ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 111 อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 111 อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
บทที่ 111 อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
……….
บทที่ 111 อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
งานในสวนผลไม้เสร็จเรียบร้อยแล้วเกือบหมด อีกทั้งครอบครัวของเย่ว่านหยวนก็ไม่ได้ถูกนับเป็นเรื่องสำคัญอีกต่อไป
แม้เซี่ยวเฟินฟางจะไม่มีสีหน้าที่ดีเมื่อเห็นพวกเขา แต่เย่เสี่ยวจิ่นกลับมองพวกเขาเหมือนอากาศธาตุ
เธอจึงไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย
วันนี้เป็นอีกวันที่งานเสร็จสิ้นในช่วงเที่ยง เย่เสี่ยวจิ่นจึงเรียกหลิวเยว่ให้กลับบ้านไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน
“พ่อ พี่สาว กลับบ้านกินข้าวเที่ยงกันเถอะค่ะ”
เย่จื้อผิงตอบรับ “มาแล้ว”
หลิวเยว่ก็ตามพวกเขาออกไปที่สวนผลไม้ด้วย
หล่อนทำงานอย่างขยันขันแข็ง และยังเป็นคนฉลาด ทุกคนจึงชอบหล่อนมาก
ไม่นานหล่อนก็คุ้นเคยกับทุกคนในสวนผลไม้
เย่จื้อผิงมองดูแสงแดด “อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ ต้องใส่เสื้อผ้าบางลงหน่อยแล้ว ตอนบ่ายไม่ต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ แบบนี้แล้ว ร้อนมาก”
เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “พวกพี่ชายของเธอกำลังทำนาอยู่ในทีม ซึ่งช่วงนี้ก็น่าจะต้องไถพรวนที่นาของทีม แถมยังต้องถอนกล้า ปลูกข้าวอีก คงจะเหนื่อยกันมากเลย”
“ฉันเลยคิดว่าพรุ่งนี้ตอนที่ไปขายสตรอว์เบอร์รีในเมืองจะซื้อเนื้อกลับมาเยอะๆ หน่อย ทำเป็นเนื้อตากแห้งกับเนื้อแดดเดียวเอาไว้กินตอนยุ่งๆ ในฤดูใบไม้ผลิ”
หลิวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วสงสัย “ตอนนี้ราคาเนื้อไม่ใช่ 4 เหมาต่อชั่งแล้วเหรอคะ?”
หล่อนรู้สึกว่า… ตระกูลเย่จนมากเลยไม่ใช่หรือ?
พวกเขาจะมีปัญญาซื้อเนื้อได้อย่างไร?
“ในเมื่อมันราคา 4 เหมาต่อชั่ง งั้นพวกเราซื้อสัก 10 ชั่ง ให้ป้าสะใภ้ของเธอทำเป็นเนื้อแดดเดียวเก็บไว้”
เย่จื้อผิงมีแนวคิดการใช้จ่ายอย่างประหยัดมัธยัสถ์มาก
แต่เย่เสี่ยวจิ่นมักจะบอกพวกเขาเสมอว่ามีเงินก็ต้องใช้ เก็บก้อนใหญ่ ใช้ก้อนเล็ก
ซึ่งพวกเขาก็คิดว่าจิ่นเป่าพูดถูก
“ซื้อ 10 ชั่งพอหรือคะ? บ้านเรามีคนตั้งเยอะ พรุ่งนี้ขายสตรอว์เบอร์รีก็น่าจะได้เงินสัก 10 กว่าหยวน ซื้อเนื้อ 20 ชั่งมาทำเป็นเนื้อแดดเดียวไปเลย ยังไงเนื้อแดดเดียวก็เก็บไว้ได้นาน”
เธอนับนิ้วคำนวณ “พอถึงปลายเดือนพฤษภาคม พวกเราก็จะได้กินไก่แล้ว”
เย่จื้อผิงรีบพูดว่า “เราจะใช้เงินหมดได้ยังไงล่ะ?”
เขารู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“แต่ว่าพ่อคะ…หนูชอบกินเนื้อจริงๆ นะ” เย่เสี่ยวจิ่นพูดเสียงอ้อน
“งั้นส่วนของพ่อกับแม่ก็ให้ลูกกินหมดเลย”
หลิวเยว่รู้สึกงุนงงไปหมด
บ้านของหล่อนถือว่ามีฐานะดีกว่าบ้านของตระกูลเย่อีกมาก แต่ทุกปีจะได้กินเนื้อก็ต่อเมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ที่หมู่บ้านแจกจ่ายเท่านั้น
ทั้งครอบครัวได้รับแค่ 10 กว่าชั่ง คนมากขนาดนั้น พอมาถึงตัวเองก็แทบไม่เหลือให้กิน
แต่ตระกูลเย่กลับมีเงินซื้อเนื้อมากินด้วยเหรอ?
ทั้งสามคนกำลังเดินอยู่
ไม่คาดคิดว่าเมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาจะพบว่าเย่จวินกำลังคุยอยู่กับครอบครัวหนึ่ง
เย่จวินไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขา ตรงหน้าเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูออกว่าเป็นสาวเมืองกรุง
เย่จื้อผิงสงสัย “ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เคยมาดูตัวกับพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ ดูเหมือนว่าเป็นคนตระกูลหลี่อะไรสักอย่าง พวกเราไปดูหน่อยแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อย่าเพิ่งรีบค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นรีบดึงเย่จื้อผิงไว้ “พวกเราฟังก่อนว่าพวกเขาพูดอะไรกัน”
เธอจำได้ว่าตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยไว้หน้าพี่ใหญ่สักเท่าใด
ทำไมตอนนี้ถึงได้มาคุยกันอีกล่ะ?
หลิวเยว่มองไปทางนั้นด้วยความกังวลใจ
แสงแดดร้อนจัดฉายบนพื้นถนน จึงไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนัก
“คุณมีธุระอะไรก็ว่ามา” เย่จวินยืนอยู่บนถนน สีหน้าท่าทางดูใกล้หมดความอดทน “ผมยุ่งมาก ต้องไปแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน คุณจะรีบร้อนทำไม? แม่สื่อไม่ได้บอกคุณหรือ?”
หลี่หย่าผิงมองดูเย่จวิน “ฉันคิดว่าคุณคงจะใช้เวลาคิดทบทวนสักสองสามวันแล้วเข้าใจสถานะของตัวเองแล้วเสียอีก ไม่คิดเลยว่าคุณจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ยังคงทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนเดิม”
“สถานการณ์ครอบครัวของคุณแบบนั้น นอกจากฉันแล้วใครจะเหลียวมองคุณล่ะ?”
สวีเหม่ยแม่ของหล่อนก็จ้องมองเย่จวินตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน
“ตัวเธอน่ะรูปร่างหน้าตาก็ไม่เลวเลย เสียแต่นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“หญิงสาวอย่างหย่าผิงของเรานี่สำหรับคนบ้านนอกอย่างเธอแล้ว ก็ถือว่าเป็นหงส์ขาวเลยนะ”
“คิดเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์เหรอ เธอควรจะรู้จักประมาณตนหน่อย”
เย่จวินถูกพวกหล่อนเยาะเย้ยอีกครั้ง สีหน้าจึงเคร่งเครียด “ผมไม่มีความคิดอะไรกับลูกสาวของคุณ ได้โปรดอย่ามารบกวนผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเลยครับ”
“ครอบครัวของพวกคุณจะรวยแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมเองก็ไม่สนใจด้วย ใครอยากเป็นลูกเขยพวกคุณก็ให้พวกเขาเป็นไป”
หลี่หย่าผิงชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกอับอายและโกรธขึ้นมา
หล่อนมีมาตรฐานสูง ทำให้ตอนนี้อายุกว่า 20 แล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการหาคู่
ในเมือง หล่อนไม่สูงส่งพอสำหรับคนดี ๆ แต่ก็ไม่ต่ำต้อยพอสำหรับคนธรรมดา คนดี ๆ ไม่สนใจหล่อน ส่วนคนธรรมดาหล่อนก็ไม่สนใจ
มาถึงขั้นต้องหาเขยเข้าบ้าน หล่อนก็ยังเลือกเฟ้นแต่คนที่ดูดี
เย่จวินหน้าตาไม่เลว รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาสง่างาม
หล่อนชอบมาก
แต่นิสัยแบบนี้ หล่อนทนไม่ไหวแน่
“คุณแน่ใจนะว่าไม่ยอม?”
เย่จวินพยักหน้า “ใช่ ผมไม่ยอม”
สวีเหม่ยแค่นเสียงหึ “ลูกจ๋า อย่าไปสนใจเขาเลย มันก็แค่ไอ้บ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
“เขาไม่คู่ควรกับลูกหรอก แม่จะหาคนที่ดีกว่านี้ให้ พวกเรายังเลือกได้อีกเยอะ เลือกจนกว่าจะพอใจ”
หลี่หย่าผิงพยักหน้า จ้องเย่จวินด้วยสายตาดุดัน “ไอ้บ้านนอก เสียใจแย่เลยสิที่พลาดฉันไป บ้านนายมันก็แค่ซากปรักหักพัง จะมีใครยอมแต่งงานกับนายได้ยังไง”
“เป็นโสดไปจนตายเถอะ!”
สามคนนั้นเดินเข้ามาแล้ว
หลิวเยว่รู้สึกโมโห “ทำไมคุณพูดจาน่าเกลียดแบบนี้? เย่จวินเป็นคนดีมาก มีคนตั้งมากมายอยากแต่งงานกับเขา”
“เธอเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาพูดตรงนี้?” หลี่หย่าผิงมองหลิวเยว่อย่างรำคาญ
“ฉัน…”
“นี่คือพี่สะใภ้ในอนาคตของฉัน” เย่เสี่ยวจิ่นเกี่ยวแขนหลิวเยว่ “พี่ใหญ่ พวกเรารีบกลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะ อย่าอยู่ริมถนนนานนัก เดี๋ยวจะโดนหมาบ้ากัด”
สวีเหม่ยหัวเราะเยาะเบาๆ แล้วขวางทางเย่เสี่ยวจิ่น
“เด็กน้อย เธอรู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร?”
“หนูจำเป็นต้องรู้ด้วยหรือ?”
สวีเหม่ยหัวเราะเบาๆ สายตาเชิดขึ้นอย่างยโส “ฉันจะบอกให้นะ ครอบครัวของเธอหาเงินได้ปีละ 100 หยวน แต่เงินเท่านี้สำหรับพวกเรามันแค่ค่าใช้จ่ายเดือนเดียวเท่านั้น”
“พวกเราเป็นคนรวยในเมือง ไม่เหมือนคนบ้านนอกอย่างพวกเธอหรอก อย่างเสื้อผ้าที่พวกเธอใส่นี่ก็ต้องตัดเองทั้งนั้น แต่พวกเราไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากร้าน”
“วิถีชีวิตของพวกเราแตกต่างจากพวกเธอโดยสิ้นเชิง”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าเบาๆ “พี่ชายใหญ่ของหนูขยันและทุ่มเท พี่ชายรองฉลาดและคล่องแคล่ว ส่วนพี่ชายสามก็ตั้งใจเรียนและมุ่งมั่น”
“ส่วนหนู แม้อายุยังน้อยแต่ก็ฉลาดเกินตัว”
“พวกเราพยายามกันอย่างหนัก นี่คือความสุขที่พวกเศรษฐีใหม่อย่างคุณไม่มีทางเข้าใจหรอก”
สีหน้ายิ้มแย้มของสวีเหม่ยแข็งค้าง ไม่คิดว่าจะถูกเรียกว่าเศรษฐีใหม่
“เธอลองขอโทษฉันดีๆ แล้วฉันจะสนับสนุนให้เธอเข้าเรียนชั้นประถม เอาไหม?ครอบครัวของเธอคงส่งเธอเรียนไม่ไหวสินะ? แต่ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ มันก็แค่คำพูดคำเดียวของฉันเท่านั้นเอง”
“ฮึ” เย่เสี่ยวจิ่นกลอกตา “หนูเกลียดพวกเศรษฐีใหม่ที่สุดเลย”
สวีเหม่ยเคยเจอคนประจบประแจงมามากมาย แต่ไม่คิดว่าจะพลาดท่าให้กับเด็กอายุสามขวบ
ในสายตาของหล่อน เย่เสี่ยวจิ่นเป็นแค่เด็กที่มีวิสัยทัศน์แคบและประสบการณ์น้อย ไม่รู้จักเงินทั้งที่มันมีประโยชน์ขนาดไหน!
แต่หล่อนก็ยังโกรธอยู่ดี
“เป็นคนบ้านนอกไร้วิสัยทัศน์จริงๆ พูดคุยกับพวกคุณแล้วอัปมงคลเหลือเกิน!”
สวีเหม่ยพาลูกสาวจากไปอย่างโกรธเคือง ทั้งสองคนเตรียมจะไปเอาเรื่องกับแม่สื่อ!
เย่เสี่ยวจิ่นย่นจมูก “โกรธจนหนีไปแล้วสินะ”
เย่เสี่ยวจิ่นกลับบ้านพร้อมครอบครัว
อาหารกลางวันวันนี้ไม่เลวเลย
หลังจากกินเสร็จ หลี่ชุ่ยชุ่ยก็นั่งอยู่ใต้ชายคา ข้างเท้ามีใบปาล์มกองใหญ่
หล่อนกำลังสานตะกร้าเล็กๆ จากใบปาล์ม สานเสร็จไปแล้ว 2 ใบ
หลิวเยว่ล้างจานเสร็จแล้วหยิบเก้าอี้เล็กมานั่ง “ป้า ฉันช่วยป้าเองค่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มให้ “เธอก็เหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถอะเด็กคนนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ว่างอยู่แล้ว” หลิวเยว่หยิบใบปาล์มขึ้นมา แล้วเริ่มสานตามวิธีของหลี่ชุ่ยชุ่ย
หล่อนรู้สึกสงสัย “ทำตะกร้านี้ไปขายในเมืองเหรอคะ?”
“ไม่ใช่จ้ะ มันใช้สำหรับใส่สตรอว์เบอร์รี่” หลี่ชุ่ยชุ่ยตอบ “สตรอว์เบอร์รี่ช้ำง่าย เวลาคนมาซื้อก็จะใช้ตะกร้านี้ใส่กลับบ้าน ป้าบอกให้เย่จวินพาเธอไปเก็บกินไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปล่ะ?”
“ช่วงนี้ยุ่งมาก ยังไม่มีเวลาไปเก็บมาขายเลย ปล่อยทิ้งไว้ในสวนก็เน่าเสียง่าย”
หลิวเยว่รู้สึกเกรงใจที่จะกินของที่เอาไว้ขาย “ฉันรู้แล้วค่ะ เดี๋ยวค่อยลองดูทีหลัง”
เย่เสี่ยวจิ่นอุ้มชามสตรอว์เบอร์รี่เข้ามา “ไม่ต้องรอทีหลังหรอก กินตอนนี้ได้เลย นี่ให้พี่ค่ะ”
หลิวเยว่รับชามมา หยิบสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดขึ้นมาลูกหนึ่ง กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย
หล่อนกินไปหนึ่งลูก “นี่…นี่มันหวานจังเลย หอมมาก รสสัมผัสนุ่มนิ่ม แต่ก็มีความพิเศษด้วย”
“ใช่ไหมล่ะคะ เพราะงั้นตอนเอาไปขายในเมืองถึงได้ขายดิบขายดีไง”
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งยอง ๆ แล้วยิ้ม “พรุ่งนี้พ่อจะไปซื้อผ้า ครอบครัวเราจะตัดเสื้อผ้าใหม่กัน พ่อให้หนูมาถามว่าพี่ชอบผ้าสีอะไรน่ะค่ะ”
หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง “เสื้อ…เสื้อผ้าใหม่เหรอ?”
หล่อนรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า…ครอบครัวเย่ดูเหมือนจะไม่ได้ยากจนอย่างที่คิดไว้
แต่ว่า…
หล่อนยังคงยิ้มแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ตัวฉันไม่ต้องใช้เสื้อผ้าใหม่หรอก ดูสิ เสื้อผ้าของฉันยังใหม่อยู่เลย”
เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ต้องตัดเสื้อผ้ากันอยู่แล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คิดว่าครอบครัวตัวเองดีนักก็อย่ามาคบกับคนบ้านนอกค่ะแม่พวกคนเมือง ขอให้ได้แซะคนอื่นเขาอะดูแล้ว
ครอบครัวสามเย่เริ่มพัฒนาฐานะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกหน่อยต้องมีคนอิจฉาตาร้อนเยอะแน่
ไหหม่า(海馬)
……….