ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 121 ปล่อยลูกปลาลงนาข้าว
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 121 ปล่อยลูกปลาลงนาข้าว
บทที่ 121 ปล่อยลูกปลาลงนาข้าว
……….
บทที่ 121 ปล่อยลูกปลาลงนาข้าว
หลิวเยว่กลับมารับประทานอาหารกลางวันร่วมกับหลิวคัง
บนโต๊ะอาหาร
หลิวคังเห็นว่ากับข้าวของตระกูลเย่ส่งกลิ่นหอมน่ากิน อร่อยมาก
บนโต๊ะมีทั้งอาหารคาวและหวาน ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
เมื่อรู้ว่าตระกูลเย่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เขาก็รู้สึกโล่งใจไปไม่น้อย
หลังอาหาร หลิวเยว่พูดคุยกับหลิวคังตามลำพัง
“พ่อ ตอนนี้ฉันอยู่ดีมีสุขมาก แถมอยู่ที่นี่ยังทำงานหาเงินได้ดี ดีกว่าอยู่บ้านคอยช่วยพี่ชายฉันเยอะเลย”
“เมื่อคุณกลับไป อย่าบอกพวกเขานะว่าตระกูลเย่มีฐานะดีนะ บอกว่าค่อนข้างจนก็พอ”
“ฉันไม่อยากให้แม่มาขอเงินฉันอีก”
หลิวคังไม่คิดว่าคนในครอบครัวของเขาจะมีสถานะเช่นนี้ในใจของหลิวเยว่แล้ว
“พ่อรู้ว่าลูกรู้สึกเจ็บปวด แต่คนเราต้องมีบ้านเกิดนะ”
หลิวเยว่ถอนหายใจ “ฉันแค่อาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว เย่จวินเองก็ไม่ได้ชอบฉันแบบนั้น ฉันแค่อยากทยอยใช้หนี้ให้หมด แล้วค่อยว่ากันทีหลัง”
หลิวคังคุยกับหล่อนเสร็จแล้วก็กลับไป
หลี่ชุ่ยชุ่ยออกมา “เสี่ยวเยว่ พ่อของเธอดูเหมือนจะเป็นห่วงเธอจริงๆ นะ”
หลิวเยว่ถอนหายใจ “ฉันรู้ค่ะ แต่แล้วมันยังไงล่ะคะ? ต่อให้รักก็มีการเปรียบเทียบกันอยู่ดี”
“พวกเขารักฉันก็จริง แต่รักพี่ชายฉันมากกว่า”
หลิวเยว่เข้าใจมานานแล้ว “ถ้าไม่ตัดขาดความสัมพันธ์ ฉันก็จะกลายเป็นเครื่องมือให้พวกเขาไปตลอด”
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพิ่มเติมอีก
ความคิดที่ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาวมีอยู่ทุกที่
หล่อนจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เสื้อคลุมที่ฉันทำให้ ใส่แล้วพอดีตัวไหม?”
“ดีมากเลยค่ะ ฉันชอบมาก คนที่สวนผลไม้ต่างก็บอกว่าสวยมาก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้ม “ฉันยังไม่ค่อยชำนาญกับจักรเย็บผ้าเท่าไหร่ รอให้ฉันชำนาญกว่านี้อีกหน่อย ก็จะทำได้เร็วขึ้นมาก”
“ถ้าเธออยากใช้จักรเย็บผ้า ฉันสอนให้ได้นะ”
ดวงตาของหลิวเยว่สว่างวาบ “ดีเลยค่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นกำลังดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งอยู่ในห้อง
เย่จื้อผิงนั่งข้างๆ เธอ “จิ่นเป่า ดูพี่ชายลูกกับเสี่ยวเยว่สิ เข้ากันดีไหม?”
เย่จวินแย้งทันที “พ่อ พูดอะไรของพ่อน่ะ!”
เย่เสี่ยวจิ่นเอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก “ดีมากเลยค่ะ แค่พี่ชายใหญ่ดูอึดอัดนิดหน่อยนะคะ”
“ที่พี่ใหญ่ยังไม่ได้แต่งงานก็เพราะขี้อายเกินไปน่ะ ถ้าเป็นพี่ชายรองก็คงจะหน้าด้านไม่อายเลย”
เย่ฉางอันที่กำลังนอนอยู่พลอยถูกลูกหลงไปด้วย
“จิ่นเป่า เธอนี่ อยากโดนตีหรือไง?”
เย่เสี่ยวจิ่นทำปากยื่น “พ่อ ดูพี่รองสิ เขาจะรังแกเด็กอย่างหนู”
“เธอน่ะเหรอเด็ก? เธอมันยัยตัวแสบชัดๆ!”
เย่เสี่ยวจิ่นหลบอยู่หลังเย่จื้อผิง แลบลิ้นใส่ พร้อมทำหน้าท้าทายว่าพี่จะทำอะไรฉันได้
เวลาผ่านไปสักพัก
เย่เสี่ยวจิ่นจับฉลากได้ของหลายอย่าง เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือเกษตร และพืชผลสำหรับบริโภคไปอีกมากมาย
ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงเดือนพฤษภาคมแล้ว
ในช่วงครึ่งแรกของเดือน เย่จวินและเย่ฉางอันต่างยุ่งอยู่กับการดำนาปลูกข้าว
พอถึงกลางเดือน พวกเขาจึงเริ่มผ่อนคลายลงได้บ้าง
สวนผลไม้ของเย่เสี่ยวจิ่นก็เติบโตขึ้นอย่างดี ผักโขมถูกกินจนหมดแล้ว จึงปลูกใหม่อีกรอบ
ปลูกซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมทั้งผักบุ้งด้วย จนกลายเป็นแปลงผักเล็กๆ ไปแล้ว
ส่วนเมลอนก็เริ่มเลื้อยและออกดอกแล้ว พอถึงปลายเดือนก็เริ่มติดผล
เย่เสี่ยวจิ่นยุ่งอยู่กับการทำเรื่องเลี้ยงปลาในนาข้าวในช่วงไม่กี่วันนี้
เธอนำลูกปลาที่ได้รับมาทั้งหมดไปปล่อยในลำธารข้างบ้าน แล้วใช้กระชังล้อมไว้
โชคดีที่ลำธารกว้างขวาง แม้จะมีปลาอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังพอมีที่ให้ปล่อยได้
เย่ฉางอันนั่งยอง ๆ อยู่ริมลำธารกับเย่เสี่ยวจิ่น มองดูปลาหลี่ที่อยู่ในน้ำ
เขาพูดว่า “จิ่นเป่า พรุ่งนี้จะเริ่มปล่อยลูกปลาแล้วนะ”
“ปล่อยปลาลงไปเยอะขนาดนี้ มันจะไม่ตายหรอ? แล้วเธอแน่ใจเหรอว่าปล่อยลงไป 1,000 ชั่ง จะคุ้มทุนน่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มน้อย ๆ พลางนับนิ้วคำนวณ “พี่ลองคิดดูสิ ตอนนั้นพวกเราจะปล่อย 10 กิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่”
“50 หมู่ก็จะเท่ากับ 500 กิโลกรัม หรือ 1,000 ชั่ง”
“สุดท้ายเราจะเก็บเกี่ยวได้ 15,000 ชั่ง ครอบครัวเราจะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสี่”
เย่ฉางอันคิดสักครู่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “งั้น…ก็แปลว่าเราจะได้ประมาณ 3,700 กว่าชั่งใช่ไหม?”
“ก็คือเราจะได้กำไร 2,700 กว่าชั่งสินะ”
“สุดท้ายก็จะได้ปลาหลี่ 3,700 กว่าชั่ง…”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดูพี่ชายรองขมวดคิ้วคำนวณอยู่ เธอเพียงแค่มองเขา เม้มปากยิ้มน้อยๆ โดยไม่รบกวนเขา
เย่ฉางอันพึมพำว่า “ปลาคาร์พ 1,000 ชั่งราคา 37 หยวน ก็คือ 0.37 หยวนต่อชั่ง”
“3,700 กว่าชั่ง ก็จะได้กำไร 1,400 กว่าหยวนแล้ว!”
และทีมงานยังช่วยทำงาน ตัวเองไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนอกจากลูกปลา
“จิ่นเป่า นี่มันได้เงิน 1,400 กว่าหยวนเลยนะ?!”
ดวงตาของเย่ฉางอันเป็นประกายขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขามองเย่เสี่ยวจิ่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจเต้นเร็วขึ้น แววตาเป็นประกายอย่างน่าตกใจ
ปลาในลำธารกระโดดดิ้น ส่งเสียงซู่ซ่า
ตอนนี้มันไม่ใช่เสียงปลาดิ้นแล้ว แต่เป็นเสียงของเงินทอง
“ว้าว!” เย่เสี่ยวจิ่นตอบกลับด้วยรอยยิ้มสดใส “ความสามารถในการคำนวณของพี่เก่งมากเลยนะเนี่ย?”
เย่ฉางอันตกตะลึง “จิ่นเป่า ฉันคงคำนวณผิดไปแน่ๆ เป็นไปได้ยังไงที่จะมีเงินมากมายขนาดนั้น?”
เขาถูมือด้วยความงุนงง “ทั้งชีวิตฉันยังไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนั้นเลย”
เย่เสี่ยวจิ่เม้มปาก “ราคาที่พี่พูดถึงยังเป็นราคารับซื้อนะ ถ้าขายเองยังได้กำไรมากกว่านี้อีก”
“แต่ต้องใช้แรงงานมากเกินไป การขนส่งปลาออกไปก็เป็นค่าใช้จ่ายอีกก้อน”
“ระหว่างขนส่งก็มีโอกาสตายได้ง่าย ราคา 37 หยวนต่อพันชั่งก็ถือว่าพอใช้ได้แล้ว”
“จิ่นเป่า!” เย่ฉางอันคว้าแขนของเย่เสี่ยวจิ่น “เงินมากมายขนาดนั้น ทำไมเธอถึงใจเย็นได้ขนาดนี้?”
“อืม… ก็เพราะทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เทพเจ้ามอบให้หนูไงล่ะ”
เย่ฉางอันรีบพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ร่วมสวดมนต์ขอพรเทพเจ้าตาม
ต้องรู้ไว้ว่าตอนแรกเขายอมรับเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าได้ยากมาก
แม้ว่าพ่อแม่จะเชื่อเรื่องงมงาย แต่เขากลับไม่เชื่อเลย
แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปนานแล้ว ดังนั้นคงต้องเชื่อเรื่องเทพเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เย่ฉางอันนั่งอยู่ริมลำธาร พูดอย่างจริงจังว่า “คืนนี้ฉันคงนอนไม่ได้แล้ว ถ้ามีคนมาขโมยลูกปลาของเราจะทำยังไง?”
“ฉันจะเฝ้าสักคืนแล้วกัน ยังไงฉันก็ไม่ง่วงอยู่แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นอดขำไม่ได้ “งั้นก็ดีสิ เดี๋ยวหนูจะบอกให้พี่ใหญ่เอาไฟฉายมาให้พี่”
“แต่พี่ต้องระวังงูด้วยนะ ตรงริมน้ำน่ะ”
เย่ฉางอันนั่งหลังตรง สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันไม่กลัวหรอก ถ้ามีงูมากินปลาของเรา ฉันจะฆ่ามันให้ตายเลย!”
เย่เสี่ยวจิ่นย่นจมูก “โม้!”
แต่ตกดึก เย่จวินกับเย่ฉางอันก็ผลัดกันเฝ้าลูกปลาจนได้
พอตอนเช้าตรู่ เย่จื้อผิงก็มาเฝ้าอีก
เย่จวินและเย่ฉางอันสองคนแบกลูกปลาไปปล่อยที่ทีมงาน
ซุนจ่างซุ่นเห็นลูกปลาที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้ อดไม่ได้ที่จะทึ่ง “ลูกปลาของพวกคุณนี่ดีจริงๆ นะ”
“ไม่แปลกใจเลยที่จิ่นเป่าบอกว่าต้องเป็นลูกปลาจากบ้านของพวกคุณเท่านั้น”
“ฉันเห็นที่ขายในตลาดอำเภอ ไม่มีตัวไหนดูดีขนาดนี้เลย ดูสิ หลังปลาเป็นสีดำอมเขียวทั้งนั้น”
กัวชิงซงพยักหน้า “ใช่แล้ว”
“ดูเหมือนว่าในปีนี้หมู่บ้านของเราจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
“แต่ต้องไม่ให้ใครมาก่อกวนนะ ถ้าใครคิดจะใส่ยาหรือขโมยปลา ก็เท่ากับทำลายทรัพย์สินของหมู่บ้าน”
“ถ้าจับได้ จะส่งไปขังที่เรือนจำสี่ในเมืองเลย!”
กัวชิงซงเป็นคนเข้มงวด พูดจาหนักแน่น
“ฮึ่ม ฉันก็แค่พูดดักไว้ก่อน เผื่อจะมีคนคิดไม่ดีแล้วต้องติดคุก”
เมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรไม่ดีแน่นอน
ถึงอย่างไรทุกคนก็เป็นคนซื่อๆ ใครจะอยากติดคุกกันล่ะ?
เย่จวินกับเย่ฉางอันสบตากัน
ต่างก็รู้สึกโล่งอก
เมื่อคืนพวกเขากลัวว่าปลาจะถูกขโมย จึงเฝ้าทั้งคืนเลยทีเดียว
แน่นอนว่าพวกเขาก็กลัวว่าปลาที่วางไว้บนพื้นจะถูกคนขโมยไปด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
กำไรเน้นๆ เลยทีเดียว บ้านสามเตรียมรวยเละ ขอแค่ไอ้คนแซ่เหอไม่มาก่อกวนก็พอแล้ว
ไหหม่า(海馬)
……….