ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 113 แม่ใช้จักรเย็บผ้าตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 113 แม่ใช้จักรเย็บผ้าตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่
บทที่ 113 แม่ใช้จักรเย็บผ้าตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่
……….
บทที่ 113 แม่ใช้จักรเย็บผ้าตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่
เย่หวายช่วยทำความสะอาด
หยางหยางพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “รู้ไหม? สามอันดับแรกในทุกการสอบจะได้รับประกาศนียบัตรและเงินรางวัลด้วยล่ะ เธอต้องทำให้ดีที่สุดนะ”
เย่หวายรู้สึกสนใจ “ผลการเรียนของผมคงไม่ดีพอหรอก”
หยางหยางปลอบใจเขาอีกสองสามประโยค “เธอนี่นะ แต่ก่อนออกจะมั่นใจนักหนา ทำไมตอนนี้ถึงชอบคิดมากขนาดนี้ล่ะ รอสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เวลาสอบมาถึงอย่างรวดเร็ว
ตอนอยู่ที่บ้าน เย่เสี่ยวจิ่นเน้นสอนวิธีการเรียนและทำโจทย์ให้เขา
เธอมักจะออกโจทย์ให้เขาทำอยู่เสมอ
พอเปิดข้อสอบครั้งนี้ เขาก็เขียนคำตอบได้อย่างคล่องแคล่วราวกับมีเทวดาดลใจ
หยางหยางกำลังเดินตรวจตราระเบียบการสอบ เมื่อเห็นเย่หวายกำลังเขียนคำตอบด้วยสีหน้าสดใสและดวงตาเปล่งประกาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
วันสอบกลางภาคผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเย่หวายสอบเสร็จ เขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปจากความคิด
กลับถึงบ้านก็ช่วยทำงานบ้าน
เย่จื้อผิงกลับมาจากในเมืองแล้ว กำลังช่วยหลี่ชุ่ยชุ่ยหมักเนื้อหมูเข้ากับเกลือ
“เสี่ยวหวาย วันนี้กลับมาเร็วจังนะ?”
“วันนี้สอบเสร็จก็เลิกเรียนแล้วครับ” เย่หวายพูดพลางไปช่วยจุดไฟต้มน้ำ
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบถาม “ลูกสอบเป็นยังไงบ้าง?”
“แต่ก่อนพี่เหวินชางของลูกสอบติดสามอันดับแรกทุกครั้งในตอนเรียนที่โรงเรียนมัธยมต้าหลี่เลยนะ”
“ผมไม่รู้ครับ รู้สึกว่าก็พอใช้ได้” เย่หวายเกาหัวอย่างเขินอาย
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะพลางพูดว่า “พอดีเลย นี่ก็ปลายเดือนเมษายนแล้วไม่ใช่หรือ? เหวินชางก็จะกลับมาพักช่วงสุดสัปดาห์นี้ด้วย ลูกลองไปถามเขาดูสิว่าโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งในเมืองเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนที่พวกเราเข้าเมืองก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าที่นั่นถ้าสอบได้คะแนนดีก็ได้เรียนฟรีด้วยนะ”
เย่หวายชะงักไปครู่หนึ่ง “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยคิดแล้วก็เห็นดังนั้นจริง จึงไม่พูดอะไรต่อ
ถ้าเกิดหลี่กุ้ยฮวาฉวยโอกาสเยาะเย้ยอีก ก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
เย่เสี่ยวจิ่นกลับมาแล้ว
“แม่คะ หนูหิวจังเลย! วันนี้หนูตามผู้ใหญ่บ้านไปประชุมในหมู่บ้าน หนูเกือบจะหลับไปแล้ว”
เธอพูดพลางเดินเข้าบ้าน “ว้าว ซื้อเนื้อมาเยอะแยะเลยนะคะ?”
“เจ้าเด็กนี่ ดูมือเปื้อนโคลนของลูกสิ” หลี่ชุ่ยชุ่ยมองเธอแวบหนึ่ง “รีบมานี่ แม่จะล้างมือให้”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดู “วันนี้หนูไปขุดดินมา อีกหน่อยจะปลูกแตงโมแล้วไม่ใช่เหรอ หนูเห็นว่าดินแห้งผากไปหมด ก็เลยไปขุดดูหน่อย”
“เพิ่งเก็บเกี่ยวโหยวไช่ต้นฤดูเสร็จ ผลผลิตก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
เย่จื้อผิงเองก็คิดว่าถึงเวลาต้องปลูกแตงโมแล้วจริงๆ
“พวกลูกประชุมเรื่องการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิกันแล้วใช่ไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ใช่ แล้วหนูก็เจอเซี่ยวเยว่ในที่ประชุมด้วย หล่อนมาหาเรื่องหนู แต่หนูก็ด่ากลับไปยกใหญ่”
“จิ่นเป่าเอ๋ย เป็นเด็กผู้หญิงทำไมชอบด่าคนอื่นนักล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นแลบลิ้น “ก็ถ้าหล่อนไม่มาหาเรื่องหนู หนูก็ไม่ตอบโต้หล่อนกลับหรอก”
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างยุ่งอยู่กับการทำเกษตรกรรม
ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดและเหนื่อยที่สุดของครึ่งปีแรก
ซุนจ่างซุ่นอยู่ในทีม มองเมล็ดโหยวไช่ที่เก็บเกี่ยวแล้วถูกตากอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ ก่อนพูดกับกัวชิงซงว่า “ผลผลิตเมล็ดโหยวไช่ปีนี้ไม่ค่อยดีเลย ไม่รู้ว่าต่อไปจะหนาวอีกไหม”
“ช่วงที่จะปลูกข้าวก็ต้องรอให้อากาศดีหน่อย ไม่งั้นมันจะหนาวเกินไป”
“ครับ” กัวชิงซงพยักหน้า “ผมฟังพยากรณ์อากาศจากวิทยุ บอกว่าช่วงนี้จะเป็นวันที่อากาศดีทั้งนั้น”
ซุนจ่างซุ่นพยักหน้า “ฉันเห็นจิ่นเป่าช่วงนี้ยุ่งอยู่ในสวนผลไม้ บอกว่าหล่อนปลูกอะไรสักอย่าง… เมล่อนหรือ?”
“ไม่รู้ว่าจะแตกต่างจากแตงโมมากไหม”
กัวชิงซงก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ก๊าบ ๆๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นไล่ต้อนเป็ดกลับเข้ากรง
เป็ดพวกนี้โตเร็วอย่างน่าตกใจ เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งเดือนกว่าๆ แต่ละตัวก็หนักเกินหนึ่งชั่งแล้ว
พวกมันยังกินจุขึ้นมากด้วย ไม่ทันไรอาหารเป็ดก็หมดอีกแล้ว
“จิ่นเป่า นี่จูเฉ่าที่เธอต้องการ” เย่ฉางอันแบกจูเฉ่ามาเต็มบ่า เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วพูดว่า “ช่วงนี้มีแต่คนแย่งเก็บจูเฉ่ากันเยอะเลยนะ ฉันต้องวิ่งไปไกลมากกว่าจะหาเจอ”
“เห็นหลายคนทำเรื่องนี้กัน ดีนะที่ฤดูใบไม้ผลิมันโตเร็ว”
เขาเดินไปที่คอกเป็ด มองดูเป็ดตัวอ้วนๆ แล้วพูดว่า “กินเยอะเกินไปแล้วมั้ง ฉันเพิ่งเอาจูเฉ่ามาให้เมื่อสามวันก่อนไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่แล้ว แต่ว่าสามวันก่อนฉันไม่ได้ทำแค่อาหารเป็ด ยังทำอาหารไก่ด้วยนะ!”
“พวกเรามีไก่ 60 ตัว เป็ด 30 ตัว ที่กินไปก็ถือว่าประหยัดมากแล้วนะ”
เย่ฉางอันส่ายหัวแล้วพูดว่า “ทำไมก่อนหน้านี้ไม่มีใครใช้จูเฉ่าเลี้ยงไก่เป็ดกันนะ?”
“เพราะว่า…” เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ถ้าไม่มีอาหารสัตว์ ใครจะเลี้ยงไก่เป็ดให้โตได้ด้วยการกินแต่หญ้าล่ะ?
เธอทำท่านิ่งขรึมแล้วพูดว่า “งั้นพี่ก็ลองคิดดูเองสิ”
เย่ฉางอันคิดไม่ออก เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าเป็นเพราะ…ไม่มีใครกล้าเท่าเธอน่ะสิ”
“การทำเรื่องใหญ่ ต้องมีความกล้าถึงจะสำเร็จนะ”
“จิ่นเป่า เธอว่าจริงไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นโต้แย้งว่า “ไม่ใช่หรอกค่ะ ต้องมีการเตรียมตัวอย่างดีก่อนถึงจะสำเร็จ!”
เย่ฉางอันหัวเราะคิกคัก แล้วเถียงกับเธอ
พี่น้องทั้งสองคุยกันครึ่งวัน เหมือนไก่กับเป็ดที่คุยกันไม่รู้เรื่อง
ลูกเป็ดและลูกเจี๊ยบมองดูพวกเขาทั้งสอง ไม่รู้ว่าคนทั้งสองกำลังทำอะไรกัน
อาหารเย็นวันนี้มีเนื้อผัด
ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนกลางคืน หลี่ชุ่ยชุ่ยก็อยู่ในห้อง กำลังใช้สายวัดวัดขนาดตัวของเย่เสี่ยวจิ่น
“ช่วงนี้จิ่นเป่าโตขึ้นมากเลยนะ พอกินอิ่มนอนอุ่น ก็เหมือนได้รับการบำรุงตามมาด้วย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า ปล่อยให้แม่วัดตัวไปมา
ก่อนจะนำขนาดที่วัดได้ไปตัดผ้า
เย่จื้อผิงถือน้ำร้อนเข้ามาในห้อง “จิ่นเป่า มากินยาหน่อย”
เย่เสี่ยวจิ่นถอยหลังไปหลายก้าว แล้วมุดเข้าไปในผ้าห่ม เหลือแค่ก้นโผล่ออกมา
“หนูไม่กินยาหรอก หนูหายดีแล้ว”
ยาเม็ดสมัยนี้มีขนาดใหญ่มาก แถมข้างนอกไม่มีน้ำตาลเคลือบด้วย
กินลงไปเม็ดเดียวก็แทบจะติดคอตาย
เธอรู้สึกต่อต้านการกินยามาก
เย่จื้อผิงนั่งอยู่ข้างเตียง “จิ่นเป่า ขาพ่อไม่ค่อยดี พ่อดึงลูกออกมาไม่ได้”
“ลูกต้องเป็นเด็กดีมากินยาเอง ไม่อย่างนั้นน้ำร้อนจะเย็นหมดนะ”
“ถ้าต้องผสมน้ำเย็นเดี๋ยวจะยิ่งกินยาก”
เย่เสี่ยวจิ่นส่งเสียงครางเบาๆ “หนูไม่อยากกินจริงๆ นะคะ เก็บไว้ก่อนเถอะค่ะ รอหนูป่วยแล้วค่อยกิน”
หลี่ชุ่ยชุ่ยวางกรรไกรลง แล้วเปิดผ้านวมออก
หล่อนพูดปลอบ “งั้นให้พ่อแบ่งยาเป็นสองส่วนนะ จะได้กินง่ายขึ้น”
เย่จื้อผิงรีบทำตามทันที หักยาเม็ดใหญ่ในมือเป็นสองชิ้น
เย่เสี่ยวจิ่นทำหน้าเบ้ ยังไม่ทันได้กินก็นึกถึงรสชาติขมที่น่ากลัวแล้ว
“งั้นกินแค่ครึ่งเดียวนะ เด็กๆ ไม่ควรกินยามากเกินไป”
“พ่อคะ ถ้าแบ่งยาเป็นสามส่วนมันจะยิ่งเลวร้ายนะคะ”
เย่จื้อผิงพยักหน้า “ได้ ลูกพูดถูกแล้ว ยังไงพ่อก็เถียงลูกไม่ชนะอยู่ดี”
เย่เสี่ยวจิ่นหยิบยามาครึ่งหนึ่งโยนเข้าปาก แล้วรีบดื่มน้ำตามอย่างบ้าคลั่ง
“ในที่สุดก็กินจนได้ เห็นไหมว่าลูกก็แค่ขี้เกียจกิน” หลี่ชุ่ยชุ่ยลูบหัวเธออย่างไม่เกรงใจ “กินยาแล้วรีบนอนนะ อีกไม่กี่วันเสื้อผ้าใหม่ก็จะเสร็จแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นมุดเข้าไปในผ้าห่ม “ก็ได้ค่ะ”
เสียงจักรเย็บผ้าที่หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังใช้งานดังอยู่ตลอดทั้งค่ำคืน
ในความฝันครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยถือไฟฉายกำลังยุ่งอยู่
เย่เสี่ยวจิ่นพึมพำ “แม่ เลิกทำเถอะ ไปนอนเถอะค่ะ…”
“ทำงานตอนกลางคืนไม่ดีต่อสายตานะ…”
เธอพูดจบอย่างงัวเงีย แล้วพลิกตัวนอนต่อ
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองดูร่างเล็กๆ บนเตียงขณะตัดเย็บเสื้อผ้าใกล้จะเสร็จแล้ว
พรสวรรค์ในการเย็บปักของหล่อนสูงกว่าที่คิดไว้มาก
ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา หล่อนได้ตัดเย็บเสื้อผ้าและกางเกงของเย่เสี่ยวจิ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอหลับสนิท
เมื่อเย่เสี่ยวจิ่นตื่นขึ้นมา ก็เห็นชุดใหม่วางอยู่ข้างเตียง
เสื้อผ้าเป็นลายดอกไม้เล็กๆ สีฟ้า ซึ่งเย่จื้อผิงเลือกผ้าคุณภาพดีให้เธอเท่านั้น
พอเย่จื้อผิงได้ยินว่าผ้านี้ใส่สบายเหมาะสำหรับเด็กเล็กในบ้าน เขาก็ซื้อมาทันที
คิดในใจว่าจิ่นเป่าเป็นเด็กผู้หญิง ควรได้ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าคุณภาพดีหน่อย
ส่วนกางเกงเป็นกางเกงผ้าฝ้ายลินินสีดำ ซึ่งใส่สบายและระบายอากาศได้ดีเช่นกัน
เย่เสี่ยวจิ่นหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างตื่นเต้นดีใจ พบว่าพอดีตัวเป๊ะเลยทีเดียว
รอยตะเข็บของเสื้อผ้าล้วนประณีตเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าทุกฝีเข็มล้วนทำด้วยความตั้งใจและใส่ใจอย่างยิ่ง
ทันทีที่เธอออกจากประตู เธอก็เห็นเย่หวาย และรีบคว้ามือของเขาไว้
“พี่ชายสาม ดูดีไหมคะ?”
เย่หวายมองดูเสื้อผ้าที่น้องสาวสวมใส่ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “สวยมาก เสื้อผ้าใหม่ของจิ่นเป่าสวยจริงๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะหมุนตัวรอบหนึ่ง “ฝีมือของแม่ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ หนูชอบมากเลย”
“ต่อไปหนูจะให้แม่ตัดเสื้อผ้าสวยๆ ให้ทุกครั้งเลย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จิ่นเป่าได้เสื้อผ้าใหม่แล้ว จะเอาไปอวดทั่วหมู่บ้านไหมนี่
ไหหม่า(海馬)
……….