ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 69 เป็นฮีโร่ของคุณเพียงคนเดียว
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 69 เป็นฮีโร่ของคุณเพียงคนเดียว
หลังเหตุการณ์อันวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป ผมก็เพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองหมดสติไปนานถึงเกือบสัปดาห์ โดยเหตุทั้งหมดนั้นทางนักบวชได้บอกว่ามาจากการใช้พลังมากเกินไปจนร่างกายปรับรับไม่ไหว
ถึงจะมีสาเหตุอื่นก็เถอะ….
พอคิดถึงภาพสุดท้ายก่อนที่ตัวเองจะสลบก็ยังอดที่จะหน้าแดงร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ จนต้องรีบสะบัดหัวรัว ๆ เพื่อไร้ความคิดประหลาดหลาย ๆ อย่างออกไป
“เป็นอย่างไรบ้างลูกพ่อ”
ตั้งแต่ที่ผมสลบไปก็มีคุณพ่อเป็นคนนั่งเฝ้าดูอาการเป็นหลัก โดยมีเพื่อนคนอื่น ๆ ได้เข้ามาเยี่ยมสลับกันเรื่อย ๆ ประดุจนัดเวรยามเอาไว้ แน่นอนว่าตอนแรกจะมาหากันหมดทั้งไรน์ ซิลวี่หรือยังเจ้าโลว์ แต่ก็เจอคุณพ่อห้ามเอาไว้ด้วยเหตุว่ากลัวรบกวนผม
“สบายตัวขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ เห็นไหมไม่มีแม้แต่บาดแผลเลยนะคะ”
ผมตอบอย่างร่าเริงกลับไปเพื่อให้คุณพ่อหายกังวล ซึ่งที่จริงก็มีบาดแผลอยู่หรอก ตอนนั้นที่สู้กันมีรอยบาดที่แก้มขวานิด ๆ จากใบดาบของเอลดรานแต่ตอนนี้ด้วยเวทรักษามันก็หายไปแล้ว เห้อ ถ้าใบหน้าของออโรร่าน้อยเป็นแผลเป็นผมคงเศร้าน่าดู
“พ่อต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะที่ไม่ได้ไปช่วยลูก เจ้าบ้านั่นมันตรึงมือไปหน่อยแต่ว่ารับรองถ้าเกิดออโรร่าตะโกนเรียกพ่อจ๋าล่ะก็ ไม่ถึงวินาทีต่อให้มีจอมมารสิบคน พ่อจ๋าจะโผล่จัดการให้ทันทีเลยนะ”
“นี่รอบที่สิบแล้วนะคะ หนูบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรไงคะ”
มีอีกเรื่องที่ผมกังวล นั่นคือตั้งแต่ที่ฟื้นมา คุณพ่อเอาแต่นั่งขอโทษผมไม่หยุดเรื่องที่เขาไม่สามารถไปช่วยผมต่อสู้กับเจ้าเอลดราน แต่ใครจะโทษได้ล่ะ เทียบดูแล้วเจ้าคนแปลกหน้าที่มาขวางทางพวกเรามันป่าเถื่อนกว่าเจ้าเอลดรานเห็น ๆ
“คุณพ่อต่างหากยังบาดเจ็บตรงไหนไหมคะ ให้ร่ายเวทรักษาให้ไหม รับรองผ่านมือหนูหายดีไม่เหลือสักแผลเลยนะ”
ตอนที่เห็นคุณพ่อซึ่งเต็มไปด้วยผ้าพันแผลมากมายก็ทำเอาใจผมแทบหล่นวูบ จนพยายามจะร่ายเวทรักษาแต่ก็โดนคุณพ่อห้ามเอาไว้ว่าแผลเล็กขนาดนี้ไม่ต้องเปลืองพลังหรอก
“แค่แผลลื่นล้มตกบันไดตอนจะมาเยี่ยมลูกน่ะ ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
แผลตกบันไดอะไรมันจะสภาพยับเยินได้ขนาดนี้ สงสัยคงจะอายที่ปราบเจ้าชุดคลุมแดงนั่นไม่ได้ แต่เอาเถอะเทียบกับแผลของวันก่อน ๆ ก็ฟื้นเร็วอย่างที่คุณพ่อบอกจริง ๆ คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วล่ะมั้ง
“แล้วซิกค์เป็นอย่าไงบ้างคะ บาดเจ็บขนาดนั้นคงโดนมาหนักน่าดู”
ผมหันไปมองเด็กหนุ่มที่ถูกผ้าพันแผลพันทั่วจนราวกับเป็นมัมมี่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นคู่แข่ง แต่ด้วยคำพูดของเขาก็ทำให้ผมลุกขึ้นมาจากความกลัวได้ หากไม่เป็นห่วงกันเลยก็ดูจะแล้งน้ำใจไปหน่อย
“ไม่มีอะไรหรอก ตกบันไดตอนมาเยี่ยมเหมือนกันน่ะ”
นี่ซิกค์ได้นิสัยของคุณพ่อไปแล้วงั้นเหรอ…. แบบนี้จะเป็นไรไหมเนี่ย
ดูอย่างไรแผลของเจ้าหมอนี่ก็หนักเกินกว่าแผลตกบันไดสุด ๆ ทั้งมือที่ห้อยราวกระดูกหัก…หรือมันหักจริง ๆ ไม่ก็ผ้าที่พันทั้งตัวปานถูกไฟครอก… หรือมันอาจจะโดนครอกจริง ๆ
“ไม่ให้รักษาจะดีเหรอ”
ผมพูดอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ถึงสภาพของเขา ของคุณพ่อฟื้นไวมากจนวางใจแต่กับเจ้าหมอนี่ดูแล้วแค่ไม่นอนหยอดน้ำข้าวต้มไปครึ่งปีก็ถือว่ามันถึกมากพอแล้ว
“อย่าเลย แค่นี้ออโรร่าก็รับภาระมามากพอแล้วล่ะ”
แม้ตัวจะบาดเจ็บแต่ก็ยังคงยิ้มมาให้กับผมอย่างรุ่นพี่ที่แสนดีคนหนึ่ง ทำเอาผมอดใจอ่อนไม่ได้
“ห่วงตัวเองก่อนจะดีไหมคะ นี่ฉันก็พักเต็มที่แล้วนะ นายเองเถอะแบบนี้จะกลับถึงบ้านไหมเนี่ย”
ผมยื่นมือออกไปจับที่มือของเขาอย่างเป็นห่วง โดยอาศัยจังหวะนั้นเองที่ร่ายเวทของตัวเองในการรักษาอย่างรวดเร็วไม่ปล่อยให้เขาถอนตัว
“จังหวะนี่ล่ะ.. ด้วยอำนาจแห่งพระองค์ผู้เมตตาขอท่านประทานอำนาจแห่งชีวิต ปัดเป่าบาดแผลของผู้ศรัทธาผู้นี้ให้หายไปด้วยเถิด”
“เดี๋ยวสิออโรร่านี่มัน… เห้อ เอาอีกแล้วนะ”
ทั้งร่างของไรน์ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างสีจาง ๆ มือของเขาที่เต็มไปด้วยบาดแผลเริ่มกลับมาเป็นผิวอันไร้รอยของเด็กหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเองที่เขาปลดผ้าออกจากตัว ไม่ว่าจะเป็นผ้าที่พันหน้าหรือผ้าที่ดามแขน เป็นสัญญาณบอกว่าอาการเจ็บของเขาหายดีแล้ว
“แบบนี้ดีกว่าใช่ไหมล่ะคะ ฮิ ๆ เห็นไหมล่ะว่าร่ายแล้วไม่เป็นอะไร พวกคุณพ่อกับไรน์น่ะกังวลมากไปแล้ว”
“สัญญานะว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“คะ?”
“อย่าฝืนใช้พลังของตัวเองเพื่อคนอื่นอีกเลย ทำแบบนี้ไปออโรร่าจะมีแต่เจ็บปวดนะ”
ดูพูดเข้าสิ ไม่รู้โลกนี้เลี้ยงเด็กกันอย่างไร ทำไมมีแต่คนพูดจาแก่แดดกันทั้งนั้นเลย นี่พวกนายอายุแถว ๆ สิบขวบกันจริงเหรอเปล่าเนี่ย
“แต่ถ้าไม่ใช้ล่ะก็ คนในเมืองนี้คงบาดเจ็บมากมายเลยนะ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก”
ถึงผมจะไม่มีสามัญสำนึกของนักบุญสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องตรรกะการช่วยเหลือเพื่อนมนษย์ล่ะก็มีอย่างเต็มที่เลยล่ะ เพราะถ้าเรามีพลังแต่ไม่ใช้มัน แล้วเราจะมีมันไปเพื่ออะไรล่ะจริงไหม
จู่ ๆ มือทั้งสองของผมก็ถูกคว้าขึ้นมาโดยไรน์ ทำเอาผมเหวอไปไม่ใช่น้อย ดวงตาของผมสบเข้ากับดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ซึ่งจดจ้องมาด้วยแววตาอันมุ่งมั่นจนผมเริ่มทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ ไรน์นี่มัน..คืออะไรนะ”
“เพราะฉะนั้นผมสัญญาว่าผมจะแข็งแกร่งให้มากพอ ให้มากพอที่ออโรร่าจะไม่ต้องฝืนใช้พลังพวกนี้อีกเพราะฉะนั้นขอร้องล่ะ รอผมด้วย….เหวอออ”
“ไอ้เด็กเปรต นี่จีบออโรร่าต่อหน้าฉันเลยเหรอ แกนี่มันงูพิษจริง ๆ ร่างกายหายดีแล้วใช่ไหม แสงของออโรร่ามันดีมากใช่ไหม หึ ออกมานี่มา!!!”
“ใจเย็นก่อนสิคุณซิกค์”
“ไม่เย็นโว้ยย”
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ทันไรร่างของไรน์และคุณพ่อก็หายวับไปกับตาโดยไรน์ถูกคุณพ่อของผมคว้าตัวพุ่งออกนอกห้องไปอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยหน้าตาโหดยิ่งกว่ายักษ์มารที่ไหน
ผมจ้องมองมือของตัวเองซึ่งพึ่งถูกกุมเอาไว้โดยไรน์ก่อนจะยิ้มออกมาน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ โบกมือให้กับทั้งสองคนที่จากไป
“ไปดีมาดีนะคะทั้งสองคน”
“พูดถึงแค่พ่อคนเดียวก็พอแล้วลูกรัก”
“เหวอออ นั่นจะทำอะไรน่ะครับคุณซิกค์ ใจเย็นนนน”
บรรยากาศอันแสนอบอุ่นนี่ช่างทำเอาคิดถึงวันวานก่อนที่จะมาเมืองหลวงเสียจริง ถึงแม้จะไม่ได้มีชีวิตโอ่อ่าหรูหราแต่ก็เป็นชีวิตที่แสนสุขและสงบใช้ได้เลย
“อัล… ตื่นแล้วสินะคะ”
เสียงเล็ก ๆ อันแสนคุ้นเคยดังขึ้นเรียกให้ผมหันไปมอง ตรงนั้นเองมีร่างของเด็กน้อยผมสีฟ้าซึ่งยืนแอบอยู่ข้าง ๆ มุมของประตู
“ซิลวี่ ตื่นแล้วค่ะ แถมหายดีแล้วด้วยนะ”
“งั้นเหรอคะ.. แบบนั้นก็เยี่ยมจริง ๆ ค่ะ”
เธอค่อย ๆ เดินเข้ามาหาผม ตอนนี้ซิลวี่อยู่ในชุดสีขาวสบายซึ่งมันรับเข้ากับผมสีฟ้าที่ยาวทอดไปตามบ่าของเธอเป็นอย่างดี
“ผมสีฟ้านั่นสวยจังเลยนะคะ”
“ไม่มองว่าแปลกเหรอคะ?”
“ออกจะเข้ากันจะตายไป ซิลวี่น่ะเหมาะกับสีฟ้าจริง ๆ ด้วย”
ผมยิ้มให้เธอพลางมองผมสีฟ้าซึ่งได้รับมาหลังพันธสัญญาระหว่างซิลวี่กับซิลฟอร์เทียสมบูรณ์แบบ มันเป็นสัญญาณของผู้ถือครองพลังแห่งเหมันต์อย่างแท้จริง
“ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจค่ะ ว่าแต่หายแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะ รู้สึกอัลใช้พลังไปเยอะมากเลยนี่นา”
“อือ ดูสิไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยนะคะเนี่ย”
ผมพลางขยับตัวไปมาโชว์ให้กับซิลวี่ดูว่าตัวเองแข็งแรงดีขนาดไหน ซึ่งเธอก็รีบมาห้ามปรามผมเพราะเป็นกังวลว่าจะทำให้แผลที่ไหนเปิดขึ้นมา
“ถ้าอัลหายดีแล้วก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากค่ะ”
“แล้วทางซิลวี่เป็นอย่างไรบ้างล่ะคะ?”
“หมายถึง?”
“ก็หมายถึงหลาย ๆ เรื่องนั่นล่ะ มีปัญหามากมายเกิดขึ้นหลังที่ฉันสลบไปใช่ไหมล่ะคะ”
จากที่ได้ยินทั้งคุณพ่อและคณะนักบวชที่มาตรวจดูอาการ เหมือนการตื่นขึ้นในฐานะนักบูญของซิลเวียจะทำให้เรื่องราวมันซับซ้อนและปั่นป่วนมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ เพราะตามคำสอน ในแต่ล่ะยุคสมัยนักบุญนั้นจะมีได้เพียงแค่คนเดียว มันจึงเป็นอะไรที่ต้องคุยกันถึงตัวตนของเธอ
“แล้วซิลวี่ได้เป็นนักบุญไหมคะ”
เธอยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำถามก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือเล็ก ๆ นั่นเข้ามาหาแล้วคว้ามือทั้งสองของผมขึ้นอย่างอ่อนโยน
“บอกแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าความฝันของฉันตอนนี้คือการเป็นอัศวินที่สามารถปกป้องอัลได้น่ะ”
“เอ่อ.. เอ่อเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกันงั้นเหรอคะ คือเรื่องตำแหน่งกับเรื่องความฝันแล้วก็โบสถ์”
ผมเริ่มพูดไม่เป็นภาษาอีกครั้งเมื่อเจออีกฝ่ายรุกเข้าใส่แบบนี้ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีก็เลยเผลอหลบตามาทั้งอย่างนั้น ก่อนได้ยินเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของซิลวี่ตามมา
ฮึยยย ไม่เคยเป็นเด็กหนุ่มใสซื่อ ซิลวี่ไม่เข้าใจหรอกนะ!!!
“เพราะฉะนั้นฉันจึงได้ไปยืนยันตัวตนค่ะ ตัวตนที่อัลได้มอบให้กับฉัน”
น้ำเสียงของซิลวี่ดูอบอุ่นขึ้นมาก ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่ผมอย่างเป็นประกายอันเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
“ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นดั่งดาบและโล่ของนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่คือสิ่งที่ฉันได้รับการแต่งตั้งค่ะ”
….
นี่มันความฝันของผมเลยไม่ใช่เหรอไงเล่า!!! การเป็นฮีโร่ที่กวัดแกว่งดาบอย่างห้าวหาญกลางสนามรบ ความฝันขอลูกผู้ชาย กลายเป็นว่าซิลวี่เอาไปแทนแล้ว.. เดี๋ยวนะ เปลี่ยนแค่ชื่อแต่ไม่ได้หมายความว่าพลังที่ได้รับสืบทอดของนักบุญซึ่งซิลวี่ได้มาจะเปลี่ยนไปซะหน่อย พวกนายจะให้เหตุผลกับสิ่งนี้อย่างไรกัน
“แล้วเรื่องพลังล่ะคะ”
“พลังนั่นเป็นพลังที่อัลมอบให้ฉันไม่ใช่เหรอคะ มอบให้เพื่อเป็นผู้พิทักษ์ตัวคุณอย่างไรล่ะ”
มือทั้งสองกำแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสติของผมเริ่มพร่ามัว จนอยากสลบไปอีกรอบ แต่ก็คงไม่ได้เพราะไม่งั้นไม่รู้ว่าจะโดนทำมิดีมิร้ายเหรอเปล่าในเมื่อในตาของเพื่อนรักคนนี้มันมีไฟประหลาดลุกโชนเสียเหลือเกิน
“เหล่านักบวชจากมหาวิหารได้บอกไว้ค่ะว่าตัวฉันน่ะสามารถรองรับพลังอันยิ่งใหญ่ได้ และเป็นอัล…เป็นท่านออโรร่าที่เลือกที่จะแบ่งพลังนี้ให้กับฉันเพื่อพิทักษ์ตัวคุณ”
ไหงมันเป็นอย่างงั้นไปได้ล่ะ นี่จะบอกว่าเพราะหาคำตอบไม่ได้แต่ไม่อยากให้ผิดคำสอนเลยหาเหตุผลมั่ว ๆ ขึ้นมางั้นเหรอ จะมักง่ายไปแล้วนะพวกนักบวช!!!
“ทุกคนที่อยู่ในห้องผนึกซิลฟอร์เทียต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันค่ะว่าตอนนั้นที่อัลยื่นมือมา คือพิธีมอบพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกรอบกับพระเจ้าเสด็จลงมาด้วยพระองค์เอง ฉันเองก็เช่นกัน.. ตอนนั้นที่ด้านหลังของอัลน่ะมีแสงสว่างเจิดจ้ามาก ๆ จะต้องเป็นพรจากพระเจ้าที่ส่งผ่านอัลแน่นอน”
นั่นมันเจ้าราสบินมาดูสถานการณ์ นี่พวกนายทุกคนมโนสภาพตอนนั้นเป็นแบบนั้นเองเหรอ นี่มันจะสุดไปหน่อยแล้วนะเจ้าพวกมักง่าย!!!
“ขอบคุณนะคะ สำหรับพลังนี่ ฉันน่ะจะใช้มันปกป้องอัลให้ถึงที่สุด เป็นผู้พิทักษ์ ไม่สิ เป็นฮีโร่ของคุณเพียงคนเดียว”
ใจเย็น ใจเย็น ๆ ก่อนนะซิลวี่ ตอนนี้ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ไอ้เรื่องประทับใจน่ะเข้าใจแต่ว่าเรื่องพลังน่ะมันไม่ใช่
แล้วตอนนั้นเองผมก็ต้องพยายามตั้งสติของตัวเองเพื่อป้องกันการรุกอย่างนักของสาวน้อยผมฟ้าที่ไม่รู้ว่าเอาสาระพัดความกล้าเหล่านี้มาจากไหน แต่ผมบอกตามตรง มันช่างอายสียจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหนแล้ว
——
ความคิดของเอลดราน ภายในคุก
หึ นี่คือความผิดพลาดของข้าที่ประมาทให้กับเหล่านักบุญไร้ประสบการณ์ จนต้องมานอนอยู่ในคุกทนรับกับร่างเน่า ๆ ไร้พลังนี่
สิ่งตอบแทนของความประมาทนั้นคือต้องทนแบกรับความเวทนาของนักบุญพวกนั้นซึ่งหากตายไปเลยอาจจะดีกว่า
“งั้นตายไปเลยไหมล่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา มันคือเสียงอันแสนคุ้นเคย เสียงที่ปลดผนึกข้าเมื่อหลายปีก่อน นั่นทำให้ข้าได้เงยหน้าขึ้นมองก็พบกับร่างในผ้าคลุมสีแดงห้าร่างยืนล้อมตัวข้าอยู่
“อ่า.. มาจัดการข้าเพราะทำผิดพลาดงั้นเหรอ”
“ไม่เลย ๆ เจ้าทำสำเร็จดีเลยต่างหาก ทั้งพลังนักบุญของอัลก็ตื่นขึ้น ไหนยังทำให้เธอเรียกวิหคสวรรค์มาได้อีก มีแต่ต้องขอบคุณไม่ใช่เหรอไง”
แม้คำที่ออกมามีแต่คำชื่นชม แต่ข้ารู้สึกได้ว่าภายในนั้นมันไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว ไฟอันน่าหวาดหวั่นยังคงคุกกรุ่นอยู่ภายใต้ดวงตาของร่างเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ท่ามกลางพวกคนในชุมผ้าคลุมแดงนั่น
“แกเองก็เถอะ ตอนแรกนึกว่าจะมาช่วยกัน แล้วทำไมกับแค่นักรบกับเด็กอีกคนยังไม่ชนะอีก”
“หากคุณมาเจอกับนักรบในตำนานอย่างซิกค์ฮาร์ตล่ะก็ คงจะไม่พูดแบบนี้ ขนาดผมใช้พลังไปตั้งเกินครึ่งยังรับมือได้ขนาดนี้ ก็สมแล้วที่เคยเป็นอดีต…..”
เจ้าร่างเล็กนั่นยังคงพูดแจ้ว ๆ มาอย่างน่ารำคาญไม่หาย ข้าได้แต่หลับตาไม่สนใจเสียงอันน่ารำคาญของเด็กปากดีที่มีมากเพียงแค่พลัง
“นั่นสินะ งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
“จะเอาอะไรจากข้ากันล่ะ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรให้เจ้าเอาไป…อ้ากกก”
เพียงพริบตาเดียว แขนข้างหนึ่งก็ถูกสะบั้นออกในทันที เลือดสีแดงฉานไหลออกมาเป็นสาย ความเจ็บปวดมากมายหลั่งไหลจากแขนที่ขาดหายพุ่งไปจนถึงสมองจนได้แต่ร้องอย่างเจ็บปวดแบบอดไม่ได้
“จะฆ่าก็ฆ่ากันสิฟะ ไอ้เด็กชั่ว จะมาทรมานกันไปเพื่ออะไร”
“ก็บอกแล้วว่าไม่คิดจะฆ่าเพราะนายทำงานได้ดี แต่ที่มาเนี่ยมาเพื่อลงโทษเพราะแกบังอาจทำให้หน้าของอัลต้องมีแผล… มือข้างนั้นที่ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ ก็ไม่สมควรมีอยู่ต่อไปจริงไหม”
“แกพูดเรื่องอะไรของแกกัน ไอ้เด็กผีบ้านั่นมันโดนบาดแค่…อึก”
แรงมหาศาลจนผิดกับร่างอันเล็กจ้อยได้คว้ามาปิดหน้าของข้าจนแทบหายใจไม่ออก แรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาช่างน่ากลัวจนแม้แต่ลมหายใจยังลืมที่จะสูดเข้าไป
ดวงตาสีเขียวมรกตมองมาที่ข้ามันลุกวาวขึ้นจนแม้แต่ปีศาจเช่นข้ายังรู้สึกสยองและหวาดกลัว
“ปากที่กล่าวถึงอัลเสียหายแบบนี้ อย่ามีอยู่เลยซะจะดีกว่าว่าไหม”
“ใจเย็นก่อนครับนายท่าน เรายังต้องดึงพลังจากเจ้านี่ไปเพื่อเป็นเบาะแสชี้นำของมณีอันถัดไป”
“อ่านั่นสินะ ขอโทษด้วย ๆ ดันหัวร้อนขึ้นมาซะได้แต่ก่อนอื่นมืออีกข้างนั้นทำให้ผมของอัลขาด สงสัยต้องลงโทษซะ หน่อย”
ไม่แม้แต่จะมอง จู่ ๆ แขนอีกข้างก็ถูกแรงดันมหาศาลที่มองไม่เห็นบีบอัดจนบิดงอไม่เป็นรูปร่าง ความเจ็บปวดที่หนักหนาสาหัสได้เข้าจู่โจมมาอย่างไม่หยุดยั้ง
อะไรกัน เจ้านี่ มันบ้าไปแล้ว มันบ้ายิ่งกว่าปีศาจอย่างข้าอีก
“จำไว้นะเจ้าปีศาจชั้นต่ำ ผมเพียงหนึ่งเส้นของอัลน่ะมีค่ามากกว่าชีวิตแกไม่รู้กี่สิบชีวิต เพราะงั้นจะพูดหรือคิดอะไรก็ระวังตัวหน่อย”
ตอนนั้นเองที่ร่างของค้าถูกปล่อยลงกับพื้น เลือดสาดกระจายไปทั่วทั้งพื้น มนุษย์ผู้โหดเหี้ยมกว่าปีศาจตนนี้ได้เดินถอยไปก่อนที่ชายในชุดคุมที่เหลือจะเดินเข้ามาแทนที่
แสงเรืองรองของเวทได้ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องความเจ็บปวดเหลือคณาได้ทำเอาสติของข้าแทบหมดสิ้น
ณ ภาพอันแสนเรือนรางลงเรื่อย ๆ ชายในชุดคลุมได้เดินเข้ามาก่อนกระชากเข้ากับแก่นวิญญาณภายในร่างของข้าจนความรู้สึกของการมีตัวตนเริ่มขาดหาย
“เอาล่ะ เริ่มตื่นขึ้นแล้วสินะอัล… อีกไม่นานก้าวถัดไปของพวกเราจะเริ่มขึ้น ไม่ต้องห่วงผมน่ะจะสร้างหนทางอันสว่างไสวให้กับเธอเอง”
น่ากลัว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ความกลัวคือสิ่งสุดท้ายที่ข้าผู้เป็นปีศาจซึ่งควรจะเป็นนายเหนือหัวแห่งความหวาดกลัวรู้สึกได้จากชายผู้นี้ และเป็นสิ่งสุดท้ายที่ตัวข้าได้สัมผัส….
เอาล่ะ มีทั้งบทหวานและบทซาดิส รักใครชอบใครก็ไปตามกร๊ดกันเอาเองนะครับ ใกล้จะจบภาคซักที ไม่นึกว่ามันจะยาวนานเช่นนี้ 5555
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า