ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 84 ภาค2 บทที่ 14 ออโรร่ากับเวทค้นหา
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 84 ภาค2 บทที่ 14 ออโรร่ากับเวทค้นหา
ชีวิตของคนเรา บางครั้งมันก็ต้องแบกรับการตัดสินใจอันยากลำบากในชีวิตสักครั้งหรือสองครั้ง แต่ทำไมกันนะ ทำไมไอ้การติดสินใจนั่นมันดันต้องมาเกิดกับผมตอนนี้ด้วย!!!
ภารกิจแรกที่ได้มาก็เป็นภารกิจของท่านลูดอร์ฟในการตามหาคทาของราชวงศ์ ตอนแรกมันก็ไม่อะไรหรอกแต่พอไปเจอองค์ราชากับท่านริเช่ในสภาพแบบนั้น มันก็แอบรู้สึกผิดไม่ใช่น้อยที่ต้องปิดบังเรื่องนี้กับพวกเขา
ไม่พอแค่นั้น ภารกิจที่ทางทั้งสองคนฝากผมตรวจสอบผู้ต้องสงสัยในศาสนจักร ก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อมองถึงความเชื่อใจที่ถูกใช้งานเป็นเครื่องมือให้ภารกิจลุล่วง
ซ้ำเติมกว่าเดิมหากชีวิตมันยังวอดวายไม่พอ สิ่งที่ทำให้ผมยังต้องกังวลก็เป็นแบบเดิมคือสิ่งที่พระเจ้าให้มา…. ภารกิจแห่งนักบุญ
เมื่อยามที่ได้ภารกิจจากทั้งสองฝ่ายมา ทางเจ้าระบบภารกิจนี่มันก็ขึ้นมาให้ผมในทันที โดยสิ่งตอบแทนของทั้งสองอย่างนี้คือแต้มนักบุญหลายพันแต้มซึ่งนับว่ามีค่ามากหากเทียบกับภารกิจทั่วไปอื่น ๆ ที่ได้เพียงแค่หลักหน่วยถึงหลักสิบ
แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่รางวัล แต่เป็นบทลงโทษต่างหาก ดูสิ ดูแต่ล่ะอันที่มันระบุไว้สิ!!!!
ภารกิจตามหาคทาแห่งลูมินาเรส
รางวัล:แต้มนักบุญ 1200 แต้ม
เงื่อนไข: เก็บกู้คทาและปลดพลังที่แท้จริงมาได้
บทลงโทษ: หากคทาถูกช่วงชิงหรือทำลาย นักบุญจะถูกงดใช้พลังครึ่งปีและทุกวาจาของท่านจะเป็นคำสรรเสริญทั้งหมดทั้งมวลเพื่อแสดงถึงความสำนึกผิด
ภารกิจหาผู้ร้ายผู้ขโมยพลังแห่งเรสเวน
รางวัล:แต้มนักบุญ 1000 แต้ม
เงื่อนไข:จับกุมตัวและนำพลังกลับคืนมาได้ หากทำสำเร็จเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต้มที่ได้จะถูกหักครึ่งและท่านไม่ถูกลงโทษ
บทลงโทษ:หากผู้ร้ายกระทำการตามแผนได้สำเร็จ นักบุญจะถูกงดใช้พลังครึ่งปีและจะสุ่มพันธะบังคับบางอย่างเป็นบทลงโทษ
….
โดนงดพลังว่าแย่แล้วแต่ไอ้ที่ตามมามันยิ่งแย่กว่า สรรเสริญทุกคำพูดงั้นเหรอ ถามจริงเถอะนี่มันรังแกกันชัด ๆ เลยนะ ขนาดแค่พลิกคำด่าเป็นคำสรรเสริญนรี่ก็ทำให้ชีวิตมันวุ่นวายพอแล้ว มาให้สรรเสริญจนเป็นชีวิตประจำวันแบบนี้น่ะ มันเหมือนกับเอาสมองของเฮียนักบวชสุดกาวลูดออร์ฟมายัดใส่หัวผมเลย
ขนาดคุยกันไม่ถึงชั่วโมงยังปวดหัวระดับไมเกรนขึ้นสมองไปทุกส่วน ถ้าให้อยู่สภาพแบบลูดอร์ฟตลอดครึ่งปี ผมคงได้ประสาทกินกบาลตายก่อนพอดี
แล้วนี่อะไรกัน สุ่มพันธะที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรงั้นเหรอ ฟังดูดีว่าอาจจะได้ของเบา แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นระบบจากเจ้าพระเจ้าขี้แกล้งแล้ว ชีวิตมันคงไม่ได้ง่ายดายอะไรแบบนั้นแน่นอน!!!!
มีแต่ต้องสำเร็จเท่านั้น
‘มีกำลังใจดีนี่ยัยหนู’
ไม่เลยราส มันเหมือนมีนักทวงหนี้นอกระบบมาถือปืน ถือมีดมาจ่อคอพร้อมให้เซ็นสัญญาทาสมากกว่า
‘คำพูดเจ้าช่างเข้าใจยากยิ่งนัก ว่าแต่วางแผนเหรอยังล่ะว่าตัวเองจะทำเรื่องไหนก่อน แต่สำหรับข้าขอแนะนำให้เจ้าเลือกพลังของเรสเวนก่อนน่าจะดีกว่า เพราะสิ่งนี้ดูจะเป็นปัญหากว่ามากหากปล่อยไป’
“นั่นสินะคะ เจ้าคทาถ้าไม่มีแผนที่ก็ยากที่จะเจอ แถมตอนนี้แผนที่ส่วนหนึ่งก็อยู่กับเราหากไม่แย่จริงคงรอได้อยู่ล่ะค่ะ”
‘อืม ถ้างั้นปัญหามันก็จะมาที่เราจะเริ่มอย่างไรกันดี’
“อัลเป็นอะไรคะ หน้าเครียดเชียว”
ซิลวี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามของผมร้องทักขึ้นมาขัดเสียงของเจ้าราส คงไม่แปลกอะไรเพราะตั้งแต่ออกจากบ้านของเธอมา ตลอดทางที่นั่งรถม้าผมเอาแต่ก้มหน้านิ่งเงียบไม่พูดอะไร จะกังวลใจก็สมกับเป็นเธอดี
ดวงตาสีฟ้ามองมาอย่างเป็นห่วง เธอค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนผมเผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเครียดเรื่องภารกิจขององค์ราชา ไม่ต้องห่วงค่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะปกป้องอัลเอง… จะศาสนจักรหรือราชวงศ์ ไม่ว่าใครฉันก็จะไม่ให้แตะต้องอัลได้แม้แต่ปลายผม”
“อืม ขอบคุณนะซิลวี่”
ไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดีกับความเป็นห่วงนี้ขอองเพื่อนรัก ผมจึงขอบคุณไปแต่ในใจก็ไม่ค่อยอยากให้เธอมาเสี่ยงภัยกับเรื่องของผมเท่าไหร่ แต่ขืนพูดไปเธอคงไม่ยอมแล้วทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมาอีกแน่ ๆ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่กำลังกลุ้มใจน่ะว่าจะเริ่มที่ไหนดี เพราะตัวเรานั้นไม่ว่าจะไปไหนก็เป็นที่สะดุดตา การพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลทั่วไปก็ยังมีคนจับตามอง”
ไม่ได้จับตามองด้วยความไม่ไว้ใจหรืออะไร แต่เป็นจ้องที่จะเรียนรู้จากทุกคำพูดของผมที่เอื้อนเอ่ยออกมจากคำสาปของเจ้าพระเจ้า ไม่สิ ไม่ต้องเป็นคำที่สรรเสริญแบบนั้นก็ได้ แค่ประโยคธรรมดา พวกพี่แกก็พร้อมจะเอาไปตีความหมดทุกอย่าง ขนาดบอกหิวน้ำตอนช่วงเรียนบทสวด ยังมีคนเอาไปตีความว่าโลกกำลังขาดซึ่งน้ำใจแห่งมวลมนุษย์ จนถึงขั้นจัดงานการกุศลครั้งใหญ่เลยก็มี
‘อันนั้นข้าว่าเป็นที่สถานการณ์มากกว่านะ แต่ก็อย่างเจ้าว่านั่นล่ะ พวกเราถูกจับตามากเกินไป จะเคลื่อนไหวอะไรก็ลำบากนั่นล่ะ’
ราสที่ตอนนี้มีร่างกายที่เป็นรูปธรรมแล้วนั้นย่อมสามารถจับสิ่งของหรือพูดคุยกับผู้คนได้ แต่ก็นั่นล่ะ ให้นกศักดิ์สิทธิ์บินไปถามเรื่องคนร้ายเหรอ ได้หลงมโนคิดว่ามีจอมมารพร้อมบุกอาณาจักรแน่นอน
‘ลองให้ผู้พิทักษ์ของเจ้าช่วยดูไหมล่ะ’
“ซิลวี่เหรอ….อืมมม นั่นสินะ”
ในฐานะของผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ แน่นอนว่าตัวเธอนั้นเป็นที่เคารพของเหล่าคนในศาสนจักรไม่น้อยจากเหตุการณ์ปราบจอมปีศาจเมื่อสี่ปีก่อน ดังนั้นจึงไปไหนมาไหนในมหาวิหารได้ง่าย ถามอะไรคนก็คงตอบด้วยข้ออ้างการพิทักษ์นักบุญ
“แต่จะไม่เด่นเกินไปใช่ไหมนะ”
“ค่ะ เป็นเรื่องปกติของผู้พิทักษ์ที่จะตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ให้นักบุญ ดังนั้นหากใช้ข้ออ้างนี้ตอนถาม พวกเขาคงไม่สงสัยอะไร”
“ถ้างั้นเรื่องนี้ฝากด้วยนะซิลวี่”
“จะไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ”
จากที่ซิลวี่ว่ามา เรื่องหาข้อมูลเพิ่มเติมจากการไปถามชาวบ้านเธอน่าจะจัดการให้ผมได้ ส่วนผมอาจจะต้องใช้พลังที่มีในการจัดการเรื่องพวกนี้ แต่จะทำประเจิดประเจ้อมากก็ไม่ได้ เพราะงั้นต้องวางแผนให้ดี
เมื่อถึงมหาวิหาร ผมกับซิลวี่ก็แยกทางกันโดยเธอได้ขอไปชี้แจงกับทางมหาวิหารว่าจะขอพักในนี้เพื่อดูแลผม ซึ่งการดำเนินเรื่องน่าจะต้องใช้เวลานานดังนั้นผมจึงออกมาทำเรื่องของผมก่อน
ผมรีบกลับมาที่ห้องของตัวเองโดยไว ตัวห้องยังคงเงียบสงบและเต็มไปด้วยกองเอกสารภารกิจมากมาย ผมรีบจัดการยกเจ้าพวกกองเอกสารเหล่านั้นออกไปก่อนคว้าชอร์คขึ้นมาขีดเขียนลงไปเป็นวงเวทที่พื้น
ใจกลางของมัน ผมได้วางเศษซากพลังของเรสเวนลงไป มันเป็นเศษโลหะสีเงินเล็ก ๆ ที่มีรอยบิ่นและทุบทำลาย แม้จะเป็นแค่เศษชิ้นส่วนแต่ก็ยังคงมีพลังหลังเหลืออยู่
“ในนามแห่งข้าผู้ภักดีต่อพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ เบื้องหน้าของข้าคือเมฆหมอกที่บดบังซึ่งเส้นทางแห่งความจริงอันเที่ยงแท้ เช่นนั้นขอแสงแห่งพระองค์ทรงนำทางตัวข้า ตัดผ่านสิ่งใดที่ถูกปิดบังตรงหน้าและนำข้าไปสู่ความจริง”
ผมร่ายคำสวดขึ้นมา ตอนนั้นเองที่ร่างกายของผมและวงเวทตรงหน้าเริ่มสอดประสานส่องสะท้อนกันไปมา แสงสีฟ้าจาง ๆ ได้โผล่ขึ้นก่อนจะวิ่งเข้าไปรวบรวมปกคลุมรอบ ๆ เศษที่แตกหักของตราราชวงศ์
นี่คือการทำพิธีกรรมผ่านวงเวทซึ่งนักบวชทั้งหลายจะใช้ยามร่ายเวทบทใหญ่เพื่อลดทอนความสิ้นเปลืองของทั้งพลังเวทและพลังใจ เพราะตัวของวงเวทจะช่วยเราทั้งการคุมพลังและบริหารจัดการรูปแบบของเวทตามที่มันถูกเขียนขึ้น
จริงอยู่ที่ร่างของผมที่ได้รับพรมาจากพระเจ้านั้นไม่มีความจำเป็น เพราะด้วยพรที่มี ร่างกายนั้นสามารถใช้เป็นสื่อกลางของเวทได้ทุกอย่างโดยดึงพลังมาจากภายนอก
แต่นั่นล่ะคือหนึ่งในปัญหา เพราะหากร่างกายของผมมันยังโตหรือพัฒนาได้ไม่เพียงพอต่อเวทที่ใช้ไป อาจจะนอนสลบเหมือดนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวันแบบเมื่อหลายปีก่อนได้ เพราะฉะนั้นการฝึกร่ายเวทผ่านพิธีกรรมจะสะดวกกว่าเพราะพลังเวทไม่ได้มาใช้งานร่างกายผมแต่เป็นวงเวทแทน
วิ้งงง
แสงประกายสีฟ้าจาง ๆ ได้ลอยออกมาจากตราสัญลักษณ์ ก่อนที่มันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหม่นแห่งรางร้ายขึ้นมาก่อนจะพุ่งออกนอกห้องผมไปเป็นเส้นทาง
แน่นอนว่าถ้าเป็นเวทติดตามทั่วไปนั้นผมคงไม่ต้องมาร่ายใส่วงแวทแบบนี้ แต่ว่าสิ่งที่ผมใช้ไปนั้นมันคือขั้นกว่าของเวทค้นหาที่ผมเคยใช้สมัยตอนหาห้องน้ำในราชวัง
นี่ไม่ใช่แค่หาสิ่งที่ต้องการ แต่เป็นการตรวจจับพลังที่ซับซ้อน มันจะจับพลังและคัดแยกพลังที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปแล้วแจ้งมาให้เราผ่านลักษณะของแสงที่ปรากฏ สีสว่างคือพรหรือเวทสนับสนุนหรือพรที่ตกหล่น สีหม่นคือเวทในทางอันตรายหากไม่ใช่คำสาปก็เป็นเวทสายทำลาย ดังนั้นเมื่อมันกลายเป็นสีหม่นแล้วนำผมไป แสดงว่าต้นตอของพลังนี่คงอยู่ในมหาวิหารแบบที่องค์ราชาคาดเดา
“โชคเข้าข้างแล้วค่ะราส”
‘ไม่นึกว่าจะง่ายอย่างนี้’
พวกผมรีบเดินไปตามเส้นทางของแสงที่ยังคงเหลืออยู่ ที่จริงก็อยากวิ่งไปอยู่หรอกแต่ขืนทำแบบนั้นจะทำให้วิหารแตกตื่นได้เพราะเห็นนักบุญวิ่งหน้าตั้งมา พวกเขาคงคิดว่ามีปีศาจบุกไม่ก็มีนักฆ่าจะมาฆ่าผม คงได้ปิดวิหารจนคนร้ายตื่นตูมหนีกันพอดี
ดังนั้นที่ทำได้ตอนนี้ก็คือเดินเร็ว ๆ ไปพลาง สวัสดีทุกคนที่มาทักทายไปพลาง หากใครอยากจะมาขอพูดคุยยาว ๆ ผมก็รีบตอบปัดบอกว่ามีธุระสำคัญไป แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้ายุ่ง
เส้นแสงนำไปเรื่อย ๆ เส้นของแสงมันเข้มข้นมากขึ้นบ่งบอกว่าตัวของผมนั้นใกล้กับแหล่งกำเนิดของพลังมากขึ้นทุกที แต่ในตอนนั้นเองที่เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังเข้าใกล้ความจริงแล้วนั้น…
วูบ
พลังของผมได้หายไป พลังศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงซึ่งผมร่ายขึ้นมาหายไปเองอย่างดื้อ ๆ ทำเอาผมได้แต่เลิกคิ้วอย่างสงสัยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหากจะเกิดอะไรแบบนี้ได้หากไม่ใช่เวทโดนสลายก็เป็นเจ้าของร่างรู้ตัวแล้วใช้เวทเคลื่อนย้ายตัวเองไปที่อื่นอย่างรวดเร็วจนออกนอกรัศมีของเวท
ซึ่งนี่ก็บอกว่ายากเพราะผมกางเอาไว้ทั่วมหาวิหาร หากจะหนีด้วยเวทนั้นจริง ด้วยที่ทราบก็ต้องมีพลังสูงมากจึงทำได้ แต่แบบนั้นพลังมันก็ไม่ควรหายไปดื้อ ๆ แบบนี้ น่าจะมีการขยายตัวของเวทติดตามก่อนแล้วค่อยจางหายมากกว่า
‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ’
“ไม่รู้สิคะ แต่ว่าตอนนี้ทางที่เรามามันก็เส้นตรงซะด้วยสิ ลองเดินไปตามดูหน่อยอาจจะยังเหลือร่องรอยก็ได้ค่ะ”
ที่ตรงปลายสุดของทางเดิน มาประตูไม้ขนาดใหญ่ถูกสลับเป็นรูปของพระเจ้ากำลังยื่นหนังสือให้กับเหล่ามนุษย์ และด้านบนมันเขียนเอาไว้
“พระเจ้ามอบปัญญา กรุณาอย่าเสียงดังรบกวนพระองค์”
โอเค แปลว่าตอนนี้ผมมาอยู่ห้องสมุดแล้วสินะ.. คนร้ายมันต้องอารมณ์ไหนกัน มาแอบหลบในห้องสมุดแบบนี้เนี่ย
เอาล่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เข้าไปตรวจสอบดูก็ไม่เสียหาย ใครมาเจอก็บอกไปว่ามาอ่านหนังสือเรียนทบทวน ง่ายใช่ไหมล่ะ
“อ้าว ๆ นั่นนึกว่าใคร…. คารวะท่านนักบุญ ขอเมตตาแห่งพระองค์ทรงสถิตกับพวกเรา”
———————–
ตอนนี้เบา ๆ ไม่มีอะไรมากมายครับเป็นช่วงปูเนื้อเรื่องก็จะเหมือนพายเรือในแม่น้ำหน่อยนะ นิ่ง ๆ ให้ได้พักอารมณ์