่ตาย” เธอกล่าวพลางนำฟางไปวางไว้ที่โคนต้นท้อ เพื่อให้ความอบอุ่น
หลี่กุ้ยฮวาโกรธขึ้นมาทันที “นี่แก เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดจาแบบนี้ได้ยังไง หัดแช่งคนอื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่มีมารยาทเลย เด็กเหลือขอ”
เย่เสี่ยวจิ่นมีแววตาไม่พอใจขึ้นมา กำลังจะตอกกลับหล่อน
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“จิ่นเป่า จิ่นเป่า!”
เย่เสี่ยวจิ่นหันกลับไปมอง ก็พบว่าที่บ้านมีเสียงที่คุ้นเคย
“แม่!” เย่เสี่ยวจิ่นคลายคิ้วที่ขมวดออก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เธอรีบทิ้งจอบลง แล้ววิ่งตรงไปทันที
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นเย่เสี่ยวจิ่นปลูกต้นท้อมากมาย จึงยิ้มแล้วลูบผมที่ชุ่มเหงื่อของเธอ
“จิ่นเป่า ขาของพ่อไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บ หมอบอกว่า อีกครึ่งปีก็จะหายเป็นปกติ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมีความสุขจนดวงตาฉายแววยินดี
เดิมทีหล่อนกลัวว่าเขาจะพิการ แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแค่กระดูกหัก
แม้จะต้องพักรักษาตัวนานถึงครึ่งปี หล่อนก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์แล้ว
“ดีจังเลยค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นก็ยิ้มร่า
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากในบ้าน
เขาดูผอมบาง เมื่อมองอย่างพิจารณาแล้วก็พบว่ามีเค้าหน้าบางส่วนคล้ายกับเย่เสี่ยวจิ่น
เขาถือไม้เท้า เดินกะเผลก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“จิ่นเป่า คิดถึงพ่อหรือเปล่า”
เย่เสี่ยวจิ่นมองเย่จื้อผิงด้วยดวงตาใสซื่อ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกแปลกไปจากเดิม
เพราะความทรงจำเกี่ยวกับพ่อของเจ้าของร่างเดิมนั้นเลือนรางมาก
เธอรู้แค่ว่าเขามักจะทำงานเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่าใด
เขาจะเอาเธอวางไว้บนคอแล้วขี่ ยกเธอขึ้นสูง ๆ และเด็ดลูกสาลี่ให้
แต่พอเย่เสี่ยวจิ่นเจอหน้าเย่จื้อผิง เธอก็ยังตกใจ
เพราะเขาผอมแห้งเหลือเกิน หน้าเหลืองซีดเซียว
แต่ดูท่าทางแล้วใจดี
“จิ่นเป่าจำพ่อไม่ได้แล้วเหรอ” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพร้อมกับหัวเราะ
เย่เสี่ยวจิ่นมีท่าทางเขินอาย เอ่ยเรียกเบา ๆ “พ่อ”
เย่จื้อผิงยิ้มอย่างดีใจ “จิ่นเป่า มากินนี่สิ”
เขาค่อย ๆ หยิบถุงใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ข้างในมีซาลาเปาไส้เนื้อสองลูกอ้วน ๆ
นี่เป็นของที่เย่จื้อผิงแบ่งเก็บไว้เอง
เขายื่นมันมาอยู่ตรงหน้าเย่เสี่ยวจิ่น “นี่เป็นไส้เนื้อ อร่อยมากนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นเลียริมฝีปาก รับมาแล้วกินซาลาเปาไส้เนื้อไปสองลูก
ถึงแม้ว่าจะเย็นแล้ว แต่มันก็ยังอร่อยมาก
แต่ก่อนเธอไม่ค่อยได้กินของแบบนี้ พอมาอยู่ที่นี่กลับรู้สึกว่ามันอร่อยมาก
หลี่กุ้ยฮวาก็เข้ามาร่วมด้วย “จื้อผิง นายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“ได้ยินมาว่านายไปช่วยลู่เฟิงเลยขาเจ็บเหรอ”
“เขากลับมาแล้ว ทำไมไม่ไปเยี่ยมนายที่โรงพยาบาลแล้วจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ล่ะ”
สีหน้าของเย่จื้อผิงและหลี่ชุ่ยชุ่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
เห็นได้ชัดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ