ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 10 เธอกำลังหมายตาเนื้อตากแห้งที่บ้านปู่อยู่ (รีไรต์)
- Home
- All Mangas
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 10 เธอกำลังหมายตาเนื้อตากแห้งที่บ้านปู่อยู่ (รีไรต์)
บทที่ 10 เธอกำลังหมายตาเนื้อตากแห้งที่บ้านปู่อยู่ (รีไรต์)
บทที่ 10 เธอกำลังหมายตาเนื้อตากแห้งที่บ้านปู่อยู่ (รีไรต์)
แน่นอนว่าเย่จู๋รู้ดี
ของที่ปู่ย่าเอาไปจากบ้านของเย่เสี่ยวจิ่นทุกปี สุดท้ายแล้วก็แบ่งให้ที่บ้านของหล่อนและบ้านของลุงรอง
“รู้แล้วจะทำไม? รู้แล้วก็ไม่ได้แปลว่าจะให้แกกิน”
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะร่า ไม่โกรธเลยสักนิด “บอกฉันมาก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฉันคงต้องกินผักกินหญ้าเสียแล้ว”
“บ้านฉันไม่มีกับข้าว ฉันจะไปเอาเนื้อตากแห้งเดียวที่บ้านปู่ย่ามากิน”
เย่จู๋พ่นลมหายใจแรง “ฝันไปเถอะ ปู่ไม่มีทางให้พวกแกหรอก”
“นังตัวซวยอย่างแก ให้กินไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ปู่ย่าเกลียดแกจะแย่ ยังกล้าไปอีกเหรอ”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่สนใจไยดี
เธอนั่งอยู่บนคันนาอย่างเชื่อฟัง รอแม่มารับ
ระหว่างหลี่ชุ่ยชุ่ยยังไม่มา เธอก็ได้เจอโจวเซียวที่พาโจวเหวินรุ่ยลงมาจากเขา
ในมือโจวเหวินรุ่ยถือถุงสมุนไพร เขาที่กำลังสงสัยจึงถามว่า “จิ่นเป่า ทำไมเธออยู่คนเดียวตรงนี้ เล่นอะไรอยู่เหรอ”
“แม่ยังไม่เสร็จงานบ้าน แม่บอกว่าให้หนูรออยู่ตรงนี้ ไว้จะมารับกลับ”
“หนูรับปากลุงเซี่ยไว้ว่าจะเอาสมุนไพรไปช่วยรักษาไก่ที่ป่วย เลยมาเก็บสมุนไพรพวกนี้แหละ”
โจวเซียวมองดูแล้วเห็นว่าของทั้งหมดเป็นเพียงหญ้าธรรมดา ก็คิดว่าเด็กน้อยคงกำลังเล่นบทบาทสมมติเป็นพ่อแม่
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นสีหน้าโจวเหวินรุ่ยดูซีดเซียว จึงถามว่า “นายไม่สบายเหรอ”
“อืม ไอหนักมากเลย” โจวเหวินรุ่ยถอนหายใจ “ถ้าเธอมาเล่นกับฉันบ่อย ๆ ฉันก็คงไม่ไอแล้วละ”
เย่เสี่ยวจิ่นหลุดขำออกมา
รู้สึกว่าเจ้าคนขี้โรคคนนี้นี่ช่างน่าขันเสียจริง!
“ฉันไปทางนั้นพอดี ไปส่งก็ได้” โจวเซียวพูดพร้อมกับก้มลงหยิบของที่ตกอยู่บนพื้น
วันนี้เขาใส่เสื้อยืดธรรมดาราวกับไม่สะทกสะท้านต่ออากาศหนาว แต่แขนที่โผล่ออกมาก็ช่างดูล่ำสันเสียเหลือเกิน
อายุไม่มาก แต่รูปร่างกลับกำยำล่ำสัน
ช่างแตกต่างกับน้องชายของเขาอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มเย่เสี่ยวจิ่นขึ้นมาวางไว้ในกระบุงใบหนึ่ง ก่อนจะอุ้มโจวเหวินรุ่ยไปวางไว้ในกระบุงอีกใบ
เย่เสี่ยวจิ่นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนกองหญ้าอาหารหมูอันอ่อนนุ่มเสียแล้ว
“เกรงใจจังค่ะ” เธอพูดอย่างเขินอาย
โจวเหวินรุ่ยที่นอนคว่ำอยู่ในตะกร้าหัวเราะ “แขนขาลีบ ๆ แบบเธอ ถ้าพี่ชายไม่ให้ติดรถมาด้วย จะต้องเดินอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงบ้าน?”
เย่เสี่ยวจิ่นเลยไม่เกรงใจอีกต่อไป
เด็กน้อยขดตัวอยู่ในตะกร้าอย่างว่าง่าย มือเล็ก ๆ เกาะขอบกระบุงไว้
โจวเซียวเดินอย่างมั่นคง ก้าวเท้ายาว ๆ ออกไป
คุณพ่อทั้งหลายมักจะเอาลูกใส่กระบุงผัก หรือกระบุงสานแบบนี้
ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าชีวิตช่างลำบากยากเข็ญเสียจริง
ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองก็จะถูกแบกแบบนี้เช่นกัน
แต่ว่า… เธอกลับไม่รู้สึกน่าสงสารตรงไหน กลับรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ
แสงแดดอุ่น ๆ ส่องลงมาบนร่างกาย
เธอหรี่ตาลงอย่างสบายใจ รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเล็กน้อยจนเผลอหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว มองเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น
ตอนที่โจวเซียวเดินมาถึง ก็หันกลับไปมองเด็กหญิงที่หลับไปแล้ว
เธอหลับตาปี๋ ตัวงอเป็นลูกแมวอาบแดด
ป้าหลี่เดินเข้ามาด้วยความรู้สึกขอบคุณ “โอ๊ย พวกเธอพาจิ่นเป่าของป้ากลับมาด้วยเหรอ ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่เรื่องเล็กน้อย พวกเราไปก่อนนะครับ”
ป้าหลี่มองเขากับโจวเหวินรุ่ยเดินจากไป แล้วคิดกับตัวเองว่าหนุ่ม ๆ ในเมืองนี้ช่างดีจริง ๆ
ไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้น แต่ยังขยันขันแข็งและจิตใจดีอีกด้วย
ทั้งคู่ช่างหล่อเหลา โดยเฉพาะโจวเหวินรุ่ยที่บรรดาสะใภ้ในหมู่บ้านชอบเขามาก
พวกเธอคงอยากมีลูกชายที่น่ารักและบอบบางแบบนี้บ้าง
“จิ่นเป่า? นอนพอหรือยัง?” หลี่ชุ่ยชุ่ยก้มลงลูบแก้มลูกสาว “ยัยลูกหมูขี้เซาเอ๊ย”
เมื่อเย่เสี่ยวจิ่นตื่นขึ้นมา ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว
เธอเห็นหลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังทำอาหารอยู่
ในกะละมังมีแต่ผักกาดขาว ไม่มีอย่างอื่น
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่ยอมกินไข่ทุกวัน
จึงคิดว่าจะทำแกงจืดผักกาดขาว ใส่น้ำมันหมูลงไปหน่อยก็หอมแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นรีบพูดว่า “แม่ ไม่ต้องรีบทำกับข้าวนะจ๊ะ หนูจะไปหาของอร่อย ๆ มากิน”
“ของอร่อยอะไรเหรอ” หลี่ชุ่ยชุ่ยสงสัย “เก็บไข่กลับมาหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่จ้ะ หนูจะไปกินเนื้อ”
เย่เสี่ยวจิ่นลุกจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบเดินไปดู เห็นเพียงเงาลูกสาววิ่งไปไกลแล้วในยามเย็น
“เด็กคนนี้นี่ ชอบทำตัวลึกลับเหลือเกิน”
แน่นอนว่าเธอต้องทำตัวลึกลับ ไม่อย่างนั้นแม่ต้องไม่ยอมให้ออกจากบ้านแน่
ในหมู่บ้านมีควันไฟลอยคลุ้งไปทั่ว ทุกบ้านต่างก็ก่อไฟทำอาหาร
เย่ฉู่เฉียงและหลิวต้าเม่ยภรรยาของเขาต่างกำลังล้างเนื้อตากแห้ง
เนื้อตากแห้งของบ้านพวกเขาผ่านการรมควันมาสองเดือนแล้ว มีสีเหลืองทองอร่าม ไขมันเยิ้มน่ารับประทาน
เย่ฉู่เฉียงลองยกเนื้อตากแห้งชิ้นยาวขึ้นมาดูด้วยความภาคภูมิใจ “เนื้อนี่รมควันได้ที่แล้ว ไม่เสียแรงที่ฉันใช้ฟืนไปตั้งมาก หอมกว่าของบ้านอื่นเขาเยอะ!”
“นั่นสิ ก็คุณคอยเฝ้าอยู่ทุกวัน ใช้เปลือกส้มรมควันไปตั้งเท่าไหร่ จะไม่ให้หอมได้ยังไง”
หลิวต้าเม่ยพูดพร้อมกับหัวเราะ “ตอนบ่ายฉันกลับมาจากทำงาน เห็นว่าแถวเชิงเขามีชุนฉู่*[1]อยู่”
“เมื่อกี้ฉันตามป้าสามไปเก็บชุนฉู่กลับมา ผัดกับเนื้อตากแห้งอร่อยอย่าบอกใครเชียว”
เย่ฉู่เฉียงพูด “เดิมทีเรามีเนื้อตากแห้งตั้งแปดชิ้นนะ”
“ตอนนี้ให้บ้านหัวหน้าไปสามชิ้น บ้านน้องรองไปอีกสามชิ้น พวกเราก็เลยเหลือแค่สองชิ้นเอง”
หลิวต้าเม่ยพยักหน้า “ลูกชายคนโตบ้านเจ้าใหญ่ปีหน้าจะเข้ามัธยมปลายแล้ว เป็นเด็กเรียนต้องบำรุงสมองหน่อย”
“ส่วนหลานชายคนโตบ้านเจ้ารองปีหน้าจะเข้าเมืองไปเรียนตัดผม เขาว่ากันว่ารายได้ดีทีเดียว”
“เข้าเมืองไปแล้วคงจะไม่ได้กินของดี ๆ แบบนี้ อนาคตคงลำบากน่าดู”
สามีภรรยาคู่นี้เอ็นดูและเป็นห่วงเป็นใยครอบครัวลูกชายคนโตและลูกชายคนรองมาก
กลับไม่เคยคิดถึงครอบครัวลูกชายสามเลยสักนิดว่าไปขุดลอกคลองนานแล้วทำไมยังไม่กลับมา
ปล่อยให้ภรรยาของลูกชายสามพาลูกสาวที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ กินแต่ผักต้มกับข้าวต้มไปวัน ๆ
ปัญหาทั้งหมดนั้น… พวกเขาไม่สนใจไยดีเลย
เย่เสี่ยวจิ่นเดินเข้าไปในบ้านทันที “คุณปู่ คุณย่า วันนี้พวกคุณแบ่งเนื้อตากแห้งแล้ว ฉันมาเอาเนื้อตากแห้งของบ้านเราค่ะ”
สีหน้าของเย่ฉู่เฉียงและหลิวต้าเม่ยเปลี่ยนจากเอ็นดูเป็นเย็นชาในทันที
ทั้งสองคนเผยสีหน้ารังเกียจและเย็นชา
“แกมาทำไม? แม่แกยุให้แกมาใช่ไหม” หลิวต้าเม่ยลุกขึ้น เดินไปจับแขนของเย่เสี่ยวจิ่น
“ออกไปจากบ้านฉัน”
“คุณย่า ทำไมคุณทำแบบนี้? บ้านเราก็ให้เนื้อไปตั้งสิบจิน…”
เย่ฉู่เฉียงตะคอก “สิบจินนั่นพ่อแกสมควรให้เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพวกเรา แกเกี่ยวอะไรด้วย!”
“กลับไปบอกแม่แกซะ อย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าสามไม่อยู่บ้านแล้วจะมาเกเรที่บ้านฉันได้”
“ไสหัวไป!”
เย่เสี่ยวจิ่นคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้
ตอนที่ถูกผลักออกมา เธอจึงแกล้งล้มลงไปกองกับพื้น พร้อมปล่อยโฮออกมาอย่างน่าสงสาร น้ำตาไหลพราก ราวกับจะขาดใจตายอยู่ตรงนั้น
“ทุกคนมาดูนี่สิคะ คุณปู่คุณย่าตีหนู ฮือ ๆ ๆ…”
“พี่สาวบอกว่าคุณปู่แบ่งเนื้อตากแห้งให้ หนูถึงเพิ่งมา ก่อนหน้านี้ตอนแบ่งเนื้อ พวกเราก็ให้ไปตั้งสิบจิน…”
“คุณปู่แบ่งเนื้อตากแห้งของพวกเราให้คุณลุงใหญ่กับคุณลุงรองจนหมด แล้วยังมาด่าหนูว่าหน้าด้าน…”
“หนูกับแม่ต้องกินผักกินหญ้าทุกวัน หิวจะแย่อยู่แล้ว น่าสงสารที่สุด…”
“ฮือ ๆๆ …”
หลิวต้าเม่ยกล้าลำเอียงได้ขนาดนี้ ก็เพราะครอบครัวของลูกชายคนเล็กเป็นพวกไม่สู้คนนั่นแหละ
ตีเท่าใดก็ไม่ปริปาก
ไม่คิดเลยว่าเย่เสี่ยวจิ่นจะไม่เหมือนกับเขา!
“แก… แกอย่าพูดซี้ซั้ว!”
ชาวบ้านใกล้เคียงต่างพากันมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เย่เสี่ยวจิ่นทำท่าทางน่าสงสารเอ่ยขอร้อง “หนูหิวจะตายแล้วคุณย่า ขอร้องละ เอาเนื้อสิบจินของบ้านเรากลับคืนมาเถอะ!”
คำพูดนั้นทำให้หลิวต้าเม่ยโมโหจนหน้ามืดเกือบล้มลงไปกับพื้น รีบคว้ามือยึดกรอบประตูไว้
[1] ชุนฉู่ (椿树) เป็นผักป่ายืนต้นของจีน ยอดอ่อนใช้เป็นอาหารได้
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ที่ผ่านมาทำเปรตกับครอบครัวหลานสาวไว้เยอะ เจอหลานสาวเปรตใส่เป็นไงบ้างล่ะคุณปู่คุณย่า อย่าเพิ่งเป็นลมค่ะ นี่แค่เริ่มต้น
ไหหม่า(海馬)