ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 16 จิ่นเป่าฉลาดที่สุด (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 16 จิ่นเป่าฉลาดที่สุด (รีไรต์)
บทที่ 16 จิ่นเป่าฉลาดที่สุด (รีไรต์)
บทที่ 16 จิ่นเป่าฉลาดที่สุด (รีไรต์)
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าหล่อนคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้มานานแสนนานแล้ว
ที่ผ่านมา พวกเขามักจะสูบเลือดสูบเนื้อจากครอบครัวของหล่อน เพื่อไปอุ้มชูครอบครัวของลูกชายคนโตเสมอ
ในอดีต หล่อนอาจจะยอมเสียเปรียบอยู่เงียบ ๆ
แต่ครั้งนี้ หล่อนกลับไม่ยอมอ่อนข้อให้ “ฝ้ายพวกนี้ ฉันจะเอาไว้ให้ลูก ๆ ของฉันใช้”
“ไม่ว่าเหวินชางจะรุ่งโรจน์แค่ไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”
“ถึงแม้ลูก ๆ ของฉันจะไม่เก่งเท่าเหวินชาง แต่พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เราต้องพึ่งพาตัวเอง”
แววตาของหลี่ชุ่ยชุ่ยดูเย็นชาลงเล็กน้อย
คำพูดของหล่อนราวกับเป็นการท้าทายพ่อแม่สามีเข้าอย่างจัง
คำพูดของเย่ฉู่เฉียงเต็มไปด้วยโทสะ “แกดูสิ! ดูคนเห็นแก่ตัวอย่างแกพูดเข้าสิ!”
“แกหมายความว่ายังไง หมายความว่าเหวินชางไม่ใช่คนในครอบครัวกับแกอย่างนั้นเหรอ! เขาไม่จำเป็นต้องเรียกแกว่าอาสะใภ้สักคำเลยงั้นสิ!”
“ใจคอแกทำด้วยอะไร จิตใจแกโดนหมากินไปหมดแล้วหรือไง ทนดูเขาไปเรียนหนังสือไกล ๆ ลำบากลำบนอย่างนั้นได้ลงคอเหรอ?”
หลิวต้าเม่ยรีบเสริมทันควัน “ใช่ ๆ พวกแกทำงานใช้แรงงานกันทั้งบ้าน จะเอาผ้าฝ้ายดี ๆ แบบนี้ไปทำไม? มันเป็นการทำลายข้าวของชัด ๆ”
ตอนนี้หลี่ชุ่ยชุ่ยพลันรู้สึกเจ็บใจตัวเองยิ่งนักที่พูดไม่เก่ง!
เมื่อเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ หล่อนก็เถียงไม่ชนะ!
หล่อนคิดในใจ ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ ทำไมลูกของหล่อนถึงไม่คู่ควรกับของดี ๆ
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกน้อยใจอย่างสุดซึ้ง น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้าตา
เย่เสี่ยวจิ่นขมวดคิ้ว “อ๋อ ใช่ ๆ พวกคุณสูงส่ง ของดี ๆ สมควรเป็นของพวกคุณที่ใช้คนเดียว”
“พวกคุณก็เลยรีบมาแย่งไปแบบไม่มัวพูดมากความ!”
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้หนูจะไปเผาบ้านพวกคุณ พวกเรามาหนาวตายด้วยกันทั้งหมดเลยเป็นไง”
ถ้าพูดถึงเรื่องความไม่แยแสต่อชีวิต เธอคงไม่แพ้ใครหรอก
เธอไม่ได้ล้อเล่น หากพวกเขากล้าแย่ง เธอก็กล้าเผาจริง ๆ
เย่ฉู่เฉียงเห็นหน้าเย่เสี่ยวจิ่นก็รำคาญแทบตาย เสียใจที่ตอนเด็กคนนี้เกิดมาไม่ได้บีบคอให้ตายไปซะ
หลิวต้าเม่ยพูดขึ้นตรง ๆ ว่า “ไม่ต้องไปสนใจพวกมัน เรานำของไปเลย รอให้สามีมันกลับมาแล้วค่อยบอกก็ได้”
“สามีแกก็เป็นลูกชายที่ฉันคลอดออกมา บ้านนี้ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกอย่างแกมาสั่งสอน!”
หลี่กุ้ยฮวาตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดอะไรเลย มองเหตุการณ์ด้วยหางตาอย่างเย็นชา
หล่อนรู้ดีว่าพ่อสามีแม่สามีจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
หล่อนแค่รอดูอยู่เฉย ๆ ก็พอ
ใครจะทำอะไรได้ ในเมื่อลูกชายของหล่อนเก่งกาจสามารถเชิดหน้าชูตาตระกูลได้
เย่ฉู่เฉียงค้นพบฝ้ายที่อยู่ในบ้าน และประหลาดใจไม่แพ้กัน
เพียงแค่ฟังหลี่กุ้ยฮวาบอกว่าที่นี่มีฝ้ายที่ดีที่สุด เขายังจินตนาการไม่ออก
พอได้เห็นแบบนี้ นี่มันฝ้ายชั้นเลิศจริง ๆ
หลิวต้าเม่ยก็เกิดกิเลส จึงเอื้อมมือไปลูบอย่างระมัดระวัง “ฝ้ายแบบนี้ ดีกว่าที่ขายในตลาดเสียอีก ถ้าเอามาทำเสื้อผ้า สวมใส่คงจะอุ่นน่าดู”
“มีเยอะขนาดนี้ คงพอให้ภรรยาคนโตทำเสื้อผ้าและผ้าห่มได้แล้ว ที่เหลือก็ยังพอทำให้พวกเราได้ใส่เสื้อฝ้ายตัวใหม่”
เย่ฉู่เฉียงก็คิดเช่นเดียวกัน
เขาหยิบฝ้ายขึ้นมาเตรียมจะไป
หลี่ชุ่ยชุ่ยน้ำตาแทบไหล “พวกคุณนี่เห็นพวกเราแม่ลูกตัวคนเดียว ก็เลยรังแกกันง่าย ๆ สินะ”
“จิ่นเป่าของฉันร่างกายอ่อนแอ ผ้าฝ้ายผืนนี้ยังไม่ได้เอามาทำเสื้อผ้าให้หล่อนเลยสักตัวเดียว พวกคุณก็จะเอาไปหมดแล้ว”
“พวกคุณนี่ อยากให้พวกเราแม่ลูกทนหนาวจากภัยหิมะครั้งนี้ไม่ไหวเลยหรือไง”
เรื่องที่พวกเขาจะทนได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เย่ฉู่เฉียงกับภรรยาต้องใส่ใจเลย
ฝ้ายดี ๆ แบบนี้ เอามาให้แม่ลูกไร้ประโยชน์ใช้ก็เท่ากับเป็นการเสียของดี ๆ
อีกอย่าง ปีก่อน ๆ พวกเขาก็ผ่านกันมาได้ไม่ใช่เหรอ?
ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครหนาวตาย
ทันใดนั้นเอง ก็มีคนสองคนเดินเข้ามาจากข้างนอก
“วันนี้ครึกครื้นกันจังเลยนะ? อยู่กันพร้อมหน้าเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยฝานสวมเสื้อคลุมและรองเท้าบูตยาง เขย่าหิมะที่รองเท้าออก ก่อนจะก้าวเข้ามาในบ้าน
ส่วนหลินจวงที่เดินตามหลังมานั้น จมูกแดงก่ำเพราะความหนาว
พวกเขาทั้งสองเพิ่งจะให้อาหารไก่รอบสุดท้ายเสร็จ งานในเล้าไก่จึงไม่มีอะไรแล้ว เลยชวนกันมาที่นี่
จริง ๆ พวกเขาน่าจะมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว แต่วันนี้ทุกคนต่างก็พักผ่อนกัน พวกเขากลับต้องมาดูแลไก่ป่วย
เซี่ยเฟยฝานสังเกตเห็นบรรยากาศที่ตึงเครียด จึงหันไปมองฝ้ายพร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาลงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”
เขาเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยร้องไห้ไม่หยุด จึงหันไปถามเย่เสี่ยวจิ่น “จิ่นเป่า บอกลุงเซี่ยมาสิ เกิดอะไรขึ้น”
ถึงแม้ว่าเขาจะถาม แต่ทั้งความรู้สึกและเหตุผล เขาก็อยู่ข้างเย่เสี่ยวจิ่น คอยหนุนหลังให้เธอแน่นอน
พวกหลิวต้าเม่ยต่างรู้สึกประหม่า เพราะพวกเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินหัวหน้าทีม!
หลี่กุ้ยฮวาเบิกตากว้าง หล่อนเป็นคนพูดจาคล่องแคล่วอยู่แล้ว จึงคิดแผนการได้
“หัวหน้าเซี่ย ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“คือพ่อแม่ฉันเคยซื้อฝ้ายไว้ที่นี่เมื่อปีก่อน พอหิมะตกแบบนี้ ก็เลยจะเอากลับบ้านไป”
หลิวต้าเม่ยพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ๆๆ แบบนั้นแหละ”
นางอดไม่ได้ที่จะคุยโวอีกครั้ง “คุณก็รู้ เหวินชางของพวกเราสอบติดมัธยมปลายแล้ว! ต้องไปเรียนในเมือง!”
“แบบนี้ต้องทำเสื้อกันหนาวตัวใหม่ให้เขาแล้วล่ะ”
เซี่ยเฟยฝานไม่ได้สนใจเรื่องสอบติดมัธยมปลายเลยแม้แต่น้อย
เพราะเรื่องแบบนี้ ในสายตาของเขาไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การนำไปโอ้อวดอะไรมากมาย
หลินจวงก็เรียนจบมัธยมปลายมาแล้ว พูดถึงเรื่องเลี้ยงไก่ ยังสู้เด็กสามขวบอย่างยัยหนูเย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้เลย
“พวกแกไม่ต้องพูด ให้ยัยหนูจิ่นเป่าพูด”
เซี่ยเฟยฝานพูดกับเย่เสี่ยวจิ่นด้วยท่าทีที่อ่อนโยน
แม้ว่าเขาจะทำหน้าบึ้ง ตีหน้าขรึม ทำท่าทางวางก้าม ก็เพียงพอที่จะข่มคนอื่นได้แล้ว
ทั้งสามต่างพากันตึงเครียด พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินหัวหน้าเซี่ยเด็ดขาด
พวกเขาได้แต่หวังว่ายัยเด็กนั่นจะไม่พูดอะไรออกไป
“ฝ้ายเป็นของบ้านเราเอง คุณปู่คุณย่าจะเอาฝ้ายของเราไปให้ครอบครัวลุงใหญ่”
“คุณปู่คุณย่าบอกว่า จะปล่อยให้หนูกับแม่หนาวตาย เพราะหนูเป็นตัวซวย”
“เฮ้อ… หนูรู้ คุณปู่คุณย่าไม่เคยชอบหนูเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นเบะปาก ก้มหน้าทำท่าเช็ดน้ำตาที่มุมตาอย่างน่าสงสาร ทั้งที่ไม่มีน้ำตาสักหยด
ท่าทางแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องสงสารจับใจ
หลี่กุ้ยฮวาโพล่งออกมาด้วยความโกรธ ‘พูดเหลวไหล! แกพูดมั่วแล้ว!’
ถึงแม้ในใจหล่อนจะคิดแบบนั้น แต่ปากก็ไม่เคยพูดออกมาสักคำ!
ยัยเด็กคนนี้นี่มันชอบยุแยงให้คนทะเลาะกันจริง ๆ!
“หัวหน้าเซี่ย เด็กคนนี้ชอบทำเป็นสำออย อย่าไปเชื่อคำพูดเด็ดขาด”
เสี่ยวจวงที่ทั้งยังเด็กและขวานผ่าซาก พูดโพล่งออกมาตรง ๆ ว่า “พวกคุณนี่มันหน้าไม่อายจริง ๆ!”
“ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินเรื่องที่พวกคุณไม่ให้เนื้อแล้ว ตอนนี้ยังจะมาแย่งฝ้ายอีก”
“คิดว่าทำกร่างไปทั่วในหมู่บ้านนี้ แล้วจะไม่มีใครเอาพวกคุณอยู่แล้วงั้นสิ?”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆ
ใช่เลย ควรจะจับพวกเขาทั้งหมดไปปรับทัศนคติเสียให้เข็ด
เซี่ยเฟยฝานดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก
เด็กฉลาดอย่างจิ่นเป่า ทำไมถึงไม่รักเหมือนไข่ในหิน?
ทำไมที่บ้านตระกูลเย่ ถึงได้รังเกียจกันนะ?
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้หล่อนเป็นผู้เชี่ยวชาญของฟาร์มไก่ของพวกเราแล้ว พวกแกยังกล้ามาทำเกินเลยแบบนี้อีก ระวังเถอะ ฉันจะไปตามผู้ใหญ่บ้านมาจัดการพวกแกเอง”
“หล่อนเนี่ยนะ ผู้เชี่ยวชาญ?” หลี่กุ้ยฮวาร้องเสียงหลงอย่างอดไม่อยู่
หลินจวงแสยะยิ้มเยาะ “ดูถูกคนอื่นเขาหรือไง? หล่อนอ่านหนังสือออกมากกว่าเย่เหวินชางลูกชายของพวกคุณเสียอีก”
หลี่กุ้ยฮวาไม่กล้าทำกร่างใส่พวกเขาตรง ๆ แต่ก็แอบเบ้ปากด้วยความไม่สบอารมณ์
ในใจหล่อน เย่เสี่ยวจิ่นมีค่าพอมาเทียบกับลูกชายของหล่อนได้อย่างไร? เด็กนั่นมันเป็นตัวอะไรกัน?
ลูกชายของหล่อนน่ะเป็นคนมีวัฒนธรรม ฉลาดปราดเปรื่อง!
ดูเหมือนหลินจวงจะมองความคิดของหล่อนออก จึงเยาะเย้ยอย่างดูถูกว่า “อย่ามาคิดว่าเย่เหวินชางของเธอมันจะแน่สักหน่อยเลยนะ”
“เรียนมัธยมต้นยังต้องเรียนซ้ำชั้นตั้งปีหนึ่งกว่าจะเลื่อนชั้นได้ โง่เหมือนหมูซะจริง!”
“ฉลาดสู้เสี่ยวจิ่นไม่ถึงครึ่ง แล้วยังจะมีหน้ามาอวดเบ่งอีก”