ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 71 ภาค 2 บทที่ 1 ออโรร่าและพิธีอันทรงเกียรติ
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 71 ภาค 2 บทที่ 1 ออโรร่าและพิธีอันทรงเกียรติ
กาลเวลาผ่านก็เหมือนสายธารไหลเวียนผ่านไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีหยุดยั้ง ความสงบสุขทั้งหลายที่เราคิดว่าตัวเองได้ไขว่คว้ามาได้ บางครั้งมันก็อาจหลุดหายไปได้ง่าย ๆ เพียงแค่กะพริบตา ตัวผมที่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้นบางครั้งอาจจะได้เรียนรู้มันในไม่ช้า
“หาว นี่เช้าแล้วเหรอเนี่ย”
ผมบิดตัวขี้เกียจไปมากับเตียงอันแสนนุ่มองตัวเอง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปขนาดไหน หรือการฝึกฝนจะมากเพียงใด แต่ออโรร่าน้อยที่แสนขี้เกียจและติดฟูกนั้นไม่เคยหายไปไหนหรอกนะ
“ท่านออโรร่าคะ ชะ…เช้าแล้วนะคะ ให้ช่วยแต่งตัวไหมคะ”
เสียงของรูมเมทแสนน่ารักดังขึ้นมา ตรงนั้นคือเด็กสาวผมสีฟ้าที่สมัยก่อนมันเคยสั้นปิดหน้าแต่ตอนนี้เธอได้ทักเปียยาวไหลตามไหล่ข้างซ้าย ผมสีฟ้าที่ยาวปรกหน้าก็ถูกรวบอย่างดีด้วยกิ๊บติดผมเผยใบหน้าที่นับวันจะสวยขึ้นทุกวันคืน ดวงตาสีเขียวคู่งามส่องประกายแวววาวดุจมรกตซึ่งยังคงความไม่มั่นใจยามพูดคุยกับคนอื่นก็จ้องมองผมอย่างไม่วางตา
เจ้ากิ๊บติดผมนั่นเธอยังเก็บอีกงั้นเหรอเนี่ย ทุกครั้งผมก็เห็นว่ามันเล็กมากจนไม่น่าจะเหมาะแล้วเลยกะจะซื้อใหม่ให้แต่เธอก็เอาแต่บอกว่าอันเดิมดีอยู่แล้วก่อนถูมันไปมารัว ๆ พลางทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มซะผมเสียวสันหลังวาบ ๆ
หรือว่าเธอยังจำวันคืนของผมที่แอบกินขนมได้แล้วจะเตือนว่าความลับนั่นยังอยู่กับเธอกันนะ แต่ก็ไม่เห็นเธอใช้มันข่มขู่ผมเลยสักครั้ง ไม่สิอาจจะรอโอกาสอยู่ก็ได้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้เราทำเอาได้อยู่แล้ว”
เห้อ คำพูดแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชินจริง ๆ ถ้าไม่นับคำสรรเสริญเจ้าพระเจ้านั่น ก็มีเรื่องพูดแบบผู้หญิงแสนสุภาพเนี่ยล่ะ แถมพอโตขึ้นคำมันก็ชักจะอลังการขึ้นอย่างเขาแทนตัวก็เปลี่ยนจากฉันเป็นเราอีกต่างหาก
พอเจอพวกนักบวชสอนเรื่องการแทนตัวอย่างเหมาะสม ร่างกายก็ดันตอบสนองได้เป็นอย่างดี พูดอะไรออกมาก็ใช้ เรา แทนตัวหมดจนเหล่านักบวชชื่นชมในมารยาทอันเยี่ยมยอดสวนกับตัวตนภายใน
ผมนั่งลงส่องตัวเองกับกระจกเพื่อจัดผมเผ้าที่รุงรัง เพราะตั้งแต่โตขึ้นผ่านอายุสิบขวบ เจ้าผมที่เคยสั้นตอนนี้ก็เริ่มยาวออกจนถึงกลางหลัง มองดูแล้วมันก็สวยงามเหมาะกับออโรร่าอยู่หรอก
ผมจ้องไปที่ตัวเองในกระจก ตรงหน้าคือเด็กสาวผู้มีใบหน้ากลมมนน่ารัก ปากบาง ๆ ที่ดูอย่างไรก็เริ่มน่าหลงใหลแต่ก็ยังคงความน่ารักของวัยเยาว์เอาไว้ได้
ผมสีขาวราวหิมะบริสุทธิ์ยาวพาดลงไปกับบ่ากลมกลืนกันอย่างลงตัวกับเสื้อนอนสีขาว ยามเมื่อมันต้องกับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างก็ส่องประกายออกมาราวเงินอันมีค่า
ดวงตาสีฟ้ากลมโตที่สดใสราวกับท้องฟ้าในฤดูร้อนที่ไร้เมฆหมอก มันทอแววออกมาอย่างสดใสสมกับวัยอันเปี่ยมล้นด้วยพลังของวัยเยาว์
“ตัดดีไหมนะ”
ผมพูดพลางคว้าปลายผมที่ยาวถึงกลางหลังขึ้นมาปอยหนึ่งก่อนหมุนมันเล่นไปมา เพราะถึงแม้ผมยาวมันช่างจะเหมาะกับออโรร่าที่น่ารักก็ตามแต่มันก็รู้สึกรำคาญไม่ใช่น้อย ลองดูสิว่าแค่ก้มหน้าก็พร้อมมีผมมาปิด กินซุปก็อาจมีผมจุ่มน้ำจนต้องลำบากสระผมใหม่ อ่อใช่ สระผมทีก็นานอีกต่างหาก
ควับ
“มะ..ไม่ได้นะคะ จะตัดไม่ได้เด็ดขาดเลยน..นะคะ”
มาเรียคว้ามือของผมมาโดยไวเหมือนอย่างทุกทีที่ผมบ่นว่าตัวเองอยากตัดผมสั้นเธอก็ชอบคว้ามือแล้วมองหน้าผมด้วยน้ำตาคลอเบ้าจนรู้สึกสงสาร ถึงจะไม่เข้าใจว่าผมตัดผมตัวเองมันจะทำให้เธอเศร้าอะไรขนาดนั้น แต่พอเจอแววตาเหมือนลูกแมวถูกทิ้งก็เป็นต้องยอมทุกครั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้ว แต่ถ้ามันยาวเกินไปก็จะตัดนะคะ”
“อะ..ระ เรื่องนั้นให้ฉันจัดการให้เองค่ะ”
“แบบทุกทีนั่นล่ะค่ะ”
“ค่ะ แบบทุกที”
ก็เหมือนทุกครั้ง เวลาผมบ่นผมยาวเกินไปมาเรียก็มักจะมาจัดการตัดผมให้ทุกครั้งจนรู้สึกเกรงใจ แน่นอนว่าไม่ตัดอะไรมากมายแค่เล็มผมส่วนเกินก็เท่านั้น
แกร๊ก ๆ
มาเรียจับเอาเจ้าเศษผมที่เล็มมาใส่กล่องเล็ก ๆ ไม่รู้ว่าจะเอาไปทิ้งทีหลังเหรอเปล่า แต่ผมเห็นกี่ทีก็รู้สึกวุ่นวายจนจะเอาไม้กวาดมากวาดให้ก็ยังเจอร้องไห้ใส่ทุกที เห้อ ไม่เข้าใจพวกลูกขุนนางเลยแหะ กับเศษผมยังต้องเก็บใส่กล่องไปทิ้ง
ไม่ทันไรด้วยความงัวเงียจึงปล่อยให้มาเรียจัดการผมเผ้าให้ทั้งหมด เธอจัดการผมของผมให้เข้าที่เข้าทางเสร็จก็
“วันนี้เป็นวันพิธีการสำคัญ เดี๋ยวจะหยิบชุดมาให้นะคะ”
“พิธีการสำคัญ..ชุด…”
ผมที่ยังงัวเงียอยู่พอได้ยินสี่งที่มาเรียกล่าวถึง ภาพของบางอย่างก็ลอยผ่านเข้ามาในหัว สติทั้งหมดที่ยังเลือนรางได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว
“ไม่ ๆ ไม่เอาชุดนั้นได้ไหมคะ”
“ปฏิเสธไม่ได้นะคะ….ก็มันเป็นชุดพิธีการเดียวนี่คะ”
“แต่มันน่าอายออกนะคะ”
“เอ๋ ตะ…แต่ว่านี่มันดูดีมากเลยนะคะ ชุดประจำตำแหน่งนี่น่ะ ดูสิคะท่านออโรร่า มีทั้งลวดลาย เนื้อผ้าก็ยังดูดียาวปิดมิดชิดอีก ไม่เห็นน่าอายเลยนะคะ”
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะมาเรีย ลองดูเจ้าชุดนี่สิ ชุดสีขาวสวยงดงามมีลูกไม้มากมายพร้อมทั้งอัญมณีประดับ กระโปรงสีขาวยาวของชุดเองก็เรียกได้ว่าถูกจัดไว้อย่างดี แต่ว่านะ
คิดดูสิมาเรีย คิดดู ผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมเนี่ยให้ใส่ชุดกระโปรงงั้นเหรอ ต่อให้ไม่ต้องเปิดเนื้อหนังมันก็ยังน่าอายอยู่ดีอะ ดูสิ บอกว่ายาวพอดีแล้วนี่อะไรกัน ยาวเกินเข่านิดเดียวเท่านั้นเอง ก้มไปเปิดมาก็เห็นขาอ่อนแล้ว!!!
แล้วถามว่าก่อนหน้านี้รอดมาได้อย่างไร คือระหว่างชุดเด็กแบบสมัยก่อนกับตอนนี้เรียกได้ว่าคนละอารมณ์มาก ตอนนั้นใส่ไปก็เหมือนแต่งตัวตุ๊กตาน่ารัก ๆ แถมปิดได้ยันข้อเท้าไม่ค่อยรู้สึกอะไรเพราะแอบใส่กางเกงขาสั้นไว้ข้างใน แต่นี่ ดูนี่สิ แค่ยืนก็หวิว ๆ ด้านล่างแล้ว
“เอ่อ ใส่กางเกงไว้ด้วยได้ไหมคะ”
“ไม่ได้จะฝึกดาบนะคะ… ท่านออโรร่า นี่น่ะอย่างไรก็ไม่ได้เด็ดขาด”
มาเรียพูดเสร็จก็พยายามชูชุดสีขาวแสนน่ารักมาใกล้ผม ผมก็ยิ่งหันหน้าหนีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสารพัดความวุ่นวายได้เกิดขึ้น
“ไม่ได้นะคะท่านออโรร่า จะหนีแบบนั้นไม่ได้นะคะ”
“อย่าห้ามนะมาเรีย อย่า… นี่ อึยยย มาเรียจับตรงไหนกันเนี่ย”
“ตะ…ต้องขอเสียมารยาทด้วยค่ะ ท่านออโรร่า”
“ไม่นะ อะไรก็ได้ไม่เอาชุดดด”
ไม่รู้ว่ามาเรียไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอจัดการจับผมเปลี่ยนชุดระดับที่ผมไม่สามารถฝืนได้ แค่นั้นไม่พอยังจัดแต่งทั้งหน้าทั้งผมอย่างดีจนออโรร่าที่ว่าน่ารักอยู่แล้วยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก
ฮือออ เหมือนราวกับความเป็นชายมันถูกดึงออกไปเรื่อย ๆ ไงก็ไม่รู้สิ
ออโรร่าน้อยที่น่ารักบัดนี้ได้เมื่ออยู่ภายใต้ชุดเดรสสีขาวอันงดงามที่สอดรับกับเส้นผมที่เปล่งประกายสีเงินยามต้องกับแสงอาทิตย์ ทำให้ส่งเสริมความงดงามให้จนราวกับเทพธิดาตัวน้อยที่ลงมาจุติ ใบหน้าที่ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางจาง ๆ ทำให้ใบหน้าจากน่ารักเริ่มดูมีเสน่ห์ผู้ใหญ่มากขึ้น
“อ้า ท่านออโรร่า…นะ..น่ารักเกินไปแล้วค่ะ เทพธิดา ต้องเป็นเทพธิดามาจุติแน่เลยค่ะ”
มาเรียที่เป็นคนแต่งตัวให้กับผมเองกับมือพอได้เห็นผลงานของตัวเองก็เลือดกำเดาไหลอย่างหนัก ใบหน้าของเธอนั้นดูมีความสุขราวกับมีเทพธิดามาอยู่ตรงหน้า แต่เหมือนจะมีพลังมากเกินไป ร่างของเธอทรุดลงนอนกองอยู่กับพื้นจนผมต้องรีบเข้าไปคว้า
“มาเรีย ตื่นสิคะมาเรีย เข้าใจอยู่ว่าความเสียหายมันแรงแต่ก็ใจเย็นไว้ก่อนนะคะ”
“นางฟ้าค่ะ ฉันเองนางฟ้าออโรร่า”
เริ่มพูดไม่เป็นภาษาแล้วทำไงดีเนี่ย ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยมาเรียด้วย!!!
‘ยังวุ่นวายเหมือนเดิมเลยนะยัยหนู’
ตรงนั้นเองที่เจ้าราสได้บินออกเหนือหัวของผม มันได้ทอดมองไปยังร่างของมาเรียที่นอนไร้สติบ่นพึมพำไม่เป็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
‘เห้อ ช่างเป็นนักบุญที่บาปหนาจริง ๆ ’
พูดอะไรของนายเนี่ยราส ปากเสียน่ามาช่วยมาเรียก่อน มาเรียจะโดนพลังโจมตีทางจิตใจจนจะหมดสติอยู่แล้วนะ
‘ของแบบนี้เวทแก้ไม่ได้หรอก นอนไว้เดี๋ยวก็ดีเอง เจ้าเถอะจะใกล้ถึงเวลาของงานพิธีการแล้วไม่ใช่เหรอ รีบไปสิไม่งั้นยัยหนูนั้นจะรอนานนะ’
นั่นสินะ
“มาเรียคะ ถึงเวลาแล้วล่ะค่ะเรารีบไปกันเถอะ”
“เอ๋ อ่านั่นสินะคะ ตะ..ต้องขออโทษด้วยค่ะพอดีคิดไม่ถึงว่าพลังจะแรงเกินกว่าที่คิดไว้…กะ ก็ท่านออโรร่าสง่างามมากเลยนี่คะ!!”
มาเรียที่สติกลับมาหลังเรียกก็เริ่มพูดไม่เป็นภาษาลิ้นพันกันมั่วไปหมดบ่งบอกได้ว่าสติเธอยังกลับมาไม่ถึงครึ้งแต่ก็มากพอที่จะเริ่มนำทางผมไป แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นประสบการณ์นำทางที่น่ากลัวสุดติ่งเท่าที่ผมเคยประสบ
“ท่านออโรร่า.. ท่านออโรร่าในชุดสีขาวดั่งนางฟ้า”
“แค่.. แค่มองก็ทำวิญญาณหลุดแล้ว พระผู้เป็นเจ้าท่านได้ส่งโอกาสเช่นนี้มาให้ข้าข้าดีใจนัก”
“ท่านออโรร่า ยิ้มก็ยังสง่างาม ตรงไหนก็ดี งืออออ”
และอีกสารพัดสารเพที่เธอเดินพึมพำไปมาคนเดียว นี่หากไม่รู้จักกันมาก่อนผมคงคิดว่าเธอเพี้ยนแต่นี่ไม่ต้องสืบ เธอกำลังไล่เรียงเรื่องของผมเพื่อเอาไปนำเสนอให้กับตระกูลแน่นอน เพราะฉะนั้น จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ว่าแล้วผมก็รวบรวมความรู้เรื่องมารยาทนักบุญที่สง่างามซึ่งเรียนกมาจากทั้งในวังและวิหารจนแตกฉาน เดินสาวเท้าไปอย่างไร้ที่ติเพื่อแสดงให้มาเรียเห็นว่าผมนั้นไม่ใช่คนที่จะมาจับผิดได้ง่าย ๆ แบบเมื่อก่อนอีกต่อไป!!!
“กรี๊ด ๆ ท่านออโรร่า ไม่ไหวแล้วค่ะพระเจ้า นี่มันมากเกินไป มากเกินไปแล้ว”
…
ได้ผลไม่เหมือนที่คิดแหะ แต่ช่างเถอะตอนนี้มาสนใจสิ่งที่สำคัญที่สุดดีกว่า ใช่แล้วตอนนี้มีเรื่องที่แสนสำคัญกำลังรอผมอยู่ มันเป็นพิธีที่สำคัญมาก ๆ เลยล่ะ
นับเป็นเรื่องผิดปกติที่ผมจะกระตือรือร้นในการเข้าร่วมพิธีของศาสนจักรเพราะปกติหากไม่ใช่พิธีขนาดใหญ่ที่ทำพลาดทีอาจหวิดตาย ก็หาเรื่องอู้แบบใช้พลังศรัทธาเข้าอ้างและมันมักจะได้ผล
แต่งานครั้งนี้นั้นต่างออกไปเพราะว่ามันคืองานที่จัดขึ้นให้แก่คน ๆ หนึ่ง คนที่ผมไม่ได้เจอมานานแสนนาน คนที่จากกันไปเมื่อตั้งแต่สี่ปีก่อน
“ภายใต้ความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในนามของท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ ข้าในนามแห่งอินควิสตาร์ รูดอล์ฟเชิญท่านนักบุญมาเพื่อประทานพรแก่ผู้พิทักษ์อันได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่จากพระผู้สร้างด้วยเถิด”
ชายภายในหน้ากากเหล็กสีเงินบริสุทธิ์กล่าวขึ้นพร้อมยกมือขึ้นฟ้าซึ่งด้านหลังของเขามีกระจกโมเซคบานใหญ่ไว้รองรับแสงจากภายนอกให้ส่องผ่านมาทำให้เกิดแสงหลากสีระยิบระยับสวยงามมากมายเกิดขึ้น
สิ้นเสียงของเขาประตูได้เปิดออกให้ผมเดินเข้าไป ส่วนมาเรียก็ยิ้มให้กำลังใจผมก่อนเดินถอยอ้อมไปอยู่ตำแหน่งของตัวเองซึ่งมีหน้าที่เดินถือกำยานเดินตามผมเพื่อส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ของฉากที่กำลังจะเกิดขึ้น
ที่ปลายสุดของห้องพิธี ณ จุดซึ่งแสงของกระจกหลากสีสาดส่องมีร่าง ๆ หนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างองอาจราวกับยอดอัศวินในนิทาน
ร่างนั้นอยู่ภายใต้ชุดคลุมสีขาวไร้มลทิน ตามตัวมีเกราะสีเงินขาวคล้ายกับพวกอัศวินศักดิ์สิทืในวิหาร ยามที่มันต้องกับแสงมันก็ส่องประกายออกมาราวกับเป็นแสงของพระเจ้า
ทว่าแม้แสงใดที่สว่างไสวก็ยังไม่งดงามเท่ากับแสงสีทองประกายที่สะท้อนมาจากเส้นผมหางม้าที่ยาวสลวยดุจทองคำล้ำค่าซึ่งทอดยาวลงไปจนถึงเอวของเจ้าของร่าง
เมื่อผมเดินมาถึงจุดเดียวกับที่ร่าง ๆ นั้นอยู่และแล้วท่านหัวหน้านักบวชในหน้ากากก็เริ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง ส่วนผมนั้นก็ไปยืนประจำตำแหน่งคือด้านหน้าของร่างนั้น
“ขอท่านผู้ถือครองพลังแห่งพระเจ้า ได้มาเป็นสักขีพยานแก่การขึ้นสู่ตำแหน่งอันทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์อันมีเพียงผู้ถูกเลือกจากชะตาแห่งสวรรค์ ตำแหน่งแห่งนักรบหนึ่งเดียวที่ไร้ผู้ใดจะขึ้นมาเทียบความยิ่งใหญ่.. ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ ซิลเวีย เดอฟรอเซีย”
ที่ตรงนั้นเองที่ใบหน้าอันงดงามแต่ก็คมคายคล้ายกับบุรุษ รอยยิ้มที่ถูกเผยออกมา ดวงตาสีฟ้าเจ้าของร่างได้จ้องมอง มันเต็มไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ เฉกเช่นอดีต
“ข้าในนามของผู้ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจากท่านนักบุญผู้เป็นที่รักยิ่งของพระผู้เหนือสิ่งใด ขอให้ท่านผู้เป็นเอกในความศรัทธามอบเมตตาและเกียรติแก่ข้าในหน้าที่อันทรงเกียรติสำหรับปกป้องท่าน… นักบุญแห่งพระเจ้าและผองชน ท่านออโรร่า”
เจอกันแล้วนะ ซิลวี่
———————————————————————————————————————
หนุ่ม ๆ รอไปก่อนนะ ตอนนี้สาว ๆ เขามาเจอกันก่อน พวกนายได้ออกแน่ไม่ต้องห่วง
และแล้วเราก็เริ่มต้นที่ภาคสองของเรื่องกันนะครับ เป็นช่วงที่ออโรร่าอายุ 12ปี ซึ่งภาคนี้จะมีความเข้มข้นของเนื้อหามากขึ้น กาวอาจจะลดลงแต่ก็ยังคงมี่อยู่แน่นอน