ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 73 ภาค 2 บทที่ 3 ออโรร่าและสุดยอดแฟนคลับ!!!!
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 73 ภาค 2 บทที่ 3 ออโรร่าและสุดยอดแฟนคลับ!!!!
หลังจากงานอันแสนวุ่นวายในพิธีการแต่งตั้งซิลเวียขึ้นสู่การเป็นผู้พิทักษ์นักบุญอย่างเป็นทางการ ความเหนื่อยของวันนี้ยังไม่จบเพราะว่าทางฝั่งของศาสนจักรได้หน้าไปแล้ว มีเหรอฝั่งของราชวงศ์จะยอม งานเลี้ยงใหญ่โตเพื่อแสดงความยินดีและมอบยศให้กับซิลเวียก็เลยตามมาอีก
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครมองว่าแปลกมากเพราะซิลเวียนั้นเองก็เป็นถึงลูกสาวของตระกูลดยุคแห่งเดอ ฟรอเซีย ดังนั้นจะต้องถูกลากเข้าไปในเกมการเมืองอันวุ่นวายไม่ต่างจากผมก็คงไม่แปลก
ยิ่งเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนทำให้ทางฝั่งของแคว้นกลอริเอลได้หมดสิ้นปัญหาสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นปีศาจที่รังควานเมืองหรือชาวลัทธิทางเหนือที่พอมาเข้ารีตก็กลายเป็นพันธมิตร สินค้าไหลมาเทมาจนกลอริเอลร่ำรวยเงินทองมากขึ้น
แคว้นที่ตอนนี้ทั้งทหารเก่งกล้า เงินทองล้นคลัง มีเหรอแต่ล่ะฝ่ายจะไม่อยากได้ แต่เรื่องนั้นมันเกี่ยวกับผมที่ไหน แค่ท่องหนังสือไปสวดต่อหน้าคนอื่นได้ก็เหนื่อยจะแย่ หาเวลาว่างไปแอบกินเค้กงานฉลองยังคุ้มค่าเวลามากกว่า
“ขอพระเจ้าเกื้อหนุนให้พวกท่านมีแต่ความโชคดีค่ะ”
“ขอบคุณมากครับท่านนักบุญ ได้เจอตัวเช่นนี้นับว่าทั้งปี ไม่สิ ตลอดสิบปีนี้ตระกูลข้าน่าจะทำมาค้าขายรุ่งเรืองมาก ๆ แน่ ๆ เลยครับ”
“ขอให้เป็นดั่งหวังนะคะ”
ก็ตามนั่นแหละ ตอนนี้ผมเลยเดินไปมาทั่วงาน พลางโบกมือรับคำทักทายของผู้คนมากมายที่รีบเข้ามาอย่างกับอย่างแบ่งส่วนบุญส่วนกุศล แน่นอนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นผมชินกับเรื่องพวกนี้แล้วดังนั้นจึงไม่เหนื่อยที่จะปั้นหน้ายิ้มสุดน่านับถือพลาง โบกมือพลางและอวยพรพวกเขาไปพลาง
เอาล่ะไหนดูสิ บริเวณของหวานตรงนั้นมีเค้กอยู่ที่สิบนาฬิกา ค่อย ๆ เดินเข้าไปแล้วหยิบมาให้ดูเหมือนแค่เป็นพิธีที่สุด
ใช่ เพราะนักบุญนั้นเวลาปกติถูกห้ามพวกขนมต่าง ๆ แต่ว่ากับงานทั้งหลายที่มีคนนำมามอบให้จะถือว่าเป็นข้อยกเว้น ดังนั้นงานนี้เจ้าของงานถึงจะเป็นซิลวี่แต่ผมก็โดนเชิญ ดังนั้นขนมพวกนี้ก็เหมือนให้ผมด้วย เพราะงั้นผมทานได้!!!
‘ยังนิสัยเด็กไม่เปลี่ยนเลยนะ ยัยหนู’
กรี๊ด เว้ย ราส!!
ระหว่างที่มือกำลังเข้าใกล้เจ้าชีสเค้กบนโต๊ะยาวขนาดใหญ่ จู่ ๆ ก็เกิดละอองแสงสีส้ม ๆ โผล่ขึ้นก่อนตามมาด้วยเจ้านกสุดคุ้นตา มันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าราส หรือราสเวน สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเรสเวนน่า
ตัวของมันมีลักษณะเป็นนกที่มีแสงสว่างที่เคลื่อนไปมาดุจเปลวเพลิงตามขนสีแดงของมัน ทุกครั้งที่มันกระพือปีกมันจะมีละอองแสงกระจายอยู่ตลอดเวลาทำเอาคนเข้าใจผิดตลอดว่าผมใช้เวทอะไรสักอย่าง
‘เกือบซวยแล้วไม่ใช่เหรอไง ยังมาทำตัวสบายแบบนี้อีก’
เอาน่า ๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วแถมยังจบลงด้วยดี สาวกทั้งหลายก็ชื่นชม ซิลเวียก็ปลื้มใจ ยังมีอะไรที่ต้องกังวลอีกล่ะราส
‘ข้าจำไม่เห็นได้ว่าเคยสอนเจ้าให้โตมาเป็นนักบุญแสนขี้เกียจไร้ความรับผิดชอบแบบนี้นะ’
แต่ตอนฝึกผมก็ตั้งใจอยู่นะ!!!
‘เป็นนักบุญมันต้องเป็นพร้อมทั้งพลังและงานศาสนกิจด้วยยัยหนู สงสัยจบงานนี้ข้าจะท่องตำราให้เจ้าฟังสามวันสามคืน’
เจ้าราสพลางบินไปมาแล้วเอาปีกของมันเคาะกับหัวของผมรัว ๆ พร้อมเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ละอองแสงสีแดงทองจำนวนมากกระจายไปทั่วผมราวกับโดยโปรยผงสายรุ้งตอนไปงานเชงเม้ง
อ้ากกก ไอ้เจ้านกบ้า เจ้านกชั่ว จะโทษก็ไปโทษพระเจ้าผี ๆ นั่นสิโว้ย มาโทษอะไรผม โพยผมมันจะเกิดแต่ตอนเจ้าบ้านั่นมันคุมกำเนิดก่อน…อ๊ะ
“วิหคสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ สิ่งใดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปตามประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหาใช่ตัวเรา สิ่งใดที่เราปรารถนานั้นกำลังถูกพิสูจน์โดยพระผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งปวง”
งานงอกแล้วไง!!
ผมรีบเอามือตะครุบปากของตัวเองทันทีเมื่อปากเจ้ากรรมมันดันเริ่มพูดสวนความคิด ปกติผมเริ่มคุมความคิดได้ ก็มีแต่เวลาที่เจออะไรผี ๆ แบบตอนนี้เท่านั้นแหละที่จะเผลอหลุดออกมาเอง
หวังว่าจะไม่มีใครได้ยินนะ…
“โอ้นั่นท่านนักบุญ หวังว่าคนของราชวงศ์จะต้อนรับท่านได้อย่างเหมาะสมนะขอรับ”
เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของผมระหว่างที่ผม มันเป็นเสียงที่ก้องกังวานราวกับสะท้อนไปมาภายในห้องเหล็ก ตรงนั้นเองมีชายในชุดคลุมสีขาวยาว ใบหน้าถูกปิดไว้ด้วยหน้ากากเหล็กขนาดใหญ่ ที่เบื้องหลังของเขามีนักบวชใส่ชุดคลุมสีขาวขลิบฟ้าเดินตามมา
โอเค มีคนได้ยิน แถมดันเป็นคนที่….ไม่อยากให้ได้ยินที่สุดเสียด้วย
ถ้าจำไม่ผิดคน ๆ นี้คือชายผู้เป็นนักบวชนำพิธีของซิลเวียเหมือนจะชื่อว่าลูดอร์ฟ… ยศถ้าจำไม่ผิดก็อินควิสตาร์..
‘ผู้ไต่สวนทางศาสนา งั้นเหรอ ไม่นึกฝันว่าในเวลาสงบสุขเช่นนี้ยังมียศเช่นนี้อยู่อีก’
เจ้าราสพึมพำพูดกับตัวเอง ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจอะไรก็รีบทำการโค้งตัวทำการทักทายกลับพวกเขาที่โค้งให้ผมอย่างนอบน้อมมาก่อนแม้อายุจะต่างกันมากมาย
‘ระวังอย่าพูดอะไรส่งเดชล่ะ ตำแหน่งผู้ไต่สวนน่ะชอบเป็นคนจับผิดผู้อื่นเสียด้วย เจ้าที่ชอบพูดอะไรแปลก ๆ ก็ยิ่งเสี่ยง ดีไม่ดีพรุ่งนี้เช้าข้าได้เห็นเจ้าย่างไฟจะไม่แปลก’
ดูมันพูด คุณพี่นักบวชสุดกาวคนนี้เนี่ยนะ จะจับผมย่างไฟ เอาตัวเขาให้ขึ้นจากหลุมกาวก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากัน!!
นึกแล้วยังปวดหัวไม่หาย กว่าที่จะหาคำตอบเรื่องของเจ้าโพยที่สลักลงในดาบให้กับพวกนักบวชก็แทบแย่ ตอนแรกว่าจะไปลบให้มันจบ ๆ แต่พอเจอท่านลูดอร์ฟตรงหน้ากล่าวว่า
“ดาบศักดิ์สิทธิ์สลักด้วยอักษรแห่งสวรรค์ สิ่งใดเล่าจะมีค่ากับศาสนจักรเท่านี้อีก หลังจากนี้คงต้องนำไปตั้งให้เหล่าผู้คนสักการะกันเดือนละสัปดาห์ถึงจะคู่ควร”
แค่นั้นล่ะทำเอาผมเหงื่อแตกผลั๊ก ๆ ลองคิดดูนะ ลองคิดดูว่าคุณบังเอิญจดโพยข้อสอบมาแล้วดันทำหล่นกลางทาง เช้ามาดันมีคนเอาโพยคุณไปตั้งแทนศาลเจ้าพ่อให้คนมาบูชากราบไหว้ แค่นั้นว่าแย่แล้ว
ลองคิดสภาพมีคนมานั่งก้มกราบโพยข้อสอบคุณอีกเจ็ดวันเจ็ดคืนดูสิ.. รู้ถึงไหน อายถึงนั้น แค่คิดก็ทำเอาเลือดผมที่มันควรอยู่ทั่วร่างมารวมกันอยู่แถวหน้าทั้งหมด
“เรื่องอักษรศักดิ์สิทธิ์ ต้องขอบคุณท่านนักบุญที่มีใจศรัทธา สละพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อให้เหล่าสาวกทั้งหลายได้พบปัญญาแห่งสวรรค์ ข้าจะนำเรื่องชี้แจงท่านหัวหน้านักบวชในการจัดงานสักการะเอง”
แล้วถามว่าทำไมผมถึงให้เขากล้าเอาโพยนั่นไปตั้งอยู่กลางตลาดงั้นเหรอ ง่ายมาก ผมดัดแปลงมันเรียบร้อยแล้วน่ะสิ ใช่แล้ว ตอนนั้นเองที่บอกพวกเขาไปว่าต้องการทำให้สมบูรณ์และอาศัยจังหวะนั้นเปลี่ยนจากโพยให้กลายเป็นบทสวดสัพเพสัพตา ซะก็สิ้นเรื่อง แค่นี้ผลงานอันหน้าอายมันก็หายไปไม่มีเหลือ
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ หากได้ช่วยเราก็ดีใจ”
“แหม ๆ ช่างเป็นแบบอย่างอันดีงามของเหล่าผู้ศรัทธาทั้งมวลจริง ๆ ขอรับ”
ท่านลูดอร์ฟพูดไปโค้งไปรัว ๆ ทำเอาผมเริ่มทำตัวไม่ถูกว่าคุณพี่เขาจะมาไม้ไหน อยากได้อะไรจากผมหรือแค่แกเป็นคนศรัทธาที่มากเกินกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยกันนะ
“โอ้ กำลังคุยกับท่านวิหคสวรรค์อยู่อย่างงั้นเหรอครับท่านนักบุญ”
เอาแล้วไง ว่าแล้วเจ้าราสโผล่มามันต้องมีความเข้าใจผิด แถมประกอบกับความสุดจัดของคุณพี่หน้ากากท่านนี้แล้ว งานนี้ผมว่ามีอะไรบันเทิงอีกแน่นอน
“เอ่อค่ะ พอดีมีเรื่องต้องพูดคุยนิดหน่อย”
“ข้าได้ยินเลยนะครับที่ท่านนักบุญพูดเมื่อครู่”
เอาแล้วไง
“วิหคสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ สิ่งใดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปตามประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า อา.. คำนี้มันสอดกังวานไปถึงภายในใจข้าผู้ศรัทธายิ่งในพระผู้เป็นเจ้า ด้วยสิ่งนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระองค์ทรงเกื้อหนุนและสนับสนุนพวกเรา”
เฮียแกพูดไรของแกเนี่ย!!! ใครเข้าใจช่วยบอกผมทีเถอะ ไม่รู้ว่าแปลความหมายของผมไปแบบไหนแต่ก็ช่างมันแล้วกันนะ!!!
“พิธีที่พวกเราวางมาว่ายิ่งใหญ่แล้ว แต่ว่าไม่นึกเลยท่านนักบุญและพระเจ้าจะทรงทำเพื่อเหล่าสาวก ให้พวกเราได้เห็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ นับว่าผู้พิทักษ์ซิลเวียผู้นี้มีบุญกุศลยิ่งนัก”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ท่านถ่อมตนสมเป็นยอดนักบุญผู้เป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า ดั่งพระผู้ไถ่แห่งโลกอันโสมม อา ข้าล่ะรู้สึกซึ้งใจที่พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ส่งคนเช่นท่านมาให้กับพวกเรา”
สุดจัดจริง ๆ เจ้าหมอนี่ ไม่ว่าผมพูดอะไร พี่แกเอาไปขยายต่อสิบเท่าแล้วอวยผมต่อแบบไม่ยั้ง นี่อะไร แฟนคลับของออโรร่าเหรอ? ระดับนี้มันแฟนแดนตายแล้วนะ
ที่ผมคิดไปมันยก็ไม่ผิด เพราะทุกครั้งที่ผมพูดอะไร พี่แกก็ทำท่าเวอร์วังอลังการยกแขนขึ้นฟ้าจนผมยังอายแทน แต่นั่นยังว่าน้อยไป เพราะน้ำเสียงแต่ละครั้งที่พูดออกมามันออกมาด้วยความปลื้มปีติแบบไม่เสแสร้ง
“แสงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สาดส่อง อักษรแห่งสวรรค์ที่เปิดเผยในพิธีแต่งตั้งผู้พิทักษ์แห่งดาบศักดิ์สิทธิ์ อา… จะมีสิ่งใดลงตัวไปมากกว่านี้ ไม่สิ ขอแค่มีท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครปรากฏ แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ศักดิ์สิทธิ์และมีค่ายิ่งกว่าทุกสิ่งในโลกนี้”
เอาเข้าไป เหมือนพี่แกจะสติหลุดไปแล้ว ไม่สิ แล้วพวกลูกน้องด้านหลังน่ะไม่อายบ้างเหรอไง มีลูกพี่เพี้ยนแบบนี้… โอเค ขอถอนคำพูด
ผมที่เหลือบไปหาเหล่าคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็พบว่าลูกน้องที่ควรจะปิดหน้าปิดตาเพราะความอายในลูกพี่ แต่ไม่ใช่เลยพวกเขากลับเอามือประสานกันเหมือนสวดอ้อนวอนพร้อมยืนฟังคำของลูดอร์ฟด้วยอารมณ์ราวกับบรรลุธรรม
ไปหมดแล้วสมงสมอง งานนี้ราสไม่ต้องกลัวผมโดนจับผิดหรอก เอาให้พี่แกรอดจากความคิดตัวเองก่อนเถอะ
คิดแล้วเหนื่อยขอเติมน้ำตาลในสมองหน่อยแล้วกันนะ
ว่าแล้วผมก็หยิบเค้กในจานขึ้นมาทานโดยปล่อยให้คำพูดสารพัดสารเพของลูดอร์ฟผ่านเข้าหัวซ้ายทะลุหัวขวา
ครืนนน
กึก
ทันทีที่เค้กเข้าปาก จู่ ๆ บรรยากาศรอบตัวของลูดอร์ฟก็เปลี่ยนไป แววตาของเขาดูอาฆาตแค้นประดุจมีใครฆ่าบุพการีก็ไม่ปาน ดวงตานั่นจ้องมองมาที่ผม…ไม่สิ จ้องมองมาที่เค้กอย่างไม่วางตาทำเอามือของผมสั่นไปหมด
ตายแล้ว นี่ทำอะไรผิดไปเนี่ย.. อ๊ะ!!
“ท่านนักบุญ เค้ก…ไม่สิ ขนมหวานในมือของท่าน”
‘ข้าเตือนเจ้าแล้วนะยัยหนู’
งานงอกแล้วไง ผมลืมไปได้อย่างไรกันนะว่าตามคำสอนแล้วนักบุญห้ามกินพวกขนมหวานเพราะถือเป็นของฟุ่มเฟือย แล้วยิ่งกับผู้ไต่สวนทางศาสนาแล้วมาเจออะไรแบบนี้คงหงุดหงิดสินะ
“ท่านกำลังกินเค้กงั้นเหรอ ขนมหวานอันเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยแห่งโลกที่นำพาความโลภมาสู่ผู้คน”
ซวย ๆ ดันประมาทเพราะเห็นว่าเป็นแฟนคลับของออโรร่า ไม่นึกเลยว่าจะมาทริ้กเกอร์กับอะไรแบบนี้ ทำไงดีเนี่ยเรา…
ต้องหาข้ออ้าง ใช่แล้ว สิ่งนั้นไง
“เอ่อก็เพราะพวกเขานำของพวกนี้มาในงานที่เชิญเรา ก็เปรียบเหมือนการถวายของน่ะค่ะ การจะไม่รับไม่จับก็จะเป็นการหักหาญความปรารถนาดีของผู้ศรัทธา ต้องขออภับที่ทำให้ต้องเป็นกังวลนะคะ”
นี่ล่ะ เจอความเชื่อก็ต้องสู้กลับด้วยความเชื่อ!!!
‘มันจะไหวจริงเหรอข้ออ้างนี้เนี่ย’
ไม่ลองไม่รู้นะราส
ครืนนนน
บรรยากาศตึงเครียดหนักกว่าเดิมเมื่อคำตอบของผมส่งผ่านไปถึงชายในหน้ากาก ราวกับเห็นไอทะมึนโผล่มาจากหลังของเขาไม่พอ คล้ายได้ยินเสียงภูเขาไฟระเบิดมาอีกต่างหาก นี่ผมพูดผิดสุด ๆ ไปเลยใช่ไหม???
ดูหน้าของพวกลูกน้องด้านหลังสิ บิดเบี้ยวอย่างกับเจอปีศาจมาโผล่ตรงหน้า นี่ขนมหวานมันบาปหนาขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมล่ะ ขนมหวานมันทำอะไรผิด
ครืนนน
กรี๊ดดด ผมขอโทษ ผมจะไม่กินขนมในที่สาธารณะอีกแล้ว!!!
“ตะ..ต้องขออภัยด้วยค่ะ จะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วค่ะ”
“ท่านนักบุญอย่ากล่าวเช่นนั้น”
อ๊ะ
“ท่านผู้เป็นเอกในความศรัทธาไม่มีทางที่จะหมายคิดกระทำบาปใด ๆ ให้เกิดขึ้น นี่ต้องเป็นแผนร้ายของพวกราชวงศ์อย่างแน่นอน”
ไปทางนั้นได้ด้วยเหรอ!!!
“พวกมันรู้ว่าท่านนั้นมีจิตใจเมตตา โอบอ้อมอารี คิดถึงจิตใจของเหล่าสาวกทั้งหมดทั้งมวลไม่มีทางที่จะปฏิเสธของที่ถูกกล่าวอ้างว่า นำมาถวาย อย่างแน่นอน”
ใช้ได้อะราส ข้ออ้างนี้มันใช้ได้!!!
‘ได้ไงฟะ!!!’
“เช่นนั้นท่ามกลางงานที่พวกราชวงศ์และขุนนางจัดขึ้น พวกมันจึงได้ใช้ความชั่วช้าและเจ้าเล่ห์หวังให้ท่านนักบุญสัมผัสกับบาปอันยิ่งใหญ่นี้โดยใช้ของถวายในการบังคับตัวท่านผู้แสนบริสุทธิ์”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความเศร้าใจผสมปนเปไปมา ปานว่าเขาเศร้าใจที่ผมต้องถูกบังคับให้ทำผิดกฎ และโกรธเหล่าผู้มาทำให้ผมต้องจำใจทำผิดเหล่านั้น… เอาจริงดิ?
“ไม่ได้การ ข้า ในฐานะอินควิสตาร์จะไม่ยินยอมให้เรื่องโสมมเช่นนี้เกิดขึ้น ข้าจะไปร้องเรียนให้พวกมันเอาขนมพวกนี้ไปทิ้งให้หมด และห้ามไม่ให้พวกมันนำของหวานอันเป็นบาปนี่มาอยู่ต่อหน้าท่านเป็นอันขาด ขอท่านออโรร่าโปรดวางใจ”
วางใจกับผีคุณเอ็งสิ!!! นี่มันการทรมานกันทั้งเป็นเลยนะรู้ไหม!!! เอาขนมออกจากชีวิตของออโรร่างั้นเหรอ ฆ่าผมให้ตายเลยดีกว่าน่า
ไม่ได้เด็ดขาด ผมจะปล่อยให้คุณพี่เมากาวคนนี้เอาขนมอันแสนสำคัญที่สุดในชีวิตของผมยิ่งกว่าสิ่งใดถูกพรากไปจากผมเด็ดขาด..
ต้องใช้มารยา!!!
“อย่าทำเช่นนั้นเลยค่ะ”
มือทั้งสองได้ยื่นออกไปกุมมือที่ใส่ถุงมือของเขา พลางน้ำเสียงของผมก็ออกมาอย่างเมตตาอารีประดุจนางฟ้าก็ไม่ปาน
“สิ่งใดที่นำมาถวายล้วนคือความหวังดีของผู้คน ความหวังดีที่มิอาจปฏิเสธได้ อีกทั้งยังมีคำกระซิบที่พระองค์สอนเราไว้ยามที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จงอย่ากังขาในของถวายของผู้ศรัทธา จงเชื่อมั่นในความศรัทธาและหวังดีของผู้คน… เช่นนั้นแล้วหวังว่าท่านอินควิสตาร์ ลูดอร์ฟคงเข้าใจในสิ่งที่เราอยากสื่อ”
ไงล่ะ มารยานักบุญ ทั้งหมดไม่มีจริงหรอกนะ พระเจ้ามันจะมากล่าวอะไรแบบนั้นกับผมกันล่ะ วัน ๆ มีแต่หาเรื่องแกล้งกันทั้งนั้น
“โอ้ โอ้!!!!! คำสอน คำสอนของพระองค์ท่านได้ส่งผ่านมาถึงเรา นี่มันช่างยิ่งใหญ่นัก… เข้าใจแล้วขอรับท่านนักบุญ ข้าเข้าใจแล้ว!!!”
ลูดอร์ฟยกมือขึ้นฟ้าปานพระเจ้ามาอยู่ตรงหน้า เสียงที่ก้องมาจากหน้ากากดังออกมาอย่างมีความสุขล้นพ้นประดุจผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ออร่าอันน่ากลัวได้หายไปเหลือเพียงแต่พลังศรัทธาที่ระเบิดออกมาจนผมยังต้องขนลุก
“เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งมากครับ ลึกซึ้งกินใจสมแล้วที่มาจากท่านนักบุญและพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่… แม้แผนการชั่วช้าใด ๆ ก็มิอาจทำให้จิตใจอันขาวยิ่งกว่าผ้าของท่านมัวหมองได้เลยแม้แต่น้อย.. พวกขุนนางช่างเขลานัก”
เหล่าคนจากกองไต่สวนต่างทำหน้าปลื้มปริ่มมีความสุข พวกเขาต่างสวดสารพัดคำสวดต่อพระเจ้าของตัวเอง
“นับว่าครั้งนี้ข้ามีบุญได้ท่านสอน คงต้องขอตัว แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป เหล่าคนจากกองอินควิสตาร์จะคอยป้องกันไม่ให้พวกขุนนางวางแผนร้ายต่อท่านแน่นอน”
ว่าแล้วพวกขาก็โค้งหัวให้แล้วเดินจากไปโดยมีรังสีศรัทธามหาศาลแผ่ออกมาอย่างน่าหวาดหวั่น
……
ขนมหวานผมรอดแล้วใช่ไหมนะ
——————————+
มาแล้วกับตัวละครใหม่ประจำภาค ใครจำหมอนี่ไม่ได้ว่าเป็นใคร เปิดย้อนไปที่บท 27 ได้ครับ คนเดียวกัน… อืม คนเดียวกันนั่นล่ะ