ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 75 ภาค2 บทที่ 5 ออโรร่าและครอบครัวของมาเรีย
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 75 ภาค2 บทที่ 5 ออโรร่าและครอบครัวของมาเรีย
บางครั้งชีวิตของคนเรามันก็สุดติ่ง การพบเจอกับผู้คนนั้นก็นำมาซึ่งความสุขแห่งการกลับมาได้พบกันอีกครั้ง แต่บางที ความสุขที่ว่านั่นไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกันก็ได้นะ
ครืนน ครืนนน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น กันเนี่ย…
ตอนนี้ ตัวผมกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มคนที่เรียกว่าเพื่อน ซ้ายคือมาเรียเด็กสาวผู้เป็นเพื่อนร่วมห้องมาตลอดสี่ปี ตอนนี้ใบหน้าที่เคยขี้อายไร้ความกล้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกลัว
ขวาคือซิลเวียหรือเพื่อนรักที่ผมเรียกว่าซิลวี่ เด็กสาวผมสีทองผู้เป็นตัวเด่นของงานหรือผู้พิทักษ์ประจำตัวผม อดีตนั้นเธอคือเด็กสาวที่หมองหม่นไร้ความมั่นใจในตัวเอง แต่ตอนนี้กับยืนอย่างองอาจ ใบหน้านั้นยิ้มออกมาดุจเจ้าชายที่พร้อมปกป้ององค์หญิง
ในฐานะเด็กหนุ่มแล้ว การมีเด็กสาวแสนน่ารักมายืนขนาบข้างถึงสองคน มันคงเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ๆ แต่ทำไมกันนะ ทำไมกัน…
ทำไมแววตาของพวกเธอถึงได้น่ากลัวแบบนี้!!!
เหลือมองตาของมาเรียที่แม้ปากของเธอจะยิ้ม แต่ดวงตาสีเขียวของเธอนี่อย่างกับฆาตกร แค่เผลอสบตาก็ทำเอาสันหลังมันเสียววาบ ๆ ขนลุกทั่วทั้งตัว
ส่วนทางคุณผู้พิทักษ์ก็ใช่ย่อย รอยยิ้มดุจเจ้าชายแต่แววตาเหตุใดนั้นช่างเหมือนจอมมารอย่างไรชอบกล น่ากลัวขนาดไม่ต้องก็ยังสัมผัสได้ถึงออร่าดำ ๆ ที่แผ่ออกมา
ใช่แล้วพูดถึงออร่า ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังยืนแผ่ออร่าแปลก ๆ เข้าใส่กันโดยมีผมนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง ไม่รู้ว่าไปแค้นเคืองกันมาจากไหนแต่ผมมั่นใจได้เลยว่าออร่านี่มันหนักยิ่งกว่าเหล่าวิญญาณแค้นที่ผมเคยปราบเมื่อสี่ปีก่อนรวมกันนับร้อยนับพันตัวอีก
แผ่รังสีไม่ว่าแต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับไอ้รังสีพวกนี้มันกำลังดันสู้กันอย่างหนักประดุจคลื่นจากสองทะสาดอัดดันพลังกันโดยมีเกาะน้อย ๆ ที่ชื่อว่าออโรร่าเป็นตัวขั้นกลาง
“แหม ๆ ไม่นึกเลยว่าคุณผู้พิทักษ์จะสนิทกับท่านออโรร่าขนาดนี้นะคะเนี่ย”
“แน่นอนสิ ก็เพราะฉันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของอัลนี่นา”
ครืนนนน
ฮือออ ขุนลุกอ่า
“งั้นเหรอคะ แต่ว่าฉันเองก็เป็นเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันมาตลอดนับสี่ปีเลยนะคะ”
ครืนนน
เอาผมออกไปจากที่นี่ที!!!
ส่วนจุดเริ่มต้นนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ขอแค่ย้อนกลับไปเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็อาจจะทำให้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์สุดขนหัวลุกนี่ได้
หลังแยกจากชาร์ลมาผมก็ได้เดินไปทักทายแขกตามงานทั่วไปตามภาษานักบุญที่ขยันทำงานและตอนนั้นเองที่ผมได้เจอกับมาเรียและครอบครัวของเธอ
“สวัสดีครับท่านนักบุญ ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้มีวาสนาได้เจอท่านผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้”
ชายที่เข้ามาทักทายผมเป็นชายวัยกลางคน เขานั้นมีผมสีฟ้าถูกรวบจัดทรงเอาไว้ตามแบบสมัยนิยมของขุนนาง ดวงตาสีเขียวของเขานั้นทำให้นึกถึงใครบางคนที่คุ้นเคยนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สาวน้อยมาเรียที่อยู่ด้านหลังของชายผู้นี้นี่เอง
“สวัสดีค่ะ ท่านคงเป็นท่านอาร์มาน ลอร์เลน สินะคะได้ยินชื่อเสียงมานานนึกไม่ถึงว่าเราจะได้เจอท่านแม่ทัพใหญ่แห่งราสเวนน่าเช่นนี้”
“โอ้ สมเป็นท่านนักบุญผู้เป็นเลิศ รู้จักแม้กระทั่งคนตัวเล็ก ๆ เช่นข้านับว่าข้านั้นมีบุญวาสนาจริงแท้”
โห กล้าพูดได้ว่าตัวเล็ก ๆ นี่ถ้าไม่นับท่านสังฆราชหรือพวกราชวงศ์มันจะมีใครใหญ่ไปกว่าท่านอีกงั้นเหรอถามหน่อยเถอะ!!! นี่ขนาดผมยังไม่เคยตัวจริงยังรู้นะเออ
อาร์มาน ลอร์เลน เคาท์แห่งลอร์เลน หากจำไม่ผิดเขาดำรงตำแหน่งเจ้าตระกูลลอร์เลนคนปัจจุบันทั้งยังได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งราสเวนน่า ชื่อเสียงของเขานั้นไม่ธรรมดาเพราะมีประวัติในการปราบเหล่าปีศาจจากแดนตะวันตกเฉียงเหนือในสงครามเมื่อหลายปีก่อน
มันไม่แปลกอะไรกับตระกูลแห่งนักรบเช่นลอร์เลนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการผลิตยอดฝีมือทั้งแม่ทัพและนักรบเลื่องชื่อในอดีตมากมาย
จนทำเอาผมสงสัยว่ามาเรีย สาวน้อยขี้อายซึ่งไม่ได้เก่งกาจในทั้งด้านกลยุทธสงครามหรือฝีมือดาบนั้นจะต้องโตมาในสภาพของสังคมแบบไหน
“ส่วนนี่ลูกชายของข้าดูวัล… ดูวัล รีบมาทำความเคารพท่านนักบุญซะ”
“ครับท่านพ่อ ข้าดูวัล ลอร์เลน เป็นเกียรติที่ได้พบท่านนักบุญแห่งศาสนจักร”
เสียงนั้นตามมาด้วยร่างของชายหนุ่มวัยไม่ถึงยี่สิบ ด้วยส่วนสูงของเขาทำให้ผมสูงแค่ประมาณเพียงอกจนต้องเงยหน้ามองก็พบกับใบหน้าอันสงบนิ่งจนเรียกว่าไร้ซึ่งอารมณ์ยังได้
นี่คงเป็นพี่ชายของมาเรียแน่นอน
คุณพี่ชายนั้นหากพูดล่ะก็จัดว่ามีใบหน้าหล่อเหลามาก แม้ไม่ได้มีสง่าราศีขนาดชาร์ลแต่ด้วยความน่าเกรงขามที่ส่งออกมาจากทั้งท่าทางหรือแววตาสีเขียวอันนิ่งสงบก็ทำให้เขานั้นดูองอาจสมมาจากตระกูลแห่งนักรบ
เขาไม่ได้ออกอาการซาบซึ้งใจมากมายแบบพวกขุนนางทั่วไป ดูวัลนั้นแค่ยกมือทาบอกและโค้งทักทายผมอย่างเป็นมารยาทเท่านั้นแน่นอนผมเองก็โค้งทักทายเขากลับไปเช่นกัน
“ออโรร่าค่ะ ดีใจจริง ๆ ที่ได้พบกับครอบครัวของมาเรียแบบนี้”
“หวังว่ามาเรียคงไม่ได้ทำอะไรให้ท่านรู้สึกรำคาญใจใช่ไหมครับ เด็กคนนี้นั้นแม้จะฝึกอย่างไรก็ไม่สามารถเป็นยอดนักรบได้เสียที อยากให้เอาอย่างท่านผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลเดอ ฟรอเซียจริง ๆ”
เดี๋ยว ๆ คุณพ่อของมาเรียที่เคารพ ไม่ทราบว่าคุณท่านพูดอะไรออกมากันเนี่ย!! มาเรียยืนหัวโด่อยู่ด้านหลังยังมีเอามาเปรียบเทียบกับคนอื่นอีกเหรอ มิทราบว่าคุณเป็นพ่อแม่แถวเอเชียเหรอไงกัน!!
ใช่เลย อาการแบบนี้ ทั้งเปรียบเทียบ ทั้งพูดจากดลูกของตัวเอง นี่มันอาการของพ่อแม่ในบ้านเอเชียชัด ๆ แบบที่เวลาเจอหน้าป้าข้างบ้านแล้วชอบไปชมลูกบ้านเขาว่าได้เกรดสี่หรือติดหมอ แต่บ่นลูกตัวเองที่ทำไม่ได้ทั้งที่เกรดมันก็สามจุดห้า
มาเรียช่างน่าสงสารจริง ๆ ต้องมาเจอพ่อแม่จากเอเชียแบบนี้ เป็นผมคงเครียดตายชัก
ผมเหลือบไปมองมาเรียอย่างเป็นห่วง โดยเธอนั้นไม่พูดอะไรมีเพียงแค่ก้มหน้ารับคำของพ่ออย่างเงียบ ๆ เท่านั้น นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงแปลก ๆ
“ค่ะ มาเรียเป็นเพื่อนที่ดีมากค่ะ ทั้งฉลาดแล้วก็เรียนรู้ได้เร็วจนเราเองก็ยังสู้ในบางเรื่องไม่ได้เลยค่ะ”
แน่นอนว่าผมเป็นเพื่อนที่แสนดี ต้องชื่นชมเพื่อนต่อหน้าครอบครัวอยู่แล้ว มาเรียที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ แต่คุณพ่อกลับไม่มีท่าทางเช่นนั้น เขาเพียงแค่เหลือบตามองลูกสาวตัวเองอย่างเย็นชาก่อนส่ายหัวไปมา
“เพราะไม่สามารถฝึกดาบได้ดีจึงมีเวลาเรียนของพวกนั้นนั่นล่ะครับ ท่านนักบุญอย่าชื่นชมมากเกินไปเลย เดี๋ยวจะเหลิงเอาได้ครับ”
น้ำเสียงและแววตาอันแสนเย็นชาพุ่งตรงไปยังสาวน้อยผมสีฟ้าที่ยืนนิ่งเงียบราวกับเป็นหัวหลักหัวตอไม่ตอบโต้อะไรกับคำดูถูกที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หมดสิ้น
มีพ่อแบบนี้ผมเอาหัวจุ่มโถส้วมตายดีกว่า!!
ไม่ไหว อึดอัด อึดอัดโคตร ๆ เลยต้องมาคุยกับคุณพ่อท็อคซิคแบบนี้ ถ้างั้นต้องเนียนแยกวงแล้วสิ… แต่เพื่อมาเรีย เอาเธอไปด้วยดีกว่า
“คือว่าที่จริงก็อยากรู้จักครอบครัวของมาเรียมากกว่านี้แต่พอดีเรามีนัดกับผู้พิทักษ์เกรงว่าอาจจะต้องขอตัว”
“โอ้เชิญเลยครับ ธุระนั้นน่าจะต้องสำคัญมาก ข้าคงไม่กล้ารั้งตัวท่านหรอก”
“จะเป็นการรบกวนไหมที่เราจะขอตัวของมาเรียไปเป็นเพื่อนด้วย”
ผมรีบอาศัยโอกาสนี้แยกตัวเธอออกมาจากบรรยากาศที่น่าอึดอัด เพราะหากปล่อยเธอไปกับครอบครัวแบบนี้ต่อไปมีหวังได้โดนเอาไปเปรียบเทียบตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบแน่นอน
“เชิญเลยครับ หากเธอมีประโยชน์กับท่านก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี… มาเรีย อย่าทำให้ขายหน้าล่ะ”
น้ำเสียงเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วของคุณพ่อทำเอาผมรู้สึกขนลุกแปลก ๆ เพราะตอนคุยกับผมนั้นเสียงของเขาเต็มไปด้วยความนอบน้อมเคารพแต่พอหันไปหาลูกสาวกลับเย็นชาราวกับไม่ใช่คนในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
“เข้าใจแล้วค่ะท่านพ่อ ลูกจะไม่สร้างปัญหาอย่างแน่นอน”
มาเรียก้มหัวรับคำพ่อของเธออย่างง่ายดายก่อนค่อย ๆ เดินมาข้างผมอย่างช้า ๆ เมื่อพวกเราแยกจากคนของลอร์เลนผมก็หันไปหาเธออย่างเป็นห่วงแต่ก็ชะงักทันทีเมื่อมือนุ่ม ๆ ของเด็กสาวเคลื่อนมากุมผมเอาไว้ก่อนที่จะรู้สึกตัวเสียอีก
“ฉันน่ะ…ดีใจมาก ๆ เลยนะคะ ดีใจมากเลย ที่ท่านออโรร่า….พูดเช่นนี้กับฉันน่ะ”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกนะคะ เราเป็นเพื่อนกันนี่คะ”
ผมพูดไปพลางหันไปยิ้มให้กับมาเรีย นั่นทำให้เธอกุมมือของผมแน่นขึ้นมากกว่าเดิมซึ่งนั่นคงเป็นเพราะเธออาจจะยังเสียขวัญและอยากได้คนปลอบใจก็ได้
“แต่ไม่เป็นไรแน่นะคะ ถ้าเป็นเรา คงรู้สึกอึดอัดน่าดู”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องนี้ฉันน่ะ… ชินมันซะแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องชินเลยนะคะ ว่าแต่มาเรียคะ….”
“คะ?”
“มิทราบว่าคุณจะยกมือของเรามาแนบแก้มตัวเองทำไมเหรอคะ?”
ไม่รู้ว่ามาเรียอยู่ในอารมณ์แบบไหน ตอนแรกที่เธอจับมือผมมานั้นทั้งใช้มือข้างที่ว่างถูไปมากับมือของผมที่ถูกกุมเอาไว้ ไม่พอยิ่งนานไป ตอนนี้เธอได้ยกมือข้างขวานั่นมาแนบเข้ากับแก้มของเธอด้วยรอยยิ้มซะทำเอาผมไปไม่เป็น
“จิตใจของฉันมัน… กำลังกลัวค่ะ.. เลยรู้สึกว่าถ้าได้ความอบอุ่นจากท่านออโรร่าอาจจะทำให้ดีขึ้นมาบ้าง”
“งะ..งั้นเหรอคะ แต่นี่มันออกจะ…”
ออกจะแปลกเกินไปหน่อยไหมเนี่ย เข้าใจอยู่นะว่ากำลังกลัวหรือสับสน แต่นี่มันไม่ใช่วิธีการปลอบที่มีอยู่ในโลกเลยนะ แล้วปกติถ้าจับแก้มน่ะ มันต้องฝ่ายปลอบเป็นคนเริ่มไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ฝ่ายถูกปลอบ!!!
“ไม่ได้งั้นเหรอคะ”
หลังเอาหน้าของเธอถูกับมือของผมไปมา เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วใช้ดวงตาสีเขียวมรกตที่เป็นประกายนั่นจดจ้องมาที่ผมราวกับลูกแมวน้อยขี้อ้อน
“มะ..ไม่ได้ค่ะ”
ผมรีบปฏิเสธเธอย่างทันท่วงที แม้รู้ว่าจิตใจเธออาจยังมีปัญหาแต่หากปล่อยไป มือของออโรร่าน้อยที่โดนกระทำชำเรานี่อาจจะได้สึกหรอก่อนถึงกำหนดแน่ ๆ
แล้วอีกอย่างนี่มันกลางงานนะ ภาพของสาวน้อยสองคนมายืนเอามือถูหน้ามันใช่ภาพที่ดีซะที่ไหน ยิ่งหากคนรู้จักมาเห็นไม่เกิดเรื่องก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว
“อัลอยู่นี่นี่เอง กำลังตามหาออยู่เลยค่ะ…. นั่นทำอะไรกันอยู่น่ะคะ”
เอาแล้วไง พูดถึงโจโฉ โจโฉมันก็มา ทำไมชีวิตของผมมันถึงต้องซวยแบบนี้เนี่ย เป็นใครไม่เป็นมาเป็นซิลวี่…..
“อัล?…. ผู้พิทักษ์เรียกท่านออโรร่าว่าอัลงั้นเหรอคะ?”
เสียงของมาเรียดังขึ้นออกมาอย่างเย็นชา ดวงตาที่เปล่งประกายดูมืดลงและเหลือบไปมองทางซิลวี่
ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกถึงรังสีมืดที่เริ่มแผ่ออกมาจากทั้งสอง ไอสังหารเหล่านี้ดันพุ่งปะทะกันจนทำเอาผมตัวสั่นราวกับลูกนกที่เจอสัตว์นักล่าพบตัว
พ่อจ๋า ผมกลัว
และแล้วสาวน้อยมาเรียเราก็โตขึ้น… โตเป็นภัยสังคม 555
แต่ดูหน้าของน้องไว้นะครับ ดูเอาไว้ เด็กแบบนีั้จะเป็นภัยสังคมเหรอ คิดมากไปแล้ว ออโรร่า แค่เพื่อนอยากสนิทเอง
ออโรร่าน้อยของเราจะเอาอย่างไรต่อมาติดตามกันได้ครับผม