ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 120 หลิวคังมาหา
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 120 หลิวคังมาหา
บทที่ 120 หลิวคังมาหา
……….
บทที่ 120 หลิวคังมาหา
หลี่กุ้ยฮวาจำต้องหันไปมองเย่เหวินชาง “เหวินชาง ความหวังทั้งหมดของครอบครัวเราอยู่ที่ลูกแล้วนะ
“ลูกเป็นความภูมิใจของแม่มาครึ่งชีวิต แต่พอมาถึงวัยนี้ กลับถูกครอบครัวหลี่ชุ่ยชุ่ยข้ามหัวไปเสียได้”
“ใจแม่เจ็บปวดเหลือเกิน ลูกต้องสู้ให้สุดความสามารถนะ ครอบครัวเราจะได้ไปเป็นคนใหญ่คนโตในอำเภอ”
เย่จื้อเฉียงกลับพูดว่า “คุณอย่าสร้างแรงกดดันให้เด็กมากนักเลย เรื่องอนาคตของเขาค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ”
“อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมากนัก เห็นพวกเขาก็หลบไกลๆ หน่อย อย่าไปหาเรื่องเองก็พอแล้ว”
“เหวินชาง ลูกอย่าสร้างแรงกดดันทางจิตใจนะ”
เย่เหวินชางแน่นอนว่าไม่มีแรงกดดัน
เขามีแผนการของตัวเองชัดเจน จะไม่ให้ใครมามีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของเขาได้
เย่จู๋นอนคว่ำอยู่ข้างๆ ฟังคำพูดของพ่อแม่
หล่อนไม่เข้าใจ
ชัดเจนว่าครอบครัวของอาสามจะไม่มาหาเรื่องแน่นอน…
หลังจากที่เย่เสี่ยวจิ่นได้เป็นหัวหน้าทีมแล้ว เธอก็ไม่ได้จงใจทำให้ลำบากเลยสักนิด
เช้านี้เย่เสี่ยวจิ่นไปที่สวนผลไม้ และเรียกเย่จู๋กับหลินลี่ลี่มาคุยเป็นการส่วนตัว
“พวกเธอสองคนไม่ต้องมาทำงานที่สวนผลไม้ในสองวันนี้นะ” เย่เสี่ยวจิ่นหยิบหนังสือพิมพ์ออกมา พร้อมกับเมล็ดพันธุ์สองชุด
“ตอนนี้เก็บเกี่ยวโหยวไช่ฮวาเสร็จแล้ว เตรียมพื้นที่ให้พร้อมก็ปลูกแตงโมได้แล้ว”
“พวกเธอสองคนช่วยจัดการเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดให้เรียบร้อยในสองวันนี้นะ เป็นงานที่หนักพอสมควร เพราะมีเมล็ดพันธุ์เยอะมาก”
หลินลี่ลี่รับเมล็ดพันธุ์มา “ได้ ฉันจะทำให้เสร็จภายในสองวัน”
เย่จู๋ก็พยักหน้า “ฉันก็ทำได้”
ทั้งสองคนถือเมล็ดพันธุ์กลับบ้านไป
การเพาะเมล็ดพันธุ์ อันดับแรกต้องนำเมล็ดแช่ในน้ำอุ่นเพื่อกระตุ้นให้งอก
นอกจากนี้ยังต้องขุดดินร่วนซุยจำนวนมากผสมกับมูลหมูหรือมูลวัว เพื่อใช้ในการเพาะต้นกล้า
นับเป็นงานที่ค่อนข้างเหนื่อยเล็กน้อย
ลูกท้อในสวนผลไม้ออกผลเล็กๆ กันหมดแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นจัดการให้พวกเขาเด็ดผลด้านข้างออกบ้าง แล้วเก็บผลที่ดีไว้ ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
ตามหลักแล้วควรจะห่อลูกสาลี่ด้วย
แต่เนื่องจากสาลี่พันธุ์นี้เป็นสาลี่หิน เนื้อแข็งมาก ไม่ต้องพูดถึงคนกัดไม่เข้า แม้แต่นกก็ไม่ค่อยชอบกิน และไม่ค่อยมีหนอนเข้าทำลายด้วย
ความแข็งแกร่งก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของสาลี่หินนี่แหละ
ในขณะที่กำลังยุ่งอยู่นั้น หยางเจวียนก็วิ่งมาอย่างรีบร้อน
“จิ่นเป่า เธอรีบมาเร็ว!”
เย่เสี่ยวจิ่นถามอย่างสงสัย “ป้าเจวียน มีอะไรหรือคะ? เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“คนจากหมู่บ้านข้างๆ มาแล้ว เป็นครอบครัวหลิว พ่อแม่พี่สาวหลิวของเธอมาแล้ว”
“พวกเขามาเยี่ยมหลิวเยว่ กำลังเดินขึ้นมาจากข้างล่างนี่แหละ”
“เธอรีบไปบอกพ่อของเธอหน่อยสิ”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “คนจากครอบครัวหลิวเหรอคะ?”
เธอรีบขึ้นไปเรียกพ่อและหลิวเยว่ทันที
ด้านล่างสวนผลไม้ หลิวคังยืนมองสวนผลไม้อยู่คนเดียว ในใจรู้สึกเจ็บปวด
เขาเป็นห่วงลูกสาว จึงแอบมาเยี่ยมลูกสาวโดยไม่บอกคนที่บ้าน
เขายังจำได้ว่า เมื่อก่อนนั้นหลิวเยว่เรียนหนังสือด้วยความขยันขันแข็งเสมอ โดยไม่ต้องให้ครอบครัวเสียเงิน
แต่ว่า… พวกเขาได้ทำลายอนาคตของหล่อนเสียแล้ว
ตอนนี้หล่อนถึงกับยอมอยู่ในครอบครัวคนแปลกหน้า เพียงเพราะเงินสิบหยวน
เขารอคอยอยู่ พอได้ยินเสียงแล้วจึงมองไป
ก็เห็นหลิวเยว่สวมเสื้อคลุมตัวใหม่เดินลงมาจากภูเขา ผมถักเป็นเปียสีดำขลับ
สีหน้าหล่อนดูสดใสกว่าที่เคยเป็น ถึงขนาดอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นเล็กน้อย
“เสี่ยวเยว่”
สีหน้าของหลิวเยว่ดูลังเลและเศร้าใจ “พ่อ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันได้ตอบแทนบุญคุณของพวกคุณหมดแล้ว อย่ามาหาฉันอีกเลย”
“ฉันไม่อยากใช้ชีวิตครึ่งหลังของตัวเองด้วยการช่วยเหลือพี่ชายของฉันอยู่ตลอดเวลา”
“การที่พวกคุณไม่มาหาฉันนับเป็นความหวังดีต่อฉัน เป็นการมอบอิสระให้ฉันแล้ว”
สายตาของหลิวคังฉายแววเจ็บปวด “เสี่ยวเยว่ พวกเราจะไม่ทำแบบนั้นแล้ว…เรื่องเงินสิบหยวนนี้ เป็นเพราะพี่ชายของลูกกำลังจะแต่งงาน…”
เย่จื้อผิงมองดูสถานการณ์
“พวกเรายังมีงานยุ่งอยู่ในสวนผลไม้นี้ จิ่นเป่า ลูกพาพี่สาวกับลุงหลิวกลับบ้านไปนะ พอดีจะได้กินข้าวเที่ยงด้วย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ได้ งั้นกลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า”
“ไม่ค่ะ ฉันจะทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับ” หลิวเยว่ทำงานมาครึ่งวันแล้ว ถ้าตอนนี้กลับไปเลยก็คงไม่ดีที่จะขอคะแนนงาน
สุดท้าย เย่เสี่ยวจิ่นก็พาหลิวคังกลับบ้านไป
หลิวคังเห็นบ้านของตระกูลเย่แคบขนาดนี้ ก็อดถอนหายใจไม่ได้
เขานึกตำหนิตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณลุงคะ อย่าเสียใจไปเลย พี่สาวเสี่ยวเยว่อยู่สุขสบายดีที่บ้านของพวกเรา”
“หล่อนอยู่ห้องนั้นคนเดียว พี่ชายหนูไม่ได้ให้พี่สาวทำอะไรเลย”
“ถ้าหล่อนอยากกลับบ้านก็สามารถกลับไปได้ทุกเมื่อ”
หลิวคังงงเล็กน้อย “หนูหมายความว่า…พวกเขา…พวกเขาแยกห้องนอนกันเหรอ?”
“แน่นอนสิคะ พวกเรากำลังจะขยายบ้าน ต้องรอให้บ้านเสร็จก่อน พี่ชายใหญ่ถึงจะแต่งงานได้”
“พี่ชายใหญ่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยอยู่กับพี่สาวเสี่ยวเยว่ตามลำพังเลย คุณลุงวางใจได้เลยค่ะ”
หลิวคังไปดูห้องที่หลิวเยว่อาศัยอยู่ และพบว่ามีเพียงข้าวของของหล่อนเท่านั้น
ส่วนเย่จวินยังคงนอนเตียงรวมกับพี่น้องคนอื่นๆ
“แม้ว่าบ้านของพวกเราจะเล็ก แต่ก็มีทุกอย่างที่จำเป็น”
หลิวคังพยักหน้า เพียงแค่ท่าทีที่พวกเขาให้เกียรติผู้อื่น ก็ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นมากแล้ว
อย่างน้อยรู้ว่าลูกสาวปลอดภัยดีก็ดีแล้ว
ไม่นานนัก เย่จวินและเย่ฉางอันก็กลับมา
เย่จวินเห็นชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็จำได้ทันที “ลุงหลิว คุณมาแล้วหรือ?”
หลิวคังเห็นเย่จวินก็รู้ว่าเขาเก่งกว่าเย่ว่านหยวนมากนัก
“ฉันแค่มาดูหน่อย พวกเธอไม่ต้องสนใจฉันหรอก”
“จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะครับ?” เย่จวินยิ้มเล็กน้อย “ผมจะไปทำอาหาร คุณลุงนั่งรอสักครู่ เดี๋ยวมากินข้าวด้วยกันนะครับ”
“พอดีช่วงนี้แม่ผมกำลังรมควันเนื้อตากแห้ง เนื้อตากแห้งตุ๋นกับหน่อไม้อร่อยมากเลยนะครับ”
เย่ฉางอันพูดต่อ “ใช่แล้ว พี่ชายของผมก็ฝีมือไม่เลวเหมือนกัน ลุงหลิวรอชิมได้เลยครับ!”
ครอบครัวเย่ต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น
ไม่ใช่แค่กับหลิวคังเท่านั้น พวกเขาต้อนรับแขกทุกคนอย่างสมเกียรติ
หลิวคังรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาพูดกับเย่เสี่ยวจิ่นว่า “พี่ชายทั้งสองคนของเธอนิสัยดีจังเลยนะ”
“ใช่ค่ะ คุณลุงยังไม่ได้เจอพี่ชายสามของหนูเลย พี่สามของหนูก็ดีมาก เรียนเก่งมากด้วย”
“เรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมต้าหลี่ สอบได้ที่หนึ่งด้วยนะคะ ถ้าคิดดูแล้วก็เรียนฟรีเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดถึงพี่ชายของเธอด้วยความภาคภูมิใจ “พี่ใหญ่ของหนูก็ขยันและเก่งมาก ส่วนพี่รองก็พูดจาไพเราะ”
หลิวคังอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เมื่อหลี่ชุ่ยชุ่ยกลับมา เย่จวินก็กำลังผัดอาหารอยู่แล้ว
“เฮ้อ ไข่คราวนี้ฟักไม่ค่อยดีเลย”
“จิ่นเป่า ลุงเซี่ยถามว่าเมื่อไหร่หนูจะไปดูสักหน่อย อัตราการฟักของลูกไก่ไม่ค่อยดีเลย”
“วันนี้หลินจวนยังทะเลาะกับเซี่ยเฟยฟานอีกด้วย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังพูดอยู่ แล้วเห็นหลิวคัง “อ้าว พี่หลิว คุณมาเยี่ยมเสี่ยวเยว่ใช่ไหมคะ?”
หลิวคังยิ้มพลางตอบว่า “ใช่ครับ เด็กคนนี้ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ได้มีท่าทีจะรั้งไว้ “นั่นสิ เด็กๆ ก็ควรกลับไปเยี่ยมเยี่ยมบ่อยๆ นะ”
“ต่อไปฉันคงไม่อยากให้ลูกสาวฉันออกไปไหนเหมือนกัน”
“ลูกชายสามคนของฉันออกไปข้างนอกฉันไม่กลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าลูกสาวไม่อยู่ข้างๆ ฉันคงนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรักลูกสาวเหมือนชีวิต
หลิวคังพยักหน้า “พวกเราทำผิดต่อเสี่ยวเยว่ เอาเงินบ้านคุณไปสิบหยวน…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สิบหยวนก็ไม่ได้มากเท่าไหร่” หลี่ชุ่ยชุ่ยนั่งลง “คุณดูสิ เรียนมัธยมต้นหนึ่งเทอมก็ต้องใช้เงินแปดหยวนแล้ว”
“ฉันได้ยินมาว่าคนในเมืองหนึ่งเดือนก็ใช้เงินสิบหยวนเชียวนะ”
“เป็นเพราะทำนาไม่ได้มีรายได้มากนัก ไม่งั้นเงินสิบหยวนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้มากหรอก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางยิ้ม “คุณวางใจได้ ครอบครัวเราไม่ได้บังคับเสี่ยวเยว่หรอกค่ะ”
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความคิดของเด็กสองคนเอง ถ้าไม่เหมาะสมกัน เสี่ยวเยว่ทำงานหนึ่งปีก็พอคืนสิบหยวนนี้แล้ว พวกเราก็จะไม่พูดถึงเรื่องสิบหยวนนี้อีก”
“ถ้าเหมาะสมกัน ปีหน้าพวกเราก็จะขยายบ้าน ทำห้องแยกให้พวกเขาอยู่ รับรองว่าจะดูแลลูกสาวบ้านคุณเป็นอย่างดี”
หลิวคังบีบชายเสื้อแน่น คำพูดของหลี่ชุ่ยชุ่ยทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจ
สิบหยวน…
จริงๆ แล้วถ้าพูดออกมาก็ไม่ได้มากมายอะไร
แต่… ครอบครัวของพวกเขากลับไม่สามารถหาเงินสิบหยวนได้!
งานแต่งงานของลูกชายกำลังจะมาถึง ก็เลยทำให้ครอบครัวต้องทำเรื่องแบบนี้ออกมา
หลิวคังไม่กล้าพูดว่า ครอบครัวกำลังเตรียมงานแต่งให้ลูกชาย
จัดการเรื่องบ้าน ครอบครัวยังเป็นหนี้อีกไม่น้อย
สิบหยวนนี้ก็เป็นสินสอดที่ฝ่ายหญิงต้องการ
“ขอบคุณจริงๆ ที่พวกคุณดูแลเสี่ยวเยว่เป็นอย่างดี ผมขอบคุณพวกคุณจากใจจริง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบโบกมือ “อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ เสี่ยวเยว่ขยันและฉลาด คุณดูสิ ดอกสายน้ำผึ้งพวกนั้นก็เป็นหล่อนที่เก็บมาทั้งนั้น”
“ไม่กี่วันมานี้ หล่อนขึ้นเขาไปเก็บในตอนเที่ยงทุกวัน ตากแห้งแล้วก็ได้ประมาณ 56 ชั่ง ถ้าเก็บเพิ่มอีกหน่อย ก็จะได้เงินอีกสองสามหยวน”
“หล่อนสามารถหาเงินสิบหยวนเองได้”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถึงกับรู้สึกงุนงง ทำไมครอบครัวของพวกเขาถึงยอมยกลูกสาวให้แต่งงานเพื่อเงินแค่สิบหยวน
ที่จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลูกชาย…
เงินทุกเฟินในบ้านล้วนใช้ไปกับลูกชายทั้งนั้น
ติดหนี้สินท่วมหัว แล้วจะเก็บเงินได้ที่ไหนกัน?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สบายใจได้แล้วนะคะคุณพ่อ โชคดีที่ลูกสาวได้อยู่กับครอบครัวดีๆ
ไหหม่า(海馬)
……….